หลายวันหลังจากการแต่งงาน นลินีเริ่มปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ แม้จะรู้สึกเหงาและว้าเหว่ แต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุด เช้าวันหนึ่ง ขณะที่นลินีกำลังเก็บกวาดห้องรับแขก เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตูห้องครัว
“หนูลินจ๊ะ แม่ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมลูก” เสียงนุ่มนวลของคุณหญิงวิไลแม่สามีดังขึ้น
นลินียิ้มบาง ๆ ก่อนจะรีบวางมือจากงานที่ทำและเดินไปเปิดประตูให้ “สวัสดีค่ะคุณแม่ เชิญค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บซ่อนความเหงาในใจ
คุณหญิงวิไลเดินเข้ามาในห้องครัว มองดูบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เธอสังเกตเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของนลินี ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจ
“หนูลินจ๊ะ ลูกไม่เหงาใช่ไหม ”คุณหญิงวิไลถามด้วยความห่วงใย
นลินียิ้มฝืน ๆ “หนู...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
คุณหญิงวิไลสังเกตเห็นว่าคำตอบนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง ๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามซ้ำ แต่หาวิธีที่จะทำให้นลินีรู้สึกดีขึ้นแทน
“วันนี้หนูว่างไหม”
“ว่างค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“งั้นวันนี้เรามาทำขนมกันดีไหมลูก คุณหญิงนวลแม่ของหนูลินบอกว่าหนูชอบทำขนมใช่ไหม” เธอชวนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
นลินีเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงวิไลด้วยความประหลาดใจและรู้สึกดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น “ค่ะ คุณแม่ ลินชอบทำขนมค่ะ”
“งั้นวันนี้เรามาทำด้วยกันเถอะจ๊ะ แม่เองก็ไม่ได้ทำขนมมานานแล้วเหมือนกัน จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แม่จะได้สอนสูตรขนมเก่า ๆ ที่แม่เคยทำให้ตาวัฒน์กินตอนเด็ก ๆ ด้วย เผื่อว่าหนูลินจะได้ทำให้พี่เขาทานบ้าง”
นลินียิ้มออกมาครั้งแรกในรอบหลายวัน “ดีค่ะคุณแม่ ลินยินดีมากเลยค่ะ”
ทั้งสองคนจึงเริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ บนโต๊ะในครัว คุณหญิงวิไลหยิบสูตรขนมที่เก็บไว้ในสมุดเก่า ๆ ของเธอออกมา นลินีได้เห็นสูตรและวิธีการทำขนมไทยโบราณที่เธอไม่เคยลองทำมาก่อน ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็ก ๆ
“วันนี้เราจะทำขนมชั้นกันดีกว่านะจ๊ะ” คุณหญิงวิไลบอกขณะที่เริ่มสอนนลินีทีละขั้นตอน
“ขนมนี้ตอนตาวัฒน์ยังเด็ก ๆ เขาชอบมาก แม่คิดว่าเขาน่าจะยังชอบอยู่”
นลินีตั้งใจฟังและเรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยความตั้งใจ การทำขนมช่วยให้เธอได้ผ่อนคลายและลืมความเหงาไปได้ชั่วขณะ ความรู้สึกที่ได้รับความรักและการดูแลจากคุณหญิงวิไลทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้ว่าเธอจะยังไม่สามารถทำให้นันทวัฒน์สนใจเธอได้ แต่เธอก็รู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวของเขาที่คอยห่วงใยเธอ
ขณะที่นลินีกำลังตักส่วนผสมใส่ในถาด คุณหญิงวิไลมองดูลูกสะใภ้ที่ขยันขันแข็งและเต็มไปด้วยความอดทน เธอรู้สึกเห็นใจนลินีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนาในการทำให้นันทวัฒน์ยอมรับและรักเธอ
“หนูลินจ๊ะ หนูเป็นคนดีและมีน้ำใจ แม่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง ตาวัฒน์จะต้องเห็นคุณค่าและรักหนูอย่างที่หนูสมควรได้รับ” คุณหญิงวิไลกล่าวขึ้นขณะกำลังวางชั้นขนมลงในซึ้งเพื่อนึ่ง
นลินีหยุดชั่วครู่และมองหน้าคุณหญิงวิไล ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ลินจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“แม่รู้จ๊ะ และแม่ก็จะอยู่ข้างหนูลินเสมอ ไม่ว่าหนูลินจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม” คุณหญิงวิไลยิ้มให้กำลังใจ
หลังจากที่ขนมชั้นถูกนึ่งจนสุกและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัว ทั้งสองคนก็นั่งลงเพื่อพักผ่อนพร้อมกับขนมที่ทำเสร็จแล้ว คุณหญิงวิไลหยิบชิ้นขนมขึ้นมาชิมก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ
“อร่อยมากจ้ะ หนูลิน หนูทำได้ดีมาก” เธอชมพร้อมกับหยิบขนมอีกชิ้นยื่นให้นลินี
นลินีรับขนมมาและชิมดู เธอรู้สึกถึงความหวานละมุนในปาก และความสุขที่ได้ทำสิ่งที่เธอรักกับคนที่ห่วงใยเธอ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น แม้ว่าในใจลึก ๆ เธอยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตคู่ของเธอ แต่วันนี้เธอก็ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ ช่วยเยียวยาหัวใจของเธอ
“ขอบคุณนะคะคุณแม่ สอนสูตรลับให้ลิน” นลินีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้น “และอยู่เคียงข้างลิน วันนี้ลินรู้สึกดีมากเลยค่ะ”
“ดีแล้วจ้ะลูก ถ้าหนูลินเหงาหรือมีอะไรที่อยากทำ บอกแม่ได้เสมอ แม่ยินดีอยู่เป็นเพื่อนลูกเสมอ” คุณหญิงวิไลกล่าวพร้อมกับกอดนลินีอย่างอ่อนโยน
บรรยากาศในห้องครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรักจากครอบครัวช่วยให้นลินีรู้สึกมีพลังที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตคู่ของเธอต่อไป แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความท้าทายและความเหงา แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง
หลังจากที่ทำขนมชั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงวิไลจึงตัดสินใจเอาขนมไปให้นันทวัฒน์ชิม เธอคิดว่าอาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนลินีได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่เธอก็หวังว่ามันจะทำให้นันทวัฒน์เห็นถึงความตั้งใจและความอ่อนโยนของภรรยาที่เขาอาจยังไม่เข้าใจ
คุณหญิงวิไลเดินถือถาดขนมชั้นไปที่ห้องทำงานของนันทวัฒน์ ซึ่งเขากำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไป
“วัฒน์จ้ะ แม่เอาขนมมาให้ลองชิมหน่อย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วันนี้แม่กับหนูลินช่วยกันทำขนมชั้นที่ลูกเคยชอบกินตอนเด็ก ๆ น่ะ”
นันทวัฒน์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงแม่ของเขา เขามองไปที่ถาดขนมที่แม่ของเขายื่นมาให้ แต่สายตาของเขายังคงแสดงออกถึงความเฉยเมย
“ขอบคุณครับแม่ แต่ผมยังไม่หิวเลย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แล้วหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณหญิงวิไลยืนมองลูกชายของเธอด้วยความรู้สึกที่ทั้งห่วงใยและผิดหวัง เธอรู้ว่านันทวัฒน์มีเรื่องที่หนักใจ แต่เธอก็หวังว่าเขาจะเปิดใจให้กับภรรยาของเขาบ้าง
“ลูกไม่อยากลองชิมดูหน่อยเหรอ หนูลินตั้งใจทำมากเลยนะจ๊ะ” เธอพยายามโน้มน้าวอีกครั้ง โดยหวังว่าบางทีคำพูดนี้อาจทำให้นันทวัฒน์รู้สึกตัว
นันทวัฒน์หยุดมือจากงานในมือและหันกลับมามองแม่ของเขาอีกครั้ง เขาเห็นแววตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความห่วงใย แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรนอกจากความอึดอัดในใจ
“แม่ครับ ผมขอโทษ แต่ตอนนี้ผมยังมีงานต้องทำ ถ้าผมว่างแล้วผมจะลองชิมนะครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงไม่ยอมรับถาดขนมจากแม่ของเขา
คุณหญิงวิไลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้ลูกชาย “ได้จ้ะ งั้นแม่จะวางไว้ตรงนี้นะ เผื่อลูกเปลี่ยนใจ อย่าลืมว่าลูกชอบขนมนี้มากแค่ไหนนะ” เธอวางถาดขนมชั้นลงบนโต๊ะข้าง ๆ เขา และเดินออกจากห้องทำงานอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ในใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวลและความเศร้า เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายและนลินีต้องการเวลาและความพยายามอีกมาก แต่เธอก็ยังคงหวังว่า สักวันหนึ่ง นันทวัฒน์จะยอมเปิดใจและเห็นคุณค่าของภรรยาที่รักและห่วงใยเขามากขนาดนี้
หลังจากที่คุณหญิงวิไลออกไปแล้ว นันทวัฒน์หันกลับมาที่งานของเขา เขามองถาดขนมชั้นที่วางอยู่ข้าง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจงานอีกครั้ง โดยไม่ได้แตะต้องมันเลย
ขนมชั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ กลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเย็นชาที่เขามีต่อภรรยาและครอบครัวของเขาเอง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความพยายามของนลินีที่ยังคงรอคอยความรักและการยอมรับจากเขาอย่างเงียบ ๆ
“ซี๊ดดด มาต่ออีกรอบนะลิน วันนี้ลินโดนพี่เอาถึงเช้าแน่ทำใจไว้ได้เลย”“อือออ ตะ…แต่ ลินยังเจ็บอยู่นะคะ อูยยยย” ถึงแม้นลินีจะค้านแต่คนโดนยาปริมาณมากอย่างนันทวัฒน์หรือจะฟัง ร่างสูงเริ่มขยับโยกสะโพกเป็นจังหวะช้าๆ จนหญิงสาวเสียวสะท้านไปทั้งตัว แม้จะรู้สึกแน่นจุกจนแทบทนไม่ไหว แต่นลินีก็ต้องกัดฟันทนเอาเมื่อนึกถึงความเสียวที่รออยู่ข้างหน้า และความสัมพันธ์ที่จะดีขึ้นหลังจากค่ำคืนนี้ที่เธอตกเป็นของคนที่เธอรักทั้งกายและใจผ่านพ้นไป ยิ่งพอได้ยินเพียงเสียงครวญครางอย่างพึงใจของชายหนุ่ม เธอก็รู้สึกดีทุกครั้งที่นันทวัฒน์มีความสุขที่มีอะไรกับเธอนันทวัฒน์ประกบปากดูดลิ้นนลินีอย่างดูดดื่ม พร้อมกับส่ายสะโพกซ้ายขวาไปมาจนนลินีรู้สึกว่าเสียวซ่านขึ้นมาอีกครั้ง มันช่างเสียวเกินคำจะบรรยายได้จริงๆ“อูยยยย ซี๊ดดด พี่วัฒน์ ซี๊ดดดด"“หืมมมม ซี๊ด อ๊าาาาา เสียวเหรอ ทนหน่อยนะ พี่อยากจับกระแทกแรงๆ กว่านี้ ปล่อยขาก่อนเร็ว มีอะไรที่เสียวกว่านี้รออยู่” หลังจากที่นลินนีวางขาเรียวของตัวเองออกจากเอวของคนตัวสูง มือยาวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีก็รวบขาทั้งสองข้างมาวางพาดไว้ที่บ่าแกร่งของตัวเอง และโย้ไปข้างหน้า ท่านี้เผยให้เป็น
นลินีตกใจและไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเขา เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เธอพยายามขัดขืนเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่านันทวัฒน์ดูจริงจังและไม่อยากให้เธอปฏิเสธ เธอก็ยอมให้เขาทำตามที่ต้องการ “พี่วัฒน์…” นลินีร้องด้วยความตกใจ และไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเขา เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน แม้เธอจะพยายามขัดขืนเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่านันทวัฒน์ดูจริงจังและไม่อยากให้เธอปฏิเสธ เธอก็ยอมให้เขาทำตามที่ต้องการ นันทวัฒน์ผลักร่างบางของนลินีให้ล้มลงบนเตียงนอน พอหลังสัมผัสกับความเย็นของผ้าปูที่นอนสติสัมปชัญญะของนลินีก็กลับมา เธอคิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติไปเพราะนันทวัฒน์ปกติจะไม่ค่อยเฉียดเข้าใกล้เธอเลย ต่างจากครั้งนี้มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขามุ่งเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับเธอ มือเรียวจึงดันหน้าคมที่กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวของเธออยู่“พี่วัฒน์อย่าค่ะ อย่าทำแบบนี้”“ฟอดดดด ทำไมจะทำไม่ได้ เธออย่าลืมนะเราแต่งงานกันแล้ว ครอบครัวพี่ต้องเสียเงินไม่ใช่น้อยที่ต้องจ่ายค่าตัวเธอ มาทำหน้าที่เมียเลย อย่ามาทำเป็นห้ามเลย จะได้สมใจเธอไงที่อยากเป็นเมียพี่นักหนาไม่ใช่เหรอ” ร่างสูงพูดจบ ปากของนลินีก็โดนปิดด
หลังจากที่พานลินีกลับบ้านในช่วงบ่าย นันทวัฒน์ก็กลับไปที่ออฟฟิศเพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่ แม้ว่าภายในใจของเขาจะรู้สึกว้าวุ่นเล็กน้อยจากการเผชิญหน้ากับคุณหญิงวิไลแม่ของเขากับนลินีผู้เป็นภรรยาในนามในร้านกระเป๋า แต่เขาพยายามบังคับตัวเองให้จดจ่อกับงานเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเมื่อถึงช่วงเย็น นันทวัฒน์ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของนักธุรกิจซึ่งจัดขึ้นในโรงแรมหรู เขาคิดว่าอาจจะเป็นการดีที่จะใช้เวลาผ่อนคลายตัวเองและหลีกหนีจากความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน เขาโทรไปบอกคุณนิรันดร์ว่าเขาจะไปงานเลี้ยงให้กลับบ้านไปก่อนได้เลยที่งานเลี้ยง บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราตามแบบฉบับของนักธุรกิจมีเงินและผู้คนที่แต่งตัวอย่างดีมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นันทวัฒน์เดินเข้ามาในงานโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนในแวดวงธุรกิจอื่น ๆ แต่ทันทีที่เขาเข้าไปในงาน เขาก็เจอเข้ากับเอมอรที่กำลังยืนอยู่กับกลุ่มเพื่อนเอมอรเห็นนันทวัฒน์ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง เธอยิ้มออกมาอย่างสดใสและเดินตรงเข้ามาหาเขา “พี่วัฒน์ มาเร็วช้าจังเลยนะคะ แต่เอมคิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าพี่วัฒน์ต้อ
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ นันทวัฒน์และเอมอรยังคงนั่งสนทนากันต่อที่โต๊ะในร้านอาหารหรู เอมอรยิ้มหวานและใช้เวลาสนทนากับนันทวัฒน์อย่างมีความสุข ขณะที่นลินีและคุณหญิงวิไลยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลกัน นลินีพยายามทำใจให้สงบ แม้ว่าภาพของนันทวัฒน์และเอมอรจะยังคงฝังแน่นในหัวใจของเธอ เอมอรเหลือบมองดูนาฬิกาบนข้อมือของเธอ ก่อนจะหันมามองนันทวัฒน์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “พี่วัฒน์คะ... วันนี้เอมอยากได้กระเป๋าใบใหม่ค่ะ” เอมอรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อย “เพื่อนๆ เขาแนะนำกระเป๋าแบรนด์ที่เอมใช้อยู่คอลเลคชั่นใหม่มาแล้ว สวยมากเลย เอมว่ามันเหมาะกับเอมมากค่ะ พี่วัฒน์พาเอมไปดูหน่อยได้ไหมคะ” นันทวัฒน์มองเอมอรด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเอมอรชอบขอของจากเขาอยู่บ่อย ๆ แต่เขาก็อดใจไม่ไหวที่จะตามใจเธอ เอมอรเป็นคนที่เขารักและเขาก็อยากให้เธอมีความสุขเสมอ “ได้สิเอม เดี๋ยวพี่จะพาไปดู ตอนนี้เราไปกันเลยไหม” นันทวัฒน์ตอบตกลงโดยไม่ลังเล เอมอรยิ้มกว้างและลุกขึ้นยืนทันที “ค่ะ ไปกันเลยค่ะพี่วัฒน์” เธอตอบอย่างตื่นเต้น ก่อนจะก้าวไปใกล้เขาและจับแขนของเขาไว้แน่น นันทวัฒน์จ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อย จาก
หลังจากที่คุณหญิงวิไลนำขนมชั้นไปให้นันทวัฒน์ นลินีก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลในใจปนเปกันไปหมด เธอหวังอย่างยิ่งว่าขนมที่เธอตั้งใจทำร่วมกับแม่สามีจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนันทวัฒน์ดีขึ้น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม หวังว่าเขาจะชอบขนมที่เธอเพิ่งหัดทำเพื่อเขาก็พอเวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น นลินีอดใจไม่ไหวที่จะอยากรู้ว่านันทวัฒน์ได้ชิมขนมแล้วหรือยัง เธอจึงเดินไปที่ห้องทำงานของเขาอย่างเงียบ ๆ ประตูแง้มอยู่เล็กน้อย เธอแอบมองเข้าไปภายในห้องภายในห้องทำงานนั้น นันทวัฒน์ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ จดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย นลินีเหลือบไปเห็นถาดขนมชั้นที่ถูกวางไว้ข้าง ๆ เขา มันยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย หัวใจของนลินีเจ็บแปลบ เธอพยายามกลั้นน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า ความหวังเล็ก ๆ ที่เธอมีว่าเขาจะสนใจสิ่งที่เธอทำกลับพังทลายลงอีกครั้งหญิงสาวเดินถอยหลังออกมาอย่างเงียบ ๆ และรีบหันกลับไปที่ห้องครัว น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไม่สามารถซ่อนอีกต่อไป มันไหลรินลงมาอย่างช้า ๆ ขณะที่เธอนั่งลงที่โต๊ะในครัวที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นเมื่อช่วงบ่าย แต่ตอ
หลายวันหลังจากการแต่งงาน นลินีเริ่มปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ แม้จะรู้สึกเหงาและว้าเหว่ แต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุด เช้าวันหนึ่ง ขณะที่นลินีกำลังเก็บกวาดห้องรับแขก เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตูห้องครัว“หนูลินจ๊ะ แม่ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมลูก” เสียงนุ่มนวลของคุณหญิงวิไลแม่สามีดังขึ้นนลินียิ้มบาง ๆ ก่อนจะรีบวางมือจากงานที่ทำและเดินไปเปิดประตูให้ “สวัสดีค่ะคุณแม่ เชิญค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บซ่อนความเหงาในใจคุณหญิงวิไลเดินเข้ามาในห้องครัว มองดูบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เธอสังเกตเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของนลินี ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจ“หนูลินจ๊ะ ลูกไม่เหงาใช่ไหม ”คุณหญิงวิไลถามด้วยความห่วงใยนลินียิ้มฝืน ๆ “หนู...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”คุณหญิงวิไลสังเกตเห็นว่าคำตอบนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง ๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามซ้ำ แต่หาวิธีที่จะทำให้นลินีรู้สึกดีขึ้นแทน“วันนี้หนูว่างไหม”“ว่างค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”“งั้นวันนี้เรามาทำขนมกันดีไหมลูก คุณหญิงนวลแม่ของหนูลินบอกว่าหนูชอบทำขนมใช่ไหม” เธอชวนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นลินีเงยหน้าขึ้น