ชายหนุ่มกวาดตามองทั่วร่างงาม ชุดสูทแบบสตรีที่กระโปรงยาวเหนือเข่าขึ้นมาทำให้เขาเห็นขาขาวๆ เรียวๆ ของหล่อนเต็มตา หล่อนขาวจนผิวเนื้อแทบกลายเป็นสีกระดาษเลยก็ว่าได้ คงได้ความขาวมาจากมารดาหล่อนกระมัง
หมับ!
“เอ๊ะ! มีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ฮะ!” ร้องเสียงหลงเมื่อข้อมือข้างหนึ่งถูกเขากำแน่น เขาขยับมาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายกรุ่นอยู่แถวปลายจมูก
“แล้วเธอล่ะ มีสิทธิ์อะไรมายืนต่อปากต่อคำกับฉันฉอดๆๆ ที่นี่ฉันใหญ่สุด”
“แม่ฉันต่างหากใหญ่สุด” เธอเถียง
“งั้นก็ไปเรียกแม่เธอมาสิ! เรียกมานั่งทำงานแทนฉันนี่!”
เทียนหยดเม้มปากแน่น จนในคำท้าทาย
“หึ...ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกแวดๆ ใส่ฉันซะที ยังไงซะเธอก็เป็นผู้หญิง ไม่มีทางเก่งกว่าผู้ชายไปได้หรอก อ้อ...อย่าพยายาม อ่อยฉัน! ฉันมีเมียแล้ว!”
เขาประกาศแล้วชี้ลงยังกระโปรงสั้นของหล่อน เทียนหยดถึงกับอ้าปากค้าง ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกห่าง
“อีตาบ้า! ใครอ่อยฮะ! ฉันคงสติไม่ดีถ้าคิดอ่อยคุณ”
ร้องใส่หน้าเขาแล้วเดินกลับไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน อารมณ์ขุ่นมัวไม่น้อยเมื่อโดนดูถูกจากผู้ชายตัวใหญ่ที่ไร้มารยาทสิ้นดี ระยะเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ที่ได้พบเจอกันเป็นเรื่องเป็นราว เขาถือวิสาสะจับมือเธอไปสองครั้งแล้ว แม้ว่าสองครั้งนั้นจะเป็นไปด้วยความโกรธ แต่ก็ทำให้เธอใจสั่นอยู่ดี เขาหล่อเหลานั่นเรื่องจริง เขาแต่งงานแล้ว นั่นก็เรื่องจริงอีก แต่เรื่องจริงยิ่งกว่านั่นคือ เขาเกลียดเธอ เกลียด!
__________
การอยู่ร่วมกันของศัตรูนั้นเป็นไปอย่างกระอักกระอ่วน ผกากรองเป็นสตรีที่แปลกอยู่อย่าง วิถีของนางนั้นช่างไม่ผสมกลมกลืนเอาเสียเลย นางชอบแต่งตัวจัดจ้าน เสื้อผ้าหน้าผมแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทว่ากลับชื่นชอบธรรมชาติและทุกสิ่งอันที่มาจากธรรมชาติ ชอบอาหารที่ปรุงสดใหม่ เอาใจใส่สุขภาพ และแทบจะหอบชุดผ้าไหมแสนหรูเข้าไปขลุกอยู่ในห้องครัวของบ้านโสภณวิชญ์
“บ้านนี้เขากินแต่ของแบบนี้หรือยังไง มีแต่กะทิ มีแต่ไขมัน หัดรักสุขภาพกันบ้างสิ” ทำกับข้าวไปบ่นไป มื้อเที่ยงที่ผ่านมานางได้นั่งร่วมโต๊ะกับนางศรีสุรางค์และราตรี อาหารที่ถูกเสิร์ฟนั้นทำเอาคนรักสุขภาพกลืนแทบไม่ลง อาหารมีแต่แกงกะทิ ผัดผักก็มันเยิ้ม ของย่างก็เหมือนกับว่าซื้อมาจากร้านที่ไม่ค่อยพิถีพิถันในการจัดเตรียม มีคราบเขม่าควันติดอยู่มาก ไม่น่ารับประทานสักนิด
“หล่อนมายุ่มย่ามอะไรในนี้แม่ผกากรอง” ศรีสุรางค์โผล่เข้ามาในห้องครัวพร้อมกับหลานสะใภ้ บ้านนี้ไม่มีแม่ครัวมาสักพักแล้ว ด้วยว่าคนเก่าเพิ่งลาออก และยังไม่มีใครมาสมัคร อาหารส่วนใหญ่ราตรีเป็นคนจัดการซื้อมาและให้สาวใช้หรือแม่บ้านที่มีหน้าที่ทำความสะอาดทุกสิ่งอย่าง เป็นคนจัดขึ้นโต๊ะ
“ทำไมคะ ฉันอยากกินของอร่อย ต้องรายงานใครด้วยเหรอ”
“เอ๊ะ! ฉันถามดีๆ หล่อนก็ตอบ”
ศรีสุรางค์ว่า แอบมองหม้อข้าวหม้อแกงที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง
“ก็ไม่ได้ด่าสักคำนี่คะคุณ” ผกากรองตอบเคืองๆ รุ่งรดิศคิดอะไรอยู่ถึงได้อยากให้พวกนางเข้ามาอยู่บ้านนี้ คงสงบสุขตายล่ะ
“นี่มันไม่ใช่ที่ของหล่อน เอาไว้ให้คนใช้เขาตระเตรียม ส่วนอาหารน่ะ ยัยไนท์จะจัดการเอง”
“จัดการซื้อของพรรค์นั้นมาเนี่ยนะ ไม่อยากแก่ตายหรือคะคุณศรีสุรางค์ รักสุขภาพบ้างเถอะค่ะ มีแต่ของมันๆ เห็นแล้วเลี่ยนจนอยากจะอ้วก” ผกากรองว่าแล้วยกแกงเลียงหม้อใหญ่ขึ้นมาวางกลางโต๊ะ จัดการแบ่งใส่หม้อเล็กแล้วเอาฝาปิด ก่อนจะสั่งสาวใช้ให้เอาไปเก็บในตู้กับข้าว รอให้เย็นแล้วค่อยเอาเข้าตู้เย็น นางจะอุ่นใส่บาตรเช้าวันพรุ่งนี้
“มากไปแล้วนะ อาหารนั่นไนท์ซื้อมานะคะคุณย่า” ราตรีไม่พอใจ เหมือนว่าตัวเองถูกด่ากลายๆ ที่ซื้ออาหารเหล่านั้นมาขึ้นโต๊ะ
“ไม่มากไปหรอก อาหารนั่นเธอกินได้ เธอยังมีระบบเผาผลาญที่ดี แต่ย่าเธอน่ะ แก่แล้ว เดี๋ยวไขมันอุดตันในเส้นเลือดตายพอดี”
“โอ๊ย! ฉันไม่ทนแล้วนะ! หล่อนแช่งฉันหรือยะแม่ผกา”
คนถูกถามยิ้มอย่างเซ็งๆ กวาดสายตามองข้าวปลาอาหารก็เห็นว่าพร้อมแล้วสำหรับมื้อค่ำ นางถอดผ้ากันเปื้อนออก ล้างมือช้าๆ ในอ่างล้างจาน พอหันกลับมา คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ยังยืนรอให้ด่า
“คุณย่าอย่ายอมนะคะ นี่บ้านเรานะคะ”
หลานสะใภ้ตัวดีใส่ไฟคุณย่าของสามี
“ยอมไม่ยอมอะไรฮึยัยคนนี้ พูดจาอย่างกับตัวร้ายในละครหลังข่าว อย่าอยู่ใกล้หลานสะใภ้มากนักนะคุณศรีสุรางค์ ประสาทจะกิน”
“อย่ามานอกเรื่องนะแม่ผกา ฉันยังไม่จบเรื่องที่หล่อนแช่งฉัน”
“ค่ะ แช่งค่ะ ตายไวๆ นะคะคุณศรีสุรางค์ ตายแล้วช่วยไปถามลูกสะใภ้คุณให้ทีว่าทำไมถึงมายุ่งกับผัวฉัน ฉันอยากรู้!”
“อ๊าย! คุณย่า! คุณย่าคะมันแช่งคุณย่า!” ราตรีร้องกรี๊ดๆ จนศรีสุรางค์เอามือปิดหูแทบไม่ทัน นางโบกมือไหวๆ ห้ามหลานสะใภ้ สุดท้ายก็เดินหนีเจ้าหล่อนไปรอที่โต๊ะอาหารเพื่อรอมื้อค่ำที่กำลังจะมาถึง
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ