จื่ออิงกำลังจดจ่ออยู่กับการตัดเย็บชุดตัวใหม่ให้เหยียนเหยียน เสียงจักรเย็บผ้าดังกึกกักเป็นจังหวะ สายตาของเธอจับจ้องไปยังฝีเข็มที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้า
ทันใดนั้น เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น
"พี่สาว"
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานที่กำลังเดินเข้ามา เจียงซินหยา
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที ไม่ใช่ว่าเธอปิดประตูรั้วแล้วหรอกหรือ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไร
จื่ออิงวางผ้าในมือลง ลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง
"ฉันเห็นรั้วบ้านพี่ปิดไม่สนิท เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามา"
เจียงซินหยายิ้มบางๆ
"ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ"
คำพูดนั้นทำให้จื่ออิงต้องเม้มริมฝีปาก รั้วปิดไม่สนิทงั้นหรือ เธอมั่นใจว่าปิดสนิทแล้วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
"มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ"
หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งมองคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกขัดใจกับสถานะนางเอกของอีกฝ่าย นางเอกอะไรกันไร้มารยาทสิ้นดี
"เปล่าหรอกค่ะ แค่วันนี้ฉันว่างเลยพาถังถังมาเยี่ยมเหยียนเหยียน"
เจียงซินหยาเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปมองด้านนอก
"เด็กๆ ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถังถังแกบ่นคิดถึงเหยียนเหยียนน่ะค่ะ"
จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย หันไปมองด้านนอกบ้านทันที
"เด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ค่ะ แล้วพี่สาวล่ะคะ กำลังทำอะไรอยู่"
เจียงซินหยาหันมองผ้าที่กองอยู่ข้างจักรเย็บผ้า
"ตัดชุดให้เหยียนเหยียนน่ะ"
จื่ออิงตอบสั้นๆ
"ว้าว พี่สาวนี่เก่งจังเลยนะคะ"
เจียงซินหยายิ้มหวาน
"เย็บเสื้อผ้าเองด้วย ฉันเองก็อยากตัดชุดใส่เองบ้างเหมือนกัน แต่จนใจที่ทำไม่เป็น"
"ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ ก็ทำได้ค่ะ"
"อุ๊ย พี่สาวจะตัดเสื้อให้พี่เฉินหรือคะ"
เจียงซินหยาที่เห็นแบบเสื้อผู้ชายเอ่ยถามขึ้นมาทันที ทั้งยังหยิบขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ
จื่ออิงยังไม่ทันจะตอบ ด้านนอกก็เกิดเสียงดังขึ้น
ตุ้บ!
"ฮืออออออ!"
เสียงร้องไห้ของเด็กดังขึ้นจากหน้าบ้าน จื่ออิงหันไปมองเจียงซินหยาที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที
ทันทีที่เธอไปถึงหน้าบ้าน ภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ
เหยียนเหยียนยืนตัวสั่นเทา ดวงตากลมโตทั้งสองแดงก่ำ จ้องมองเด็กหญิงตัวขาวที่น่าจะโตกว่าเหยียนเหยียนปีสองปี นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น ร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างโกรธเคือง
"เกิดอะไรขึ้น"
จื่ออิงรีบเข้าไปโอบกอดเหยียนเหยียนเอาไว้ ก่อนจะหันไปถามเด็กหญิงที่ลุกขึ้นวิ่งไปกอดเจียงซินหยาที่เดินตามออกมา
"ถังถังเกิดอะไรขึ้น ร้องไห้ทำไม"
เจียงซินหยาเอ่ยถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงตกใจ
"เหยียนเหยียนผลักหนูล้มค่ะ"
ถังถังตอบเสียงสั่น ขณะใช้หลังมือปาดน้ำตา ดวงตาของเธอแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกเหมือนคนถูกกลั่นแกล้งอย่างหนัก
จื่ออิงชะงัก ก้มมองบุตรสาวในอ้อมแขน จากที่ได้ใกล้ชิดกันมา แม้จะเพียงไม่กี่วัน แต่เธอมั่นใจว่าเหยียนเหยียนเป็นเด็กอ่อนโยน ไม่ทำร้ายใครก่อนแน่ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงผลักเด็กถังถังได้
เธอค่อยๆ ก้มลงมองใบหน้าของเหยียนเหยียน ดวงตากลมโตเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ มือเล็กๆ กำเสื้อตัวเองแน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง ท่าทางนั้นทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
"เหยียนเหยียน"
เสียงของเจียงซินหยาดังขึ้นจนเหยียนเหยียนสะดุ้ง
"ทำไมต้องผลักถังถังด้วย"
จื่ออิงหันขวับไปมองเจียงซินหยาทันที ดวงตาคู่งามทอประกายเย็นเยียบ
"อย่ามาขึ้นเสียงใส่ลูกฉัน"
เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังคงทำหน้าตึง
"ฉันแค่ถามนะคะพี่สาว เด็กทำผิดก็ควรต้องสอนให้รู้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด"
จื่ออิงไม่ตอบอะไร แต่หันกลับมามองบุตรสาว เธอยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆ
"เหยียนเหยียนเกิดอะไรขึ้นคะ บอกแม่ได้ไหม"
จื่ออิงเอ่ยถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"พี่สาวยังจะต้องถามอีกหรือ ก็เห็นๆ อยู่ว่าเหยียนเหยียนผลักถังถังล้ม อีกอย่างเหยียนเหยียนเป็นใบ้จะตอบพี่ได้ยังไง"
เสียงเยาะหยันของเจียงซินหยาทำให้จื่ออิงขบกรามแน่น หันขวับไปมองหญิงสาวตรงหน้า แววตาเย็นเยียบราวกับคมมีด
"หุบปาก"
จื่ออิงหลับตาลงสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เดือดพล่านไปกับคำพูดของเจียงซินหยา
"หากยังพูดไม่คิด อย่าหาว่าฉันไม่เตือน"
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่ให้ลุกขึ้นไปหยุมหัวแม่นางเอกไม่ตรงปก ก่อนจะหันมาเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"เหยียนเหยียนไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไหนบอกแม่ซิว่าทำไมลูกถึงได้ผลักถังถัง"
เหยียนเหยียนมองมารดา ก่อนจะเม้มปากแน่น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความโกรธและเสียใจ เธอชี้ไปที่กิ่งไม้ที่มีตุ๊กตากระต่ายติดอยู่
จื่ออิงมองตามนิ้วเล็กๆ ของบุตรสาว ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาทันที
หญิงสาวหันไปมองถังถัง เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังก้มหน้าหลบสายตา
"ถังถัง ทำไมตุ๊กตาของเหยียนเหยียนถึงไปอยู่บนนั้นคะ"
น้ำเสียงของจื่ออิงไม่ได้ดุดัน แต่กลับอ่อนโยน ทว่าแฝงด้วยความกดดัน
ถังถังสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาหลุกหลิก ก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตา
จื่ออิงถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ถังถังคงเป็นคนโยนกระต่ายน้อยขึ้นไปบนต้นไม้ เหยียนเหยียนโกรธมาก จึงผลักถังถังล้มลง
เหยียนเหยียนมองกระต่ายน้อยแล้วกอดมารดาแน่น น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาอาบแก้มเล็กๆ อย่างห้ามไม่อยู่
จื่ออิงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแน่น น้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอเช็ดน้ำตาบนแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงนุ่ม
"ไม่ต้องร้องนะคะ เดี๋ยวแม่จะเอากระต่ายน้อยลงมาให้หนูเอง นิ่งเสียนะคะเด็กดี"
เหยียนเหยียนกะพริบตาปริบๆ จ้องมารดาด้วยดวงตาแดงช้ำ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
"เหยียนเหยียนยืนรอแม่อยู่ตรงนี้นะคะ"
จื่ออิงยิ้มบางให้บุตรสาว จากนั้นเหลือบมองเจียงซินหยาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินไปทางด้านหลังบ้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมบันไดไม้ไผ่
เธอวางบันไดพิงกับต้นไม้ ตรวจดูความมั่นคงอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไป เอื้อมมือคว้าตุ๊กตากระต่ายที่ติดอยู่บนกิ่งไม้มากอดแนบอก
หญิงสาวหันไปยิ้มให้เหยียนเหยียนที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ดวงตากลมโตของเด็กน้อยจับจ้องไปที่มารดาไม่วางตา
"ได้แล้วค่ะ"
จื่ออิงตะโกนบอกด้วยความยินดี ก่อนจะเริ่มไต่กลับลงมา
แต่ในขณะที่เธอกำลังไต่กลับลงมาได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ บันไดก็ถูกกระแทกอย่างแรง
กึก!
บันไดสั่นไหวโอนเอน ร่างของจื่ออิงเสียหลัก เธอพยายามคว้ากิ่งไม้ใกล้ตัวเพื่อพยุงร่าง แต่ไม่ทันเสียแล้ว
พลั่ก!
ร่างของจื่ออิงร่วงลงมากระแทกพื้นทันที
"แม่!"
เสียงเล็กๆ กรีดร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเช่นกัน
"อาอิง!"
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาต้อนรับหลี่เฉินตั้งแต่หน้าประตู เขาก้าวเข้าไปในครัว เห็นจื่ออิงกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ไอร้อนจากกระทะลอยขึ้นจางๆ เธอกำลังทำอาหารด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจ ขณะที่เหยียนเหยียนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็ก กำลังเล่นตุ๊กตาอย่างเพลิดเพลิน"พ่อคะ"เสียงใสของบุตรสาวดังขึ้นทันทีที่เธอเห็นเขา ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความดีใจ รอยยิ้มไร้เดียงสาทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นขึ้นจื่ออิงหันมามองเขาตามเสียงของบุตรสาว ดวงตาของเธออ่อนโยนและอบอุ่น ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มหวานส่งมาให้"กลับมาแล้วหรือคะ"เธอเอ่ยถามพลางวางมือจากงานตรงหน้า ก่อนเดินไปตักน้ำเย็นจากโอ่งหินแล้วยื่นส่งให้เขา"น้ำค่ะ"หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาอย่างเช่นทุกวัน ก่อนจะกลับไปจัดการกับอาหารที่เตา"อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว คุณรออีกเดี๋ยวนะคะ"เพียงเท่านั้น ความเหนื่อยล้า อารมณ์โกรธ และความหงุดหงิดไม่พอใจทั้งหมดที่คั่งค้างอยู่ในใจของเขาก็ค่อยๆ คลายลง เขาดื่มน้ำจนหมดแก้ว สัมผัสเย็นชื่นใจช่วยบรรเทาความอ่อนล้า ขณะที่ความอบอุ่นอ่อนโยนของคนตรงหน้าค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในใจ ครอบครัวที่ทำให้หัวใจสงบลงได้เสมอหลี่เฉินทอดถอนหายใจเบาๆ
หลี่เฉินยังคงมาทำงานตามปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงซินหยากำลังล้ำเส้น พยายามเข้าหาเขามากขึ้นจนเขารู้สึกอึดอัด และยังแสดงท่าทีให้คนอื่นเข้าใจผิด วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการซ่อมคันไถ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้"พี่เฉิน"หลี่เฉินไม่ต้องเงยหน้าขึ้นดูก็รู้ว่าเป็นใคร"มีอะไร" เขาถามเสียงเรียบโดยไม่ละมือจากงานที่ทำเจียงซินหยาลังเลเล็กน้อย สายตาเหลือบมองเหล่าชาวบ้านที่กำลังส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา ใบหน้าของเธอดูหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก ซึ่งระยะหลังมานี้เธอมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่เข้าหาหลี่เฉิน"ฉันแค่ อยากมาช่วยค่ะ"หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตา"เธอควรกลับไปทำงานในส่วนของเธอนะ"เจียงซินหยากัดริมฝีปากแน่น คล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ไม่ยอมถอยกลับง่ายๆ จะอย่างไรวันนี้เธอก็จะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ตลอดหลายวันมานี้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเว้นระยะห่างจากเธอ และที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็คงเป็นเพราะหลินจื่ออิงคนเดียว "พี่เฉิน พี่ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่"เสียงของเจียงซินหยาสั่นไหว
หลังจากที่จื่ออิงหายดี หลี่เฉินก็กลับไปทำงานตามปกติ ท้องฟ้าของเช้าวันใหม่ดูสดใส แสงแดดส่องกระทบผืนนา แปลงข้าวสีเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา เสียงจอบกระทบดินและเสียงน้ำในร่องนาขยับไหลตามแรงดังเป็นจังหวะ หลี่เฉินก้มหน้าก้มตาเดินตรวจงานอย่างตั้งใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูผิดแปลกไปจากปกติเขารู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา บางคู่จับจ้องอย่างลังเล บางคู่มีแววสงสัย และบางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น"อ้าว หลี่เฉิน กลับมาทำงานแล้วเหรอ"เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดบันทึกตรงหน้า เห็นป้าหวั่นที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานเดินเข้ามาหา และเป็นที่รู้กันดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงปากมาก ปากยื่นปากยาว เรื่องสั้นแค่คืบนางสามารถสร้างเรื่องราวให้ยาวมากกว่าศอก เรื่องราวที่ควรจบลงในไม่กี่คำ นางสามารถเล่าขยายให้ยาวราวกับเป็นนิทานหลายบท ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีประกายของความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม"ครับ" หลี่เฉินตอบสั้นๆป้าหวั่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น"ได้ข่าวว่าจื่ออิงเมียของเธอหายดีแล้วหรือ"คำถามนั้นดูเหมือนปกติ แต่ท่าทางของคนถามและสายตาของคนรอบข้า
หลี่เฉินกลับมาพร้อมหมอวัยกลางคนที่ประจำอยู่ที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวเข้ามาอย่างร้อนใจ เห็นภรรยายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่ง ใบหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังมีรอยยิ้มละมุน เขารู้ว่าเธอกำลังเจ็บ แต่ไม่อยากให้เขาและบุตรสาวกังวลจึงได้อดทนไว้หลี่เฉินรีบตรงเข้าไปหา ก้มตัวลงมองสำรวจเธออย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมนที่เริ่มผุดซึมออกมา"อาอิง เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอเร็วเข้า"จื่ออิงยิ้มบางๆ"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น"หมอพยักหน้ารับ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าจื่ออิง แล้วเริ่มตรวจข้อเท้าของเธออย่างละเอียด"ข้อเท้าได้รับแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบ โชคดีที่ไม่ได้หัก แค่ต้องระวังไม่ให้ขยับมากเกินไป เดี๋ยวหมอจะทายาและพันผ้าเอาไว้ให้"หมอพูดพลางเปิดกล่องพยาบาล จื่ออิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง"ส่วนที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ทายาวันละสองครั้งก็พอ หมอจะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเอาไว้ให้กิน"หมอกล่าวต่อ ขณะใช้ผ้าพันข้อเท้า จื่ออิงเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บ ทว่าเธอยังคงอดทน
"แม่"เสียงเล็กๆ ที่กรีดร้องดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทำให้จื่ออิงเบิกตากว้าง เธอตกตะลึงจนลืมความเจ็บไปชั่วขณะ หัวใจของเธอสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความเจ็บ แต่เพราะความตกใจและตื้นตันเหยียนเหยียนพูดได้แล้ว เหยียนเหยียนเอ่ยเรียกเธอร่างเล็กๆ ของเหยียนเหยียนสั่นเทา รีบวิ่งเข้ามาหามารดา น้ำตาไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เธอทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตกใจ เมื่อเห็นมารดาพลัดตกลงมาต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงรีบทรุดตัวลงข้างๆ มือเล็กๆ จับชายเสื้อของมารดาแน่น "ฮือ...แม่ แม่คะ"เสียงเล็กๆ ร้องเรียกสั่นเครือ"อาอิง"หลี่เฉินที่เพิ่งก้าวเข้ามาในลานบ้าน ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของจื่ออิงร่วงลงมากระแทกพื้นต่อหน้าต่อตา หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ความตกใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง โผเข้าไปหาภรรยาทันที นัยน์ตาคมเข้มฉายแววตื่นตระหนก"คุณเจ็บตรงไหน บอกผมเร็วเข้า"เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน มือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแตะต้องภรรยาเพราะกลัวจะทำให้เธอเจ็บหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นภรรยาหลั่งน้ำตาหัวใจยิ่งเหมือนถูกบีบแน่น เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลจื่ออิงดวงตาร้อนผ่าว น้ำตานองเต็มหน้า แต่ไม่ใช่เพร
จื่ออิงกำลังจดจ่ออยู่กับการตัดเย็บชุดตัวใหม่ให้เหยียนเหยียน เสียงจักรเย็บผ้าดังกึกกักเป็นจังหวะ สายตาของเธอจับจ้องไปยังฝีเข็มที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้าทันใดนั้น เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น"พี่สาว"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานที่กำลังเดินเข้ามา เจียงซินหยาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที ไม่ใช่ว่าเธอปิดประตูรั้วแล้วหรอกหรือ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไรจื่ออิงวางผ้าในมือลง ลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง"ฉันเห็นรั้วบ้านพี่ปิดไม่สนิท เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามา" เจียงซินหยายิ้มบางๆ "ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ"คำพูดนั้นทำให้จื่ออิงต้องเม้มริมฝีปาก รั้วปิดไม่สนิทงั้นหรือ เธอมั่นใจว่าปิดสนิทแล้วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป"มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งมองคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกขัดใจกับสถานะนางเอกของอีกฝ่าย นางเอกอะไรกันไร้มารยาทสิ้นดี"เปล่าหรอกค่ะ แค่วันนี้ฉันว่างเลยพาถังถังมาเยี่ยมเหยียนเหยียน" เจียงซินหยาเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปมองด้านนอก "เด็กๆ ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถังถังแกบ่นคิดถึงเหยียนเหยียนน