แชร์

บทที่ 1 ชะตาอัปมงคล 2/2

ผู้เขียน: กะปอมพ่นไฟ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-24 20:12:22

จางเสี่ยวมี่มองดูมารดาผู้ให้กำเนิดราวกับมองอากาศธาตุ นางไม่แม้แต่จะปริปากพูดสิ่งใดออกมา ในสายตาของนางมีแต่ความเศร้าเสียใจที่หวังหมิงนั้นอายุสั้นเกินไป เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยนและสุภาพ ใบหน้าของเขามักประดับด้วยรอยยิ้มเสมอ ความคิดความอ่านของเขาก็ฉลาดล้ำกว่าคนในยุคนี้มากโดยเฉพาะเรื่องทำการค้า

ครานั้นนางแค่พูดคุยกับเขาสั้น ๆ ชี้แนะไปแค่ประโยคเดียว เขาก็สามารถนำไปปรับใช้กับกิจการของตนได้ และเพราะเหตุนี้เองเขาจึงได้ให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอนาง คราแรกนางปฏิเสธหัวชนฝาว่ามิอาจแต่งงานกับเขาได้ เพราะนางคิดกับเขาเป็นแค่สหายคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะท่านแม่อยากกำจัดนางให้พ้นหูพ้นตาไปเสียจึงตอบตกลงทันที

เรื่องนี้แม้แต่บิดายังไม่เห็นด้วย แต่เมื่อตอบตกลงอีกฝ่ายไปแล้วจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป

"เป็นอย่างไรเล่า เจ้าเห็นหรือยังว่าเจ้าทำให้บุรุษที่ดีคนหนึ่งต้องจบชีวิตลงเพราะชะตาอัปมงคลของเจ้า เช่นนี้ยังจะมีบุรุษใดกล้ามาสู่ขอเจ้าที่ทำให้ว่าที่คู่หมั้นตายอีก ตระกูลจางของข้าที่มีชื่อเสียงอันดีงามมานานนับร้อยปีต้องมาด่างพร้อยเพราะเจ้าแท้ ๆ เชียว"

มู่ฟางยังคงต่อว่าจางเสี่ยวมี่อย่างไม่ลดละ ยิ่งเห็นว่าบุตรสาวยืนนิ่งไม่พูดสิ่งใดนางก็ยิ่งต่อว่ารุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

"เรื่องการแต่งงานของข้าไม่ต้องให้ท่านแม่เข้ามายุ่งวุ่นวายหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าจะไม่ขออยู่ที่จวนตระกูลจางอีก ต่อไปนี้ท่านแม่จะได้สบายตาสบายใจที่ไม่ต้องมาทนมองหน้าบุตรสาวเช่นข้าอีก!"

จางเสี่ยวมี่มองตรงไปทางมารดาอย่างไม่หลบเลี่ยง นางเกินจะทนรับไหวกับความผิดที่นางไม่ได้ก่อนี้ได้อีกแล้ว ต่อให้เป็นมารดาแล้วอย่างไร ในเมื่อนางเองก็หาใช่บุตรสาวแท้ ๆ ไม่!

"โอหังนัก! เช่นนั้นเจ้าก็เก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวออกไปเลย ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีกต่อไป"

มู่ฟางพลันบังเกิดโทสะที่เห็นท่าทีแข็งกระด้างของบุตรสาว

"เช่นนั้นลูกขอลาเจ้าค่ะ"

จางเสี่ยวมี่ค้อมกายคารวะแล้วเดินจากไปพร้อมกับหนังสือยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย นางกำหนังสือฉบับนั้นแน่นแล้วเดินจากมาพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลรินลงมา การตายของหวังหมิงเป็นสิ่งที่นางไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย นางรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่ตระกูลหวังต้องมาสูญเสียบุตรชายผู้เก่งกาจเช่นเขาไป และตัวนางเองก็ต้องสูญเสียสหายที่ดีคนหนึ่งไปเช่นกัน...

ทันทีที่ 'จางอี้อิน' ผู้เป็นเสนาบดีกรมคลังทราบความจากพ่อบ้านว่าฮูหยินกับบุตรสาวมีปากเสียงกันอีกแล้ว และครั้งนี้ยังลุกลามใหญ่โตเสียจนฮูหยินถึงกับเอ่ยปากขับไล่บุตรสาวคนเดียวออกจากตระกูลไป ตัวเขาผู้เป็นคนกลางรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

"ฮูหยิน เจ้าเอ่ยปากขับไล่มี่เอ๋อร์ออกไปหรือ"

บุรุษในวัยกลางคนตรงเข้ามาพูดคุยกับภรรยาของตน แม้เขาจะรักภรรยามากแต่บุตรสาวคนโตเขาก็รักนางมากเช่นกัน อย่างไรนางก็คือบุตรสาวที่เกิดจากเขาและภรรยา

"เจ้าค่ะ ท่านพี่ได้ยินมิผิดหรอกเจ้าค่ะ"

"เหตุใดเจ้าถึงได้จงเกลียดจงชังมี่เอ๋อร์นักเล่า เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วนะ อีกอย่างสุขภาพของเจ้าตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ทั้งหมดหาได้เป็นความผิดของมี่เอ๋อร์ไม่ ฮูหยินลืมเรื่องนั้นไปเสียเถิด"

จางอี้อินพยายามพูดจาหว่านล้อมภรรยา ด้วยหวังว่าความเกลียดชังภายในใจของนางและความทุกข์ระทมเรื่องในคราวนั้นจะทุเลาลงบ้าง

"ท่านพี่อาจจะลืมสิ่งที่นางทำลงไปได้ และคิดว่านางยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยไร้เดียงสา แต่ข้ามิอาจลืมได้หรอกนะเจ้าคะว่านางมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตตั้งแต่อายุยังน้อยเพียงใด ยิ่งนางเติบโตขึ้นมาจิตใจของนางก็ยิ่งหยาบช้าแข็งกระด้าง ท่านพี่จำไม่ได้หรือเจ้าคะว่าท่านนักพรตผู้นั้นเคยกล่าวไว้ว่านางคือสตรีที่มีชะตาต้องสาป ผู้ใดที่อยู่ใกล้นางล้วนต้องมีอันเป็นไปทั้งสิ้น นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ดวงชะตาของนางเป็นอัปมงคลต่อผู้อื่นจริง ๆ เจ้าค่ะ"

มู่ฟางยังคงยึดมั่นในความคิดของตน ไม่ว่าจะผ่านมานานกว่าสิบปีนางก็มิอาจลืมเรื่องที่บุตรสาวทำเอาไว้ได้เป็นอันขาด!

"พี่เข้าใจความรู้สึกของฮูหยินดีว่าเรื่องนั้นเจ้าต้องเจ็บปวดมากเพียงใด แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว อีกอย่างมี่เอ๋อร์ก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย นางไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้นหรอก"

"ท่านพี่อาจจะคิดว่านางคือบุตรสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่สำหรับข้านั้นไม่ใช่เจ้าค่ะ แม้ท่านพี่จะสามารถลืมเลือนความเจ็บปวดในครั้งนั้นได้ แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นหน้าของนางมันก็ทำให้ข้านึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาทุกครั้ง ข้าผิดหรือเจ้าคะท่านพี่?"

มู่ฟางมองสามีของตนแล้วร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจตาย นางเองก็ไม่ได้อยากให้ความสัมพันธ์แม่ลูกต้องย่ำแย่เช่นนี้ แต่นางเองก็ไม่สามารถมองหน้าจางเสี่ยวมี่แล้วคลี่ยิ้มออกมาได้จริง ๆ นางไม่สามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้!

"เช่นนั้นพี่จะส่งมี่เอ๋อร์ไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิง เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องทนเห็นหน้านางแล้ว ส่วนเรื่องคุณชายตระกูลหวังพี่จะไปพูดคุยกับท่านเสนาบดีหวังเอง ทางเราเองก็ต้องแสดงความเสียใจกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวดองกันแล้ว แต่อย่างไรความสัมพันธ์ของสองตระกูลก็ไม่ควรจะต้องมาระหองระแหงกันด้วย"

"เจ้าค่ะ คงมีแต่หนทางนี้เท่านั้นเพราะอย่างไรชื่อเสียงของนางก็ด่างพร้อยไปเสียแล้ว ตอนนี้คงไม่มีคุณชายตระกูลใดในเมืองหลวงกล้าสู่ขอนาง บางทีการที่นางได้ไปเยือนเมืองอู่เฉิงคงจะหาบุรุษที่ดีได้บ้าง"

มู่ฟางแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง นางยังคงคิดเผื่อบุตรสาวในเรื่องของคู่ครองเสมอ

ทุกคนอาจจะเข้าใจว่านางเกลียดชังบุตรสาวเพราะการให้กำเนิดในครั้งนั้นทำให้สุขภาพของนางทรุดโทรม แต่นางรู้ดีที่สุดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น อย่างไรจางเสี่ยวมี่ก็เป็นบุตรสาวที่นางตั้งใจให้กำเนิดออกมา แค่การต้องแลกเพราะเรื่องสุขภาพนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่ที่นางเอาแต่พร่ำบ่นเรื่องนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดสงสัยว่าเพราะเหตุใดนางถึงเกลียดชังบุตรสาวมาก เรื่องนี้มีแค่นางกับสามีเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 5 นอนละเมอ 2/2

    เซียวจ้านอดจะรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ เขาพยายามแกะมือของตัวเองออกแต่เหมือนว่าหญิงสาวจะไม่ง่ายนัก สุดท้ายเขาจึงได้ขึ้นมานั่งบนเตียงเดียวกับนาง กายสูงพิงกับเตียงแล้วมองดูหญิงสาวข้างกายนอนหลับอย่างเป็นสุขนางช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดนัก ทั้งที่อยู่กับคนแปลกหน้าเช่นเขานางยังกล้าหลับลงได้อีก ทั้งยังจับมือเขาเอาไปแนบกับแก้มของนางด้วย ช่างเป็นสตรีที่น่าพิลึกนัก"อื้อ...ลูลู่ อย่า อื้อ..."จางเสี่ยวมี่นอนละเมอโดยฝันถึงลูลู่ เจ้าแมวน้อยตัวสีขาวที่เคยเลี้ยงเมื่อครั้งยังเป็นลูกหว้า เจ้าลูลู่นั้นชอบให้กอดเป็นอย่างมาก ทั้งยังชอบเข้ามาออเซาะออดอ้อนด้วย และนางก็จะชอบดึงเจ้าลูลู่มานอนกอดทุกค่ำคืนไป"เจ้า!"เซียวจ้านถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก จู่ ๆ จางเสี่ยวมี่ก็ปีนขึ้นมานอนบนตัวของเขา แล้วมือของนางยังไม่อยู่นิ่งด้วย ทั้งลูบทั้งกอดหน้าอกของเขาเป็นพัลวัน เขาพยายามจะจับมือของนางให้ออกไป แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมปล่อยโดยง่าย เมื่อถูกเซียวจ้านขัดขวางนางก็ยิ่งกอดคอเขาแน่นขึ้น และในความฝันนั้นกำลังนั่งทานขนมกับลูลู่ จางเสี่ยวมี่จึงได้ตรงเข้ามางับที่ลำคอของเซียวจ้านอย่างแรงริมฝีปากเล็กกัดเข้าที่คอของเซียวจ้านอย่างแรงจนข

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 5 นอนละเมอ 1/2

    บทที่ 5นอนละเมอขณะที่จางเสี่ยวมี่นั่งอยู่บนหลังม้าโดยตกอยู่ในอ้อมกอดของเซียวจ้าน นางนั้นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แผ่นหลังเล็กเกร็งจนรู้สึกเมื่อยขบเพราะการที่นั่งไม่สบายบนหลังม้า หากนับจากชาติก่อนจนถึงชาตินี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้ ในชาติก่อนก็มุ่งแต่ทำงานโดยไม่ได้สนใจมองบุรุษใดเลย ส่วนในชาตินี้นางกับหวังหมิงผู้เป็นอดีตคู่หมั้นนั้น แม้แต่มือยังไม่เคยได้จับเลยสักครั้ง แต่ในตอนนี้เซียวจ้านผู้ที่นางเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกกำลังกักขังนางในอ้อมกอดของเขาเสียงหัวใจอันหนักแน่นมั่นคงของเซียวจ้านเต้นแรงจนแม้แต่จางเสี่ยวมี่ยังได้ยิน หญิงสาวยืดแผ่นหลังเล็กนั่งหลังตรงพยายามไม่ให้ตัวเองโดนตัวเขามากนัก แต่เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เป็นใจนักเพราะเวลานี้ร่างกายของทั้งสองมันแนบชิดจนแทบจะหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่แล้ว"อย่าเกร็ง"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบา ๆ ข้างใบหูเล็ก ลมหายใจกรุ่นร้อนถูกพ่น มาถูกใบหูเล็กจนจางเสี่ยวมี่รู้สึกขนลุกซู่ "ข้าไม่ได้เกร็งเจ้าค่ะ""อืม..."เซียวจ้านจับสายบังเหียนม้าข้างเดียวแล้วบังคับม้าให้ผ่อนแรงวิ่งช้าลงกว่าปกติมาก ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับเอวเล็กคอ

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 4 บุรุษผู้ช่วยเหลือ 2/2

    หย่งหมิ่นที่เพิ่งจัดการเก็บกวาดพวกโจรข้างนอกได้เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินไปตรวจสอบศพที่คาดว่าเป็นหัวหน้าโจรป่าที่พวกเขากำลังไล่ล่าอยู่"ตายแล้วขอรับนายท่าน""พูด!!"คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม จางเสี่ยวมี่ที่เพิ่งจะได้สติจึงได้เอ่ยตอบไขข้อข้องใจให้แก่ผู้ที่มาใหม่"ข้าถูกพวกมันจับตัวมาเจ้าค่ะ และเป็นข้าที่ใช้ปิ่นนี่สังหารมันด้วยตัวเอง สาวใช้ของข้าหลบหนีไปได้กำลังตามคนให้มาช่วยข้าเจ้าค่ะ""เอ่อ...เช่นนั้นแม่นางเป็นผู้ใดหรือขอรับ"หย่งหมิ่นเอ่ยถามแทนผู้เป็นนายที่ปากหนักเหลือเกิน ดูจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าเบื้องหลังของสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่จางเสี่ยวมี่ลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเห็นท่าทางของหย่งหมิ่นจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นทหาร และเมื่อกวาดสายตาไปทางด้านหลังก็เห็นว่ามีกลุ่มคนสวมใส่ชุดเกราะดั่งทหารชาญศึกที่นางเคยพบเมื่อชาติก่อน"ข้ามีนามว่าจางเสี่ยวมี่เป็นบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีกรมคลัง จางอี้อิน!""ฮ้า...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าหย่งหมิ่นขอรับ"จางเสี่ยวมี่พยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองบุรุษที่ยังถือดาบจ่อที่คอของนางอย

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 4 บุรุษผู้ช่วยเหลือ 1/2

    บทที่ 4บุรุษผู้ช่วยเหลือจางเสี่ยวมี่ที่เห็นว่าลูกน้องทั้งสองออกไปหมดแล้ว นางจึงได้คิดใช้โอกาสนี้ทำให้จื่อลู่หนีออกไปเพื่อตามคนมาช่วย และนางจะเป็นผู้ที่ถ่วงเวลาพวกมันไว้ที่นี่เอง เพราะหากจะหนีออกไปพร้อมกันทั้งสองก็เกรงว่าจะถูกจับได้ขึ้นมาเสียก่อนทันทีที่ไม่มีคนมาขวางทางแล้ว ชายผู้เป็นหัวหน้าก็ผลักร่างของจางเสี่ยวมี่ล้มตัวนอนกับเสื่อผืนเก่าทันที ตามด้วยร่างกายกำยำที่ทาบทับลงมาไม่ห่าง จมูกโด่งสูงซุกไซ้ดอมดมที่ลำคอระหงด้วยความหลงใหล ในจังหวะที่มันกำลังมัวเมาเพราะกลิ่นกายสาวอยู่นั้นมันกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดตรงบริเวณลำคอ"โอ๊ย!!"มันค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองก่อนจะฟุบลงแน่นิ่งไป ปิ่นทองในมือที่ถูกดึงออกมาจากมวยผมปักเข้าไปที่ลำคอหนาของมันอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลกระฉูดออกมาเป็นสาย ตรงตำแหน่งที่จางเสี่ยวมี่แทงไปนั้นคือเส้นเลือดใหญ่พอดี ทำให้มันแน่นิ่งไปในบัดดลไม่ทันได้ทำร้ายนางได้อีก จางเสี่ยวมี่รีบผลักร่างที่ไร้วิญญาณของมันล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างรังเกียจ ทั้งยังเอาผ้าเช็ดหน้าที่เก็บไว้เช็ดคราบน้ำลายอันน่าขยะแขยงที่ลำคอขาวจนแดงเถือกด้วย สีหน้าของนางนั้นสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใดจื่อลู่

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 3 คนร้ายในเงามืด 2/2

    "ระ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ"จื่อลู่พยายามขยับข้อมือของตน แต่ยิ่งนางขยับมากเท่าใดเชือกก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้อบอบบางนั่น"เจ้าอย่าเพิ่งได้ร้อนใจไป ที่พวกมันจับพวกเรามาโดยยังไม่สังหารคงต้องการสิ่งใดเป็นแน่ ข้าจะลองเจรจากับพวกมันดูก่อนและถ้ามีโอกาสเจ้ารีบวิ่งหนีออกไปเลยนะจื่อลู่"นางบุ้ยหน้าไปทางบานหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกลนัก คาดคะเนจากสายตาคิดว่าจื่อลู่คงจะกระโดดหนีออกจากทางหน้าต่างได้โดยง่าย"บ่าวจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ บ่าวไม่มีวันทิ้งคุณหนูเป็นอันขาดเจ้าค่ะ""ข้าให้เจ้าไปตามคนมาช่วยต่างหากเล่า เจ้าวิ่งไวกว่าข้ามากนัก และหากข้าคิดไม่ผิดพวกมันคงต้องการตัวข้ามากกว่าเจ้าที่เป็นสาวใช้เป็นแน่""คุณหนู...""นี่คือคำสั่ง! เข้าใจหรือไม่"จางเสี่ยวมี่จ้องเขม็งด้วยสายตาคมดุ นางไม่หวั่นหากจะต้องตายอีกครั้ง แต่กับจื่อลู่นั้นไม่เหมือนกัน...ราวกับพวกโจรมันรู้ว่าพวกนางฟื้นขึ้นมาแล้วจึงได้พากันเดินเข้ามาสองคน ชายผู้เป็นหัวหน้าย่างกรายเข้ามาใกล้จางเสี่ยวมี่กับจื่อลู่ที่นั่งอยู่มุมห้องโถงของวัดร้าง มันแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมด้วยความชั่วร้าย พร้อมกับใช้สายตาโลมเลียกวาดตามองไปทั่วเรือนร่างของจางเสี่

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 3 คนร้ายในเงามืด 1/2

    บทที่ 3คนร้ายในเงามืดรถม้าของจวนตระกูลจางเคลื่อนไปยังปลายทางอย่างไม่เร่งรีบนัก ถนนหนทางก็สะดวกสบายค่ำไหนก็นอนพักที่เมืองนั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเข้าสู่วันที่สิบของการเดินทาง ในตอนที่พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าและขบวนรถม้ายังไม่ได้ออกจากป่าไผ่ ผู้คุ้มกันจึงเล็งเห็นว่าควรหยุดพักที่จุดหยุดพักที่นี่ก่อน หากจะเดินทางต่อในยามกลางคืนก็อันตรายนัก เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายก็เป็นได้"คุณหนูขอรับ คืนนี้เราคงต้องหยุดพักกันที่นี่ก่อนคงต้องรบกวนคุณหนูนอนในรถม้าสักหนึ่งคืนแล้วล่ะขอรับ"อาซ่งเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ เขาเกรงว่าคุณหนูอาจจะไม่พอใจแล้วพาลบันดาลโทสะเฉกเช่นคุณหนูในห้องหอผู้อื่น"เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ก่อไฟกองใหญ่ ๆ ไว้ด้วยเล่า แล้วผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้ายามในตอนกลางคืนด้วย""ขอรับคุณหนู"อาซ่งพลันรู้สึกโล่งใจที่คุณหนูของเขาว่าง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก ทั้งยังรอบคอบในเรื่องเวรยามเสียด้วย เช่นนี้การเดินทางไปเมืองอู่เฉิงเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเสียงของฟืนดังปะทุเป็นระยะเพราะโดนไฟกิน กองไฟกองใหญ่ถูกก่อขึ้นกลางที่พักที่ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เสียงนกร้องและเสียง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status