ログインหลายวันหลังจากการแต่งงาน นลินีเริ่มปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ แม้จะรู้สึกเหงาและว้าเหว่ แต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุด เช้าวันหนึ่ง ขณะที่นลินีกำลังเก็บกวาดห้องรับแขก เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตูห้องครัว
“หนูลินจ๊ะ แม่ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมลูก” เสียงนุ่มนวลของคุณหญิงวิไลแม่สามีดังขึ้น
นลินียิ้มบาง ๆ ก่อนจะรีบวางมือจากงานที่ทำและเดินไปเปิดประตูให้ “สวัสดีค่ะคุณแม่ เชิญค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บซ่อนความเหงาในใจ
คุณหญิงวิไลเดินเข้ามาในห้องครัว มองดูบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เธอสังเกตเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของนลินี ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจ
“หนูลินจ๊ะ ลูกไม่เหงาใช่ไหม ”คุณหญิงวิไลถามด้วยความห่วงใย
นลินียิ้มฝืน ๆ “หนู...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
คุณหญิงวิไลสังเกตเห็นว่าคำตอบนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง ๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามซ้ำ แต่หาวิธีที่จะทำให้นลินีรู้สึกดีขึ้นแทน
“วันนี้หนูว่างไหม”
“ว่างค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“งั้นวันนี้เรามาทำขนมกันดีไหมลูก คุณหญิงนวลแม่ของหนูลินบอกว่าหนูชอบทำขนมใช่ไหม” เธอชวนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
นลินีเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงวิไลด้วยความประหลาดใจและรู้สึกดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น “ค่ะ คุณแม่ ลินชอบทำขนมค่ะ”
“งั้นวันนี้เรามาทำด้วยกันเถอะจ๊ะ แม่เองก็ไม่ได้ทำขนมมานานแล้วเหมือนกัน จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แม่จะได้สอนสูตรขนมเก่า ๆ ที่แม่เคยทำให้ตาวัฒน์กินตอนเด็ก ๆ ด้วย เผื่อว่าหนูลินจะได้ทำให้พี่เขาทานบ้าง”
นลินียิ้มออกมาครั้งแรกในรอบหลายวัน “ดีค่ะคุณแม่ ลินยินดีมากเลยค่ะ”
ทั้งสองคนจึงเริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ บนโต๊ะในครัว คุณหญิงวิไลหยิบสูตรขนมที่เก็บไว้ในสมุดเก่า ๆ ของเธอออกมา นลินีได้เห็นสูตรและวิธีการทำขนมไทยโบราณที่เธอไม่เคยลองทำมาก่อน ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็ก ๆ
“วันนี้เราจะทำขนมชั้นกันดีกว่านะจ๊ะ” คุณหญิงวิไลบอกขณะที่เริ่มสอนนลินีทีละขั้นตอน
“ขนมนี้ตอนตาวัฒน์ยังเด็ก ๆ เขาชอบมาก แม่คิดว่าเขาน่าจะยังชอบอยู่”
นลินีตั้งใจฟังและเรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยความตั้งใจ การทำขนมช่วยให้เธอได้ผ่อนคลายและลืมความเหงาไปได้ชั่วขณะ ความรู้สึกที่ได้รับความรักและการดูแลจากคุณหญิงวิไลทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้ว่าเธอจะยังไม่สามารถทำให้นันทวัฒน์สนใจเธอได้ แต่เธอก็รู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวของเขาที่คอยห่วงใยเธอ
ขณะที่นลินีกำลังตักส่วนผสมใส่ในถาด คุณหญิงวิไลมองดูลูกสะใภ้ที่ขยันขันแข็งและเต็มไปด้วยความอดทน เธอรู้สึกเห็นใจนลินีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนาในการทำให้นันทวัฒน์ยอมรับและรักเธอ
“หนูลินจ๊ะ หนูเป็นคนดีและมีน้ำใจ แม่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง ตาวัฒน์จะต้องเห็นคุณค่าและรักหนูอย่างที่หนูสมควรได้รับ” คุณหญิงวิไลกล่าวขึ้นขณะกำลังวางชั้นขนมลงในซึ้งเพื่อนึ่ง
นลินีหยุดชั่วครู่และมองหน้าคุณหญิงวิไล ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ลินจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“แม่รู้จ๊ะ และแม่ก็จะอยู่ข้างหนูลินเสมอ ไม่ว่าหนูลินจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม” คุณหญิงวิไลยิ้มให้กำลังใจ
หลังจากที่ขนมชั้นถูกนึ่งจนสุกและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัว ทั้งสองคนก็นั่งลงเพื่อพักผ่อนพร้อมกับขนมที่ทำเสร็จแล้ว คุณหญิงวิไลหยิบชิ้นขนมขึ้นมาชิมก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ
“อร่อยมากจ้ะ หนูลิน หนูทำได้ดีมาก” เธอชมพร้อมกับหยิบขนมอีกชิ้นยื่นให้นลินี
นลินีรับขนมมาและชิมดู เธอรู้สึกถึงความหวานละมุนในปาก และความสุขที่ได้ทำสิ่งที่เธอรักกับคนที่ห่วงใยเธอ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น แม้ว่าในใจลึก ๆ เธอยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตคู่ของเธอ แต่วันนี้เธอก็ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ ช่วยเยียวยาหัวใจของเธอ
“ขอบคุณนะคะคุณแม่ สอนสูตรลับให้ลิน” นลินีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้น “และอยู่เคียงข้างลิน วันนี้ลินรู้สึกดีมากเลยค่ะ”
“ดีแล้วจ้ะลูก ถ้าหนูลินเหงาหรือมีอะไรที่อยากทำ บอกแม่ได้เสมอ แม่ยินดีอยู่เป็นเพื่อนลูกเสมอ” คุณหญิงวิไลกล่าวพร้อมกับกอดนลินีอย่างอ่อนโยน
บรรยากาศในห้องครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรักจากครอบครัวช่วยให้นลินีรู้สึกมีพลังที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตคู่ของเธอต่อไป แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความท้าทายและความเหงา แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง
หลังจากที่ทำขนมชั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงวิไลจึงตัดสินใจเอาขนมไปให้นันทวัฒน์ชิม เธอคิดว่าอาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนลินีได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่เธอก็หวังว่ามันจะทำให้นันทวัฒน์เห็นถึงความตั้งใจและความอ่อนโยนของภรรยาที่เขาอาจยังไม่เข้าใจ
คุณหญิงวิไลเดินถือถาดขนมชั้นไปที่ห้องทำงานของนันทวัฒน์ ซึ่งเขากำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไป
“วัฒน์จ้ะ แม่เอาขนมมาให้ลองชิมหน่อย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วันนี้แม่กับหนูลินช่วยกันทำขนมชั้นที่ลูกเคยชอบกินตอนเด็ก ๆ น่ะ”
นันทวัฒน์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงแม่ของเขา เขามองไปที่ถาดขนมที่แม่ของเขายื่นมาให้ แต่สายตาของเขายังคงแสดงออกถึงความเฉยเมย
“ขอบคุณครับแม่ แต่ผมยังไม่หิวเลย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แล้วหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณหญิงวิไลยืนมองลูกชายของเธอด้วยความรู้สึกที่ทั้งห่วงใยและผิดหวัง เธอรู้ว่านันทวัฒน์มีเรื่องที่หนักใจ แต่เธอก็หวังว่าเขาจะเปิดใจให้กับภรรยาของเขาบ้าง
“ลูกไม่อยากลองชิมดูหน่อยเหรอ หนูลินตั้งใจทำมากเลยนะจ๊ะ” เธอพยายามโน้มน้าวอีกครั้ง โดยหวังว่าบางทีคำพูดนี้อาจทำให้นันทวัฒน์รู้สึกตัว
นันทวัฒน์หยุดมือจากงานในมือและหันกลับมามองแม่ของเขาอีกครั้ง เขาเห็นแววตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความห่วงใย แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรนอกจากความอึดอัดในใจ
“แม่ครับ ผมขอโทษ แต่ตอนนี้ผมยังมีงานต้องทำ ถ้าผมว่างแล้วผมจะลองชิมนะครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงไม่ยอมรับถาดขนมจากแม่ของเขา
คุณหญิงวิไลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้ลูกชาย “ได้จ้ะ งั้นแม่จะวางไว้ตรงนี้นะ เผื่อลูกเปลี่ยนใจ อย่าลืมว่าลูกชอบขนมนี้มากแค่ไหนนะ” เธอวางถาดขนมชั้นลงบนโต๊ะข้าง ๆ เขา และเดินออกจากห้องทำงานอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ในใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวลและความเศร้า เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายและนลินีต้องการเวลาและความพยายามอีกมาก แต่เธอก็ยังคงหวังว่า สักวันหนึ่ง นันทวัฒน์จะยอมเปิดใจและเห็นคุณค่าของภรรยาที่รักและห่วงใยเขามากขนาดนี้
หลังจากที่คุณหญิงวิไลออกไปแล้ว นันทวัฒน์หันกลับมาที่งานของเขา เขามองถาดขนมชั้นที่วางอยู่ข้าง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจงานอีกครั้ง โดยไม่ได้แตะต้องมันเลย
ขนมชั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ กลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเย็นชาที่เขามีต่อภรรยาและครอบครัวของเขาเอง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความพยายามของนลินีที่ยังคงรอคอยความรักและการยอมรับจากเขาอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากนันทวัฒน์ฟื้นฟูร่างกายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ครอบครัวของเขาและนลินีได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของสมาชิกใหม่ที่จะเติมเต็มครอบครัวนี้อย่างสมบูรณ์ วันนี้ขณะที่นลินีและนันทวัฒน์กำลังนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน นลินีรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เธอรู้สึกเจ็บที่ท้องเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่างจากอาการเจ็บปวดธรรมดาที่เธอเคยเจอมาก่อน ครั้งนี้มันรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เธอพยายามที่จะสงบสติและไม่ทำให้นันทวัฒน์เป็นกังวล แต่ความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “พี่วัฒน์ ลินคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” นลินีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ขณะที่มือของเธอกุมท้องแน่น นันทวัฒน์รีบลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน “ลิน ลินเจ็บท้องแล้วใช่ไหม เราต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” เขารีบไปหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับการไปคลอด นลินีพยายามลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้สึกไม่มีแรงก้าวเดิน นันทวัฒน์จึงเข้ามาพยุงเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะลิน พี่อยู่ตรงนี้ เราจะไปโรงพยาบาลทันที” นันทวัฒน์พูดพร้อมกับพยายามให้กำลังใ
เวลาผ่านไปหลายวัน ในขณะที่ครอบครัวของนันทวัฒน์เฝ้าดูแลและรอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็มีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ทุกคนรอคอย นันทวัฒน์เริ่มแสดงการตอบสนองเล็กน้อย เช่น การขยับนิ้วมือหรือกะพริบตาเบา ๆ ทุกครั้งที่เห็นการตอบสนองนี้ ความหวังในใจของนลินีและครอบครัวก็ท่วมท้นขึ้นอีกครั้ง ในวันหนึ่ง ขณะที่นลินีนั่งอยู่ข้างเตียงของนันทวัฒน์เหมือนที่เธอทำทุกวัน เธอสังเกตเห็นว่ามือของเขาขยับเล็กน้อย เธอรีบกุมมือเขาไว้แน่นและพูดด้วยความตื่นเต้นและความหวัง “พี่วัฒน์ พี่ได้ยินลินไหม ถ้าพี่ได้ยิน ลองขยับนิ้วอีกครั้งนะคะ” นลินีพูดเบา ๆ แต่น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น ทันใดนั้นเองนลินีรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอเต้นรัว เมื่อนันทวัฒน์ก็ค่อย ๆ ขยับนิ้วมือของเขาเล็กน้อย เธอรีบลุกขึ้นและเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการของเขา พยาบาลที่เข้ามาตรวจดูอาการของนันทวัฒน์ยิ้มเล็ก ๆ และพยักหน้าให้กับนลินี “ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มฟื้นตัวแล้วนะคะ นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ เลยค่ะ” นลินีรู้สึกโล่งใจและตื้นตันใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอมองดูนันทวัฒน์ที่เริ่มมีการตอบสนองมากขึ้นและรู้สึกถึงความหวังที่เริ่มกลับมา เธอรู
หลังจากที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาเนื้องอกในสมอง นันทวัฒน์เตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการรักษาที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เขารู้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง แต่เพื่ออนาคตของครอบครัวและความหวังที่จะได้อยู่เคียงข้างนลินีและลูก เขาจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน วันผ่าตัดมาถึง นลินี คุณหญิงวิไล และคุณนิรันดร์ รวมทั้งพ่อกับแม่ของนลินีมารวมตัวกันที่โรงพยาบาลเพื่อรออยู่ที่ห้องพักญาติ ความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัวทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความตึงเครียดและความกังวล นลินีจับมือของคุณหญิงวิไลไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ขณะที่นิรันดร์นั่งนิ่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของเขาแสดงถึงความหนักใจและกังวลใจ เมื่อถึงเวลาที่นันทวัฒน์ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด นลินีมองดูเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลง น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้เริ่มไหลออกมาอย่างช้า ๆ ความกลัวที่อยู่ลึก ๆ ในใจทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น แต่เธอก็พยายามคุมสติและหวังว่าเขาจะผ่านการผ่าตัดครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย การผ่าตัดกินเวลาหลายชั่วโมง นลินีและครอบครัวรอคอยอย่างจดจ่อ ทุกนาทีที่ผ่านไปทำให้ความกังวลทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้
หลังจากที่ได้รับข่าวร้ายจากแพทย์เกี่ยวกับอาการของนันทวัฒน์ นลินีรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ครอบครัวของเขารับรู้ถึงสถานการณ์นี้ เธอรู้ดีว่าคุณหญิงวิไลและพ่อของนันทวัฒน์รักลูกชายของพวกเขามากเพียงใด และพวกเขาควรอยู่เคียงข้างนันทวัฒน์ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้นลินีตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาคุณหญิงวิไล เธอสูดหายใจลึกก่อนจะกดหมายเลข เธอรู้ว่าการแจ้งข่าวร้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ เสียงของคุณหญิงวิไลดังขึ้นเมื่อรับสาย “สวัสดีจ้ะ หนูลิน ลูกสบายดีไหม” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและห่วงใยของคุณหญิงวิไลทำให้นลินีรู้สึกถึงความอบอุ่น แต่เธอต้องเจ็บปวดเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องบอกออกไป “คุณแม่คะ” นลินีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “หนูมีเรื่องสำคัญต้องบอกค่ะ เอ่อ คือว่า พี่วัฒน์” “ตาวัฒน์ทำไมลูก” “พี่วัฒน์ พี่วัฒน์ล้มหมดสติลงเมื่อเช้านี้ และตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเขามีเนื้องอกในสมอง” คำพูดของนลินีทำให้คุณหญิงวิไลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจและความหวาดกลัว “อะ
หลังจากที่ได้รับโอกาสในการดูแลนลินีและลูกในท้อง นันทวัฒน์รู้สึกว่าตัวเองต้องทำมากกว่านี้ เขาใส่ใจต่ออนาคตของลูกน้อยเพื่อการเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่ของพ่อที่ดีนันทวัฒน์จึงออกไปซื้อของใช้สำหรับเด็กอ่อน ทั้งเสื้อผ้า ผ้าอ้อม และของเล่นเด็ก เขาเลือกทุกอย่างอย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสบายของลูก เขาพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเขารู้ดีว่านี่คือการแสดงออกถึงความรักและความใส่ใจที่เขามีต่อลูก และหวังว่านลินีจะเห็นถึงความตั้งใจของเขาเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขานำของที่ซื้อมาออกจากถุงและจัดเรียงไว้อย่างสวยงามในห้องนั่งเล่น เขาตื่นเต้นที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของนลินีเมื่อเธอเห็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ เขาหวังว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจระหว่างพวกเขาอีกครั้งแต่เมื่อถึงเวลาที่นลินีเดินเข้ามาในห้อง เธอกลับมีท่าทีที่ต่างออกไป สายตาของเธอแสดงถึงและความอึดอัด เมื่อเธอเห็นของใช้สำหรับเด็กที่นันทวัฒน์เตรียมไว้ เธอไม่ได้แสดงความดีใจหรือความตื่นเต้นอย่างที่เขาคาดหวังไว้“พี่ซื้อของพวกนี้มาทำไม” นลินีถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง และเย็นชา คำถามของเธอทำให้นันทวั
หลังจากที่ได้รับโอกาสจากพ่อแม่ของนลินีในการพิสูจน์ตัวเอง นันทวัฒน์รู้ว่าต้องเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะลองทำบางสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เช่นทำอาหารให้นลินี นันทวัฒน์รู้ว่าการที่เขาทำอาหารให้เธออาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาอยากดูแลและเอาใจใส่เธอและลูก และทดแทนสิ่งที่เขาเคยละเลยอาหารของเธอในอดีตเขาเริ่มต้นด้วยการหาสูตรอาหารที่นลินีเคยชอบกินสมัยก่อน นั่นคือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ซึ่งเป็นเมนูที่ไม่ซับซ้อนแต่เต็มไปด้วยความอร่อย นันทวัฒน์จำได้ว่านลินีเคยทำเมนูนี้ให้เขากินบ่อย ๆ ในวันที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน และเขาก็หวังว่าเมนูนี้จะทำให้นลินีรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อเธอ เขาไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดด้วยตัวเอง และพยายามทำตามสูตรอย่างพิถีพิถัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ชอบทำอาหาร แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้อาหารออกมาอร่อยและมีคุณค่าอาหารที่สุด หลังจากที่ใช้เวลาทำอาหารสักพัก แกงจืดเต้าหู้หมูสับก็เสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมของซุปที่ต้มเข้ากันกับเต้าหู้และหมูสับลอยไปทั่วห้องครัว เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว นันทวัฒน์ก็ตักแกงจืดใส







