เสียงในครัวเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งเสียงตะหลิวกระทบกระทะ และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ยอมอาบน้ำ แต่อยากมาช่วยมารดาทำอาหาร
"อย่าเพิ่งขยับมันนะคะ เดี๋ยวไข่แดงจะแตก"
จื่ออิงเตือนเบาๆ ขณะจับมือเล็กให้ห่างจากกระทะ
"ก็หนูตื่นเต้นนี่นา"
เหยียนเหยียนผู้อยากทอดไข่ดาวด้วยตัวเองร้องบอกมารดา ในขณะที่จ้องมองไข่ดาวในกระทะอย่างตั้งใจ
หลี่เฉินในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาโอบเอวภรรยาจากด้านหลังแล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ กระซิบถามข้างหูเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ
"เช้านี้ทำอะไรกินครับ อืม หอมมากๆ"
จื่ออิงสะดุ้งเล็กน้อย แก้มขึ้นสีระเรื่อก่อนจะหันไปมองค้อนเขาเบาๆ
"อย่ามาแกล้งสิคะ เหยียนเหยียนอยู่ตรงนี้นะ"
"ก็อาหารฝีมือคุณหอมจริงๆ นี่ครับ"
หลี่เฉินยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย พลางทำท่าสูดดมกลิ่นข้าวผัดสีสวยที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันปลายจมูกมาจุ๊บแก้มภรรยาอีกครั้ง
เหยียนเหยียนที่กำลังตั้งใจทอดไข่ดาว หันมายิ้มจนตาหยีทันทีเมื่อเห็นพ่อกับแม่หยอกล้อกัน
"พ่อแอบหอมแก้มแม่อีกแล้ว หนูเห็นนะคะ"
คำพูดใสซื่อและสายตาหยอกล้อของบุตรสาวตัวน้อย ทำให้จื่ออิงรีบหันขวับไปมองค้อนคนตัวโตข้างหลังทันที
หลี่เฉินยักคิ้วอย่างคนไม่รู้สึกรู้สา เขายิ้มทะเล้นให้ลูกสาว แล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
"พ่อไม่ได้แอบเสียหน่อย นี่ไง"
พูดจบ เขาก็ก้มลงหอมแก้มภรรยาไปอีกหลายฟอด
ฟอด ฟอด ฟอด
เสียงจุ๊บแก้มดังชัดเจนจนคนถูกหอมหน้าแดงจัด ยกมือขึ้นตีแขนของสามีเบาๆ ด้วยความขัดเขิน
"คุณ"
จื่ออิงร้องเบาๆ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้
เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ดูเหมือนหลี่เฉินจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากผู้ชายที่ฟอร์มจัด เงียบขรึม พูดน้อย เขากลับกลายมาเป็นคนขี้แกล้ง กลายเป็นคนทะเล้นไปเสียแล้ว
จื่ออิงอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ ขณะที่สายตาของเธอมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างอ่อนโยน ผู้ชายคนเดิมที่เคยเก็บงำทุกอย่างไว้เงียบๆ ตอนนี้กลับทำในสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขามาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่รอยยิ้ม
หลี่เฉินดูผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ใช่ผู้ชายขรึมๆ ที่เธอเคยรู้จักเมื่อแรกพบ ไม่ใช่คนเงียบงันที่พูดเท่าที่จำเป็น และเก็บงำความรู้สึกอีกแล้ว
ตอนนี้เขาดูมีชีวิตชีวา เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เปิดเผยความรู้สึกมากขึ้น เหมือนกับว่าไม่ต้องระวัง ไม่ต้องปิดบัง ไม่เหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าตลอดเวลา และเหนือสิ่งอื่นใดคือ มีเพียงเธอที่ได้เห็นมุมนี้ของเขา
เหยียนเหยียนตัวน้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้ำนมเรียงตัวสวย พร้อมกับหัวเราะเสียงใสอย่างถูกอกถูกใจ
"อุ๊ย ไข่ดาวสุกเกินไปแล้วค่ะ"
จื่ออิงถอนสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของสามี รีบหันไปคว้าตะหลิวตักไข่ดาวขึ้นใส่จาน อดที่จะบ่นคนที่เอาแต่แกล้งกันไม่ได้
"คุณอะ เอาแต่แกล้งฉัน ถ้าอย่างนั้นไข่ดาวใบนี้ยกให้คุณก็แล้วกันนะคะ"
หลี่เฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย เขาส่งสายตาอ่อนโยนมองภรรยา รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้า
"มาครับ เดี๋ยวผมทำต่อเอง"
เขาว่าพลางหยิบไข่ขึ้นมาตอกใส่กระทะ
"คุณพาลูกไปอาบน้ำเถอะครับ"
จื่ออิงยิ้มให้เขาพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ก่อนจะย่อตัวลงเอ่ยกับบุตรสาวเสียงนุ่ม
"ไปอาบน้ำกันค่ะจะได้แต่งตัวสวยๆ แล้วเดี๋ยวมากินข้าวกัน"
เหยียนเหยียนพยักหน้าหงึกๆ ดวงตากลมโตเปล่งประกาย พร้อมกับบอกความต้องการของเธอ
"หนูอยากใส่ชุดสีชมพูตัวใหม่ที่แม่ตัดให้ค่ะ"
"ได้เลยค่ะ"
จื่ออิงตอบรับบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม
สองแม่ลูกพากันจูงมือออกจากห้องครัว ทิ้งให้หลี่เฉินยืนอยู่หน้าเตา มองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แล้วลงมือทอดไข่ดาวต่ออย่างตั้งใจ
มื้อเช้าแสนเรียบง่ายเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางแสงแดดอุ่น ข้าวผัดแสนอร่อยโปะด้วยไข่ดาวดูน่ากิน เสียงหัวเราะของบุตรสาว และสายตาอ่อนโยนหวานซึ้งที่พ่อแม่ส่งให้กันอย่างเงียบๆ กลายเป็นเช้าวันใหม่ที่อบอวลไปด้วยความสุข และความรัก
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยทั้งครอบครัวก็พากันออกจากบ้าน พวกเขาขี่จักรยานไปตามถนนสายเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยบ้านไม้เก่าและต้นไม้เขียวชอุ่ม ข้างทางยังมีรถสามล้อวิ่งผ่าน และแม่ค้าตะโกนขายผลไม้ตามริมถนนเป็นระยะ กลิ่นหอมของขนมอบจากร้านเบเกอรี่ ลอยมาตามลมให้ความรู้สึกคึกคักแบบเรียบง่าย
โรงเรียนอนุบาลที่จะให้เหยียนเหยียนเข้าเรียนตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านของพวกเขามากนัก ห่างกันเพียงสองช่วงถนน สะดวกต่อการไปรับไปส่ง เป็นอาคารสองชั้นทาสีอ่อน มีรั้วไม้เตี้ยๆ ล้อมรอบ ด้านหน้าโรงเรียนปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา และมีป้ายไม้สลักชื่อโรงเรียนอย่างเรียบง่าย
จื่ออิงจับมือลูกแน่น ขณะที่เดินเคียงกันออกจากห้องครูใหญ่ เธอมองสีหน้าของเหยียนเหยียนแล้วก็รู้ว่า เธอเลือกไม่ผิดที่จะให้ลูกเริ่มต้นที่นี่ แววตาเปล่งประกายและใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังยิ้มตื่นเต้นตลอดเวลา จนเธออดยิ้มตามไม่ได้
หลังจากมาพูดคุยกับครูประจำชั้นเสร็จเรียบร้อย ก็พากันเดินชมโรงเรียนจนทั่ว
ภายในโรงเรียนมีลานกว้างที่เด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนปั่นจักรยานสามล้อไม้ บางคนเล่นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก พวกเขาเดินผ่านสนามเด็กเล่นที่มีเครื่องเล่นสีสันสดใส ซึ่งทำให้เหยียนเหยียนถึงกับหยุดมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
ผ่านห้องเรียนที่เต็มไปด้วยผลงานของเด็กๆ และมุมหนังสือนิทานมากมาย อีกมุมหนึ่งมีโต๊ะเรียนศิลปะที่เด็กๆ กำลังวาดภาพด้วยสีเทียนหลากสี
เหยียนเหยียนยืนมองอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้พ่อกับแม่
"ที่นี่น่าเรียนมากเลยค่ะ"
เด็กหญิงหันมาบอกเสียงใส ดวงตาเปล่งประกาย
จื่ออิงก้มลงลูบผมบุตรสาวเบาๆ รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้า
"อาทิตย์หน้าหนูก็จะได้มาเรียนที่นี่แล้วนะคะ"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล วันนี้เป็นวันศุกร์เด็กหญิงจึงต้องรอมาโรงเรียนวันจันทร์หน้า ซึ่งอีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น
"จริงเหรอคะ เย้!"
เหยียนเหยียนกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ
รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเล็กๆ ทำให้จื่ออิงและหลี่เฉินที่ยืนดูอยู่หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
ทั้งสามเดินออกมาจากโรงเรียนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า โดยเฉพาะเหยียนเหยียนที่ดูจะมีความสุขจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ หนูน้อยพูดไม่หยุดตลอดทาง เล่าทุกอย่างที่เห็นอย่างตื่นเต้น
ส่วนจื่ออิงกับหลี่เฉินก็แอบสบตากันด้วยรอยยิ้ม ในใจของพ่อแม่ ไม่มีอะไรสุขไปกว่านี้แล้ว การได้เห็นลูกมีความสุขและเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยคือความสุขที่สุดของพวกเขา
และวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพาบุตรสาวมาสมัครเรียนเท่านั้น แต่จื่ออิงตั้งใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เธอจะใช้เวลาทั้งวันอยู่กับเหยียนเหยียนให้คุ้มค่า จะพาเหยียนเหยียนไปเที่ยวเล่นและหาของอร่อยๆ กิน เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่เธอกับสามีมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานจนแทบไม่มีเวลาให้ลูกเลย
หลังจากออกมาจากโรงเรียน ทั้งสามคนก็พากันแวะร้านขนมอบและเบเกอรี่ที่เพิ่งเปิดใหม่อยู่ตรงหัวมุมถนน ร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งอย่างน่ารัก มีป้ายไม้ห้อยอยู่หน้าร้าน พร้อมกลิ่นหอมของขนมปังอบสดใหม่ลอยออกมาต้อนรับตั้งแต่ก้าวแรก
หน้าร้านมีขวดน้ำหวานหลากสีวางเรียงกันเป็นระเบียบ ทั้งสีแดง สีเขียว สีส้ม หวานเย็นชื่นใจ แค่เห็นก็รู้สึกสดชื่น
ข้างในตู้กระจกใสมีขนมหน้าตาน่ากินสารพัดวางเรียงราย ทั้งขนมปังเนยนุ่ม เค้กผลไม้ พายครีม คุกกี้ที่มีหน้าตาน่ารัก และขนมอีกหลากหลายชนิด
เหยียนเหยียนยืนตาโตอยู่หน้าตู้กระจก มองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี เพราะมันดูน่ากินไปหมดทุกอย่าง
"เลือกได้ตามใจเลยครับ วันนี้ลูกอยากกินอะไร พ่อตามใจหนูหนึ่งวัน"
หลี่เฉินพูดพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดูขณะที่ยืนอยู่ข้างบุตรสาว
"จริงเหรอคะ"
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
จื่ออิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มตัวลงมาช่วยบุตรสาวเลือกขนม
"งั้นเอาเค้กสตรอว์เบอร์รีดีมั้ยคะ แล้วก็ขนมปังไส้ถั่วแดงนี่ก็น่าอร่อยนะ"
"หนูอยากได้ทั้งสองอย่างเลยค่ะ เอาอันนี้ด้วยค่ะ แล้วก็นี่ นี่ด้วย"
เหยียนเหยียนตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด นิ้วเล็กๆ ชี้โน่นชี้นี่ไม่หยุด
หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังแล้วหันไปสั่งขนมกับพนักงานให้บุตรสาว
หลังจากได้ขนมกล่องใหญ่และน้ำหวานสีสดใส ก็พากันขี่จักรยานไปยังสวนสาธารณะริมแม่น้ำ ลมเย็นๆ พัดโชยมาเป็นระยะ สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและมีเสียงนกร้องประสานกันเบาๆ ที่นั่นมีเครื่องเล่นไม้แบบโบราณ ทั้งชิงช้า ม้าหมุน และสะพานเชือกที่เด็กๆ ชื่นชอบ ในปี 80 ของจีน ยังไม่มีสวนสนุกทันสมัยมากนัก แต่สวนสาธารณะแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของเด็กๆ ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้
เมื่อมาถึงสวนสาธารณะ เหยียนเหยียนก็รีบกระโดดลงจากจักรยาน วิ่งไปยังลานเครื่องเล่นอย่างรวดเร็ว
เครื่องเล่นไม้ตั้งอยู่ในลานกว้าง มีชิงช้าไม้ที่ผูกกับกิ่งไม้สูง มีม้าหมุนที่ต้องใช้แรงหมุนเอง และสะพานเชือกที่โยกเยกทุกก้าวเดิน เหยียนเหยียนหัวเราะเสียงใส ขณะปีนขึ้นสะพานเชือกแล้วเรียกพ่อกับแม่ให้หันมาดู
หลี่เฉินจูงมือภรรยามานั่งเก้าอี้ตัวยาวใต้ต้นไม้ มองดูบุตรสาววิ่งเล่นอย่างมีความสุข ขณะที่มือของเขาก็คอยป้อนน้ำและขนมให้ภรรยาอย่างเอาใจ
แม้จะเป็นวันธรรมดาๆ แต่สำหรับครอบครัวเล็กๆ นี้ มันคือวันพิเศษที่อบอุ่นที่สุดในรอบหลายเดือน
หลังจากเหยียนเหยียนเล่นจนเหนื่อย ก็พากันไปกินไอศกรีมที่ร้านขายของหวานเล็กๆ ที่นี่มีทั้งไอศกรีมรสถั่วแดง ไอติมแท่งรสผลไม้ และวุ้นหวานเย็นใส่น้ำแข็งไส มีเด็กๆ มุงกันแน่นหน้าร้าน
"พ่อคะ หนูขอไอศกรีมรสถั่วแดงนะคะ"
เหยียนเหยียนพูดพร้อมยิ้มกว้าง
"ส่วนแม่ขอรสลิ้นจี่ก็แล้วกัน"
หลี่เฉินหัวเราะ ก่อนจะรีบซื้อไอติมมาให้ภรรยาและบุตรสาว
หลังจากซื้อเสร็จ ทั้งสามคนก็พากันมานั่งที่ม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าร้าน ร่มเงาเย็นสบายของต้นไม้กับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านเป็นระยะ ทำให้ช่วงเวลานี้ยิ่งผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความสุข
เหยียนเหยียนถือถ้วยไอศกรีมรสถั่วแดงไว้ในมือเล็ก เธอตักกินคำแล้วคำเล่า สีหน้ามีความสุขจนแก้มแดงระเรื่อจากรอยยิ้ม
"อร่อยจังเลยค่ะ"
เด็กหญิงพูดพลางหันไปยื่นช้อนให้แม่ลองชิมด้วย
จื่ออิงรับมาชิมคำหนึ่ง แล้วพยักหน้ายิ้มๆ
"อื้ม อร่อยจริงด้วย"
หลี่เฉินนั่งข้างๆ ถือไอติมแท่งรสวานิลลาของตัวเองไว้ในมือ หัวเราะเบาๆ กับความน่าเอ็นดูของภรรยาและบุตรสาว
พวกเขานั่งพักอยู่ตรงนั้นนานพอควร ไม่รีบร้อน ไม่เร่งเวลา แค่ปล่อยให้สายลม ละอองแดด และรอยยิ้มอบอุ่นพัดผ่านช่วงบ่ายวันนั้นอย่างช้าๆ
ก่อนจะกลับบ้าน ทั้งสามยังแวะร้านขายของเล่นใกล้ๆ ตลาด ร้านนี้ไม่ได้ใหญ่โต แต่เต็มไปด้วยของเล่นเรียงรายอยู่เต็มชั้น ทั้งตุ๊กตา หุ่นยนต์ ลูกข่าง ลูกโป่ง และของเล่นไม้แบบโบราณ
เหยียนเหยียนตาโตอีกครั้งเมื่อก้าวเข้าไปในร้าน
"หนูเลือกได้ใช่ไหมคะ"
เธอหันมาถามพ่อกับแม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"ได้สิจ๊ะ"
จื่ออิงพูดพร้อมลูบศีรษะเล็กเบาๆ
เด็กหญิงเดินดูของเล่นอย่างจริงจัง เหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ สุดท้าย เธอก็เลือกตุ๊กตาหมีน้อยสีน้ำตาลตัวหนึ่ง
"กระต่ายน้อยจะได้มีเพื่อนค่ะ"
เหยียนเหยียนเอ่ยบอกเสียงใส ขณะที่ทั้งครอบครัวพากันกลับบ้านด้วยหัวใจที่อิ่มเอมและวันนี้ก็กลายเป็นความทรงจำแสนอบอุ่นในใจของเหยียนเหยียนไปอีกนาน
เย็นวันนั้นหลังจากทานอาหารเย็นกันจนอิ่มหนำ จื่ออิงก็พาเหยียนเหยียนไปอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดนอนสีหวาน ผมนุ่มๆ ของเด็กหญิงถูกแม่เช็ดจนแห้ง แล้วหวีอย่างเบามือ เหยียนเหยียนนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ด้วยความเคลิบเคลิ้ม
"วันนี้สนุกมั้ยคะ"
จื่ออิงถามพลางวางผ้าขนหนูลง
"สนุกมากเลยค่ะ"
เหยียนเหยียนยิ้มกว้าง
"วันหลังเราไปกันอีกได้ไหมคะ"
"ได้สิจ๊ะ"
หลังจากนั้นจื่ออิงก็พาเหยียนเหยียนเข้านอน พร้อมกับหยิบหนังสือนิทานเล่มโปรดของลูกขึ้นมา
"คืนนี้แม่อ่านเรื่องกระต่ายน้อยกับดวงจันทร์ให้ฟังดีไหมคะ"
"ดีค่ะ เรื่องนี้หนูชอบที่สุดเลย"
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ
ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกันอาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียดดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างท
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้งวันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเองและเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อหลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอ
เสียงในครัวเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งเสียงตะหลิวกระทบกระทะ และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ยอมอาบน้ำ แต่อยากมาช่วยมารดาทำอาหาร"อย่าเพิ่งขยับมันนะคะ เดี๋ยวไข่แดงจะแตก" จื่ออิงเตือนเบาๆ ขณะจับมือเล็กให้ห่างจากกระทะ"ก็หนูตื่นเต้นนี่นา"เหยียนเหยียนผู้อยากทอดไข่ดาวด้วยตัวเองร้องบอกมารดา ในขณะที่จ้องมองไข่ดาวในกระทะอย่างตั้งใจหลี่เฉินในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาโอบเอวภรรยาจากด้านหลังแล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ กระซิบถามข้างหูเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ"เช้านี้ทำอะไรกินครับ อืม หอมมากๆ"จื่ออิงสะดุ้งเล็กน้อย แก้มขึ้นสีระเรื่อก่อนจะหันไปมองค้อนเขาเบาๆ"อย่ามาแกล้งสิคะ เหยียนเหยียนอยู่ตรงนี้นะ""ก็อาหารฝีมือคุณหอมจริงๆ นี่ครับ" หลี่เฉินยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย พลางทำท่าสูดดมกลิ่นข้าวผัดสีสวยที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันปลายจมูกมาจุ๊บแก้มภรรยาอีกครั้งเหยียนเหยียนที่กำลังตั้งใจทอดไข่ดาว หันมายิ้มจนตาหยีทันทีเมื่อเห็นพ่อกับแม่หยอกล้อกัน"พ่อแอบหอมแก้มแม่อีกแล้ว หนูเห็นนะคะ"คำพูดใสซื่อและสายตาหยอกล้อของบุตรสาวตัวน้อย ทำให้จื่ออิงรีบหันขวับไปมองค้อนคนตัวโตข้างหล
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื