แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่น
จื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัว
สิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน
จื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก
จื่ออิงข่มความอับอายที่เกิดขึ้น ค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนอุ่น แต่อ้อมกอดนั้นกลับรัดแน่นขึ้นอย่างอัตโนมัติ จนต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
"อาอิงจะไปไหนครับ ยังเช้าอยู่เลย"
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่ามีเสน่ห์ในแบบของผู้ชายที่เพิ่งจะตื่นนอนดังขึ้นข้างหู ความอุ่นร้อนจากลมหายใจของเขาทำให้จื่ออิงชะงัก
เธอยังไม่ทันตอบคำถามนั้น มือของเขากลับเลื่อนขึ้นจากหน้าท้อง ลูบไล้ผิวกายของเธอแผ่วเบา ก่อนจะกอบกุมอกอิ่มของเธออย่างอาจหาญ จงใจบีบเบาๆ กลั่นแกล้งกันอย่างเปิดเผย
"หลี่เฉิน"
จื่ออิงร้องเสียงหลง รีบคว้าจับมือเขาเอาไว้แน่น พยายามที่จะดึงออก แต่กลับสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้
เธอจึงพลิกกายหันมาเผชิญหน้ากับคนหน้าไม่อาย ที่ตอนนี้ทำหน้าทำตากรุ้มกริ่มเสียจนเธออยากจะฟาดเขาสักที ดวงตาหวานถลึงใส่เขาด้วยความขัดเขิน แก้มนวลขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้
หลี่เฉินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย แผ่นอกของเขากระเพื่อมจากเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้กระซิบชิดแก้มนุ่ม
"ก็คุณสวยมากจนผมอดใจไม่ไหว"
คำพูดของเขาทำเอาจื่ออิงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะซุกใบหน้าร้อนผ่าวกับอกกว้างของสามี พึมพำว่าเขาเบาๆ
"คนบ้า"
หลี่เฉินหัวเราะออกมา ฝังปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่มของภรรยา สูดกลิ่นหอมจางๆ อย่างเงียบงัน เขาหลับตาลงแล้วเอ่ยออกมาอย่างออดอ้อน
"ผมยังไม่อยากลุกเลย อยากนอนกอดคุณนานๆ"
คำพูดแสนธรรมดา แต่ในน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
จื่ออิงหลุดยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
"วันนี้ต้องพาลูกไปดูโรงเรียนนะคะ แล้วฉันก็กลัวว่าแกจะตื่นมาแล้วไม่เจอด้วย"
หลี่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน เขามองเธออย่างอ้อยอิ่ง ยกมือขึ้นเกลี่ยปลายผมที่หล่นลงมาข้างแก้มของเธอ ก่อนจะค่อยๆ แนบหน้าลงหอมเส้นผมนุ่ม
"แต่ผมยังไม่อยากให้คุณลุกไปไหนเลย"
เขาว่าเบาๆ พร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย
"ขอผมกอดคุณอีกนิดเถอะนะ แค่นิดเดียวเอง"
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขาอีกครั้ง ปล่อยให้ช่วงเวลาแสนเรียบง่ายที่อบอุ่นนี้ดำเนินไป ไม่มีถ้อยคำใดถูกเอ่ยขึ้นอีกในชั่วขณะนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจที่ประสานกัน กับจังหวะหัวใจที่เต้นไปพร้อมกัน อ้อมแขนที่โอบกอดเธอเอาไว้นั้นอบอุ่นจนแทบไม่อยากลุกไปไหนจริงๆ
หลี่เฉินยกยิ้มละมุน ยกฝ่ามืออุ่นขึ้นลูบเบาๆ ที่แผ่นหลังของภรรยา ก่อนจะกระซิบบอกเสียงทุ้ม
"อาอิง คุณรู้ไหม ผมอยากให้ในทุกๆ เช้าเป็นแบบนี้"
จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาสั่นไหวอย่างเขินอาย แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธได้
"หมายถึง ตื่นมาเจอฉันแบบนี้เหรอคะ"
หลี่เฉินพยักหน้าน้อยๆ แล้วโน้มหน้าลงมาแนบหน้าผากกับเธอช้าๆ เสียงกระซิบอ่อนโยนของเขาทำให้หัวใจเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
"ใช่ ตื่นมาแล้วเห็นคุณนอนอยู่ข้างๆ ได้กอด ได้มองหน้า ได้จูบ แบบนี้ทุกวัน"
เขากระซิบจบก็แตะจูบลงที่หน้าผากเธอเบาๆ อย่างแสนรัก ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมาจูบปลายจมูกเล็ก และหยุดที่ริมฝีปากของเธอ จูบเธอช้าๆ อย่างละมุนละไม
จื่ออิงยิ้มเขินอาย ซุกใบหน้ากับอกอุ่นของหลี่เฉิน เสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาดังขึ้น ก่อนที่เขาจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
นาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ภายในห้องนอน คนทั้งสองยังกอดกันแนบแน่นใต้ผ้าห่มอุ่น ท่ามกลางความเงียบสงบของยามเช้า
ด้านนอกห้อง เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนอนสีหวานก็กำลังเดินไปทั่วบ้าน เหยียนเหยียนเดินกอดตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดเอาไว้แน่น ริมฝีปากเล็กขมุบขมิบคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหรี่ตามองไปทางประตูห้องของพ่ออย่างสงสัย
หรือจะเป็นพ่อที่แอบมาขโมยแม่ของเธอไป
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็ไม่เห็นแม่นอนอยู่ข้างกาย เด็กน้อยคิดว่าแม่คงอยู่ในครัวเหมือนเช่นทุกวัน จึงเดินไปดูในครัวก่อนเป็นอันดับแรก แต่ภายในครัวกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่กลิ่นข้าวต้มอุ่นๆ ที่ควรลอยโชยมาเช่นทุกเช้า ทั้งบ้านยังเงียบราวกับไม่มีใครอยู่
เด็กน้อยเดินวนหาทั่วทั้งบ้าน ทั้งห้องโถง ห้องน้ำ และแม้กระทั่งสวนหลังบ้าน ทว่าทุกซอกทุกมุมกลับเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย มีเพียงเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างแผ่วเบา
และเหลืออยู่เพียงที่เดียวเท่านั้นที่เธอยังไม่ได้ไปดู
เหยียนเหยียนจึงมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของคนเป็นพ่อ ดวงตากลมโตช้อนมองบานประตูด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยกมือเล็กๆ ขึ้นเคาะเบาๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังลอดเข้ามาภายในห้องนอนที่ยังอบอวลด้วยความหวานชื่น จื่ออิงสะดุ้งน้อยๆ ในอ้อมแขนของหลี่เฉิน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบดันไหล่ของคนที่กำลังซุกอยู่กับอกเปลือยเปล่าของเธอออก ขณะที่หลี่เฉินเองก็ชะงัก หายใจติดขัดไปชั่วขณะ
"แม่คะ แม่อยู่ในนั้นใช่ไหมคะ"
จื่ออิงหน้าแดงซ่านขึ้นทันที หันไปดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้แน่น ในขณะที่หลี่เฉินซบใบหน้ากับซอกคอหอมกรุ่นของภรรยา พลางกลั้นหัวเราะ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ดังลอดเข้ามา
"ว้า ลูกหาเจอซะแล้ว"
"ไหนว่าจะกอดแค่นิดเดียวอย่างไรเล่า"
จื่ออิงกระซิบลอดไรฟัน มือหนึ่งดันอกเขาออกอย่างร้อนรน เธอไม่น่าเคลิ้มไปกับเขาเลย
"ก็อารมณ์มันมาไป"
หลี่เฉินกระซิบตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
จื่ออิงถลึงตามองคนที่ยังคงนอนตะแคงด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งที่ตัวเองร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ติดกาย
หญิงสาวตวัดผ้าห่มคลุมร่างคนหน้าไม่อายกันภาพอุจาดตา ก่อนจะรีบสวมเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย
เมื่อมั่นใจว่าเรียบร้อยดีแล้ว จึงรีบเดินไปยังประตู สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ เปิดออก
ทันทีที่ประตูแง้มออก ดวงตากลมโตของเหยียนเหยียนก็จ้องขึ้นมามองอย่างไม่ละสายตา
"แม่อยู่ในนี้จริงๆ ด้วย"
เด็กหญิงพูดพลางยิ้มกว้าง แล้วโผเข้าไปหามารดาทันที ทันใดนั้นสายตาก็เบนเข้าไปในห้อง เห็นเงาของใครบางคนที่ยังนอนกอดหมอนอยู่กลางเตียง
"พ่อกับแม่ทำอะไรกันอยู่คะ แล้วทำไมแม่ถึงมานอนห้องพ่อ"
เสียงใสของเหยียนเหยียนดังขึ้น พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ดวงตากลมโตใสแจ๋วที่มองมาราวกับกำลังจับผิดใครสักคน จนคนถูกถามแทบอยากมุดหน้าหนี
หลี่เฉินที่ยังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ได้ยินคำถามนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงทุ้มนุ่มชวนอุ่นใจเอ่ยตอบแทนภรรยาที่ยังอ้ำอึ้งอย่างไม่รู้สึกรู้สา
"ก็เพราะแม่คิดถึงพ่อยังไงล่ะ จึงแอบมานอนกอดพ่อ"
จื่ออิงหันขวับไปมองเขาทันที สายตาทั้งเขินทั้งคาดโทษ ทำเอาหลี่เฉินต้องยิ้มกลบเกลื่อน หัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
ส่วนเหยียนเหยียนขมวดคิ้วนิดๆ หรี่ตามองคนเป็นพ่อด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเชื่อเสียเท่าไหร่ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง
"หนูว่าพ่อต่างหากที่แอบขโมยแม่มา เป็นพ่อที่อยากกอดแม่มากกว่า เพราะแม่ทั้งตัวนุ่มนิ่มทั้งตัวหอม แอบจุ๊บแม่ด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วนั่น ถอดเสื้อทำไมกัน"
จู่ๆ คำพูดยาวเหยียดก็หลุดออกมาจากปากเล็กๆ อย่างไร้เดียงสา ทำเอาคนเป็นแม่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดในพริบตา
จื่ออิงได้แต่ยกมือขึ้นกุมหน้าด้วยความอับอาย ในขณะที่หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ไปค่ะเหยียนเหยียนไปอาบน้ำดีกว่านะ เดี๋ยวแม่ทำอาหารเช้าให้"
จื่ออิงรีบบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะจับมือบุตรสาวออกจากห้อง ไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกพูดคุยกันไปมากกว่านี้ และไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้คนที่ยังหัวเราะจนไหล่สั่น ขยับปากโดยไร้เสียง
รีบจัดการตัวเองเดี๋ยวนี้
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน