"ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง"
"..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ แล้วทำไมต้องบังคับฉัน ต้องขีดกรอบตีเส้นให้ฉันเดินตามวง ตามการชี้นิ้วสั่ง ทั้งๆที่กับนายตามใจสารพัดอย่าง" ภาคินถึงกับเค้นเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความนึกสมเพชตัวเอง เขามันโง่งมมาโดยตลอดที่หลงรักแม่ของคนอื่น! ทั้งๆความจริงหล่อนคือแม่เลี้ยงใจร้ายที่แอบทำลายจิตใจของแม่แท้ๆลับหลังทุกวิถีทางด้วยการพรากลูกมาจากอก "ก็เพราะความหวังดียังไงล่ะ หวังดีอยากให้นายมีความสุข ไม่อยากให้นายต้องทุกข์ทมหรือเดินในเส้นทางผิดๆ แต่ฉันก็เข้าใจ วิธีการของพ่อ ของแม่และคำพูดที่เปล่งออกมามันอาจจะดูเหมือนว่าพวกท่านไม่ได้รักนายไปบ้างแต่ฉันอยากจะให้นายรู้ว่าพวกท่านน่ะรักนายมาก" ภาคีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องมานั่งอธิบายสาธยายความเรียงยาวเหยียดให้กับผู้ชายที่ปิดกั้นทุนทางอย่างภาคิน เพราะแทบคาดเดาไม่ได้เลยว่าเมื่อจบแล้วภาคินจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อหรือเปล่า "นายน่ะรู้เปล่าว่าความจริงแล้วอาหารเช้าที่นายกินก่อนไปมหาวิทยาลัยทุกวันเป็นฝีมือของแม่จารวีทั้งนั้น ท่านลงครัวทำอาหารเองตื่นตั้งแต่ตอนตี4หัวรุ่ง แล้วรีบสลับมือกับคุณป้าแม่บ้านเพราะทราบดีหากนายรู้ว่าเป็นฝีมือของท่านนายจะไม่ยอมกิน" คราวนี้พากินเริ่มคิดภาพตาม ก็จริงอย่างที่พี่ชายต่างมารดาเขาว่าหากภาคินรู้อาหารพวกนั้นที่เขาใช้รับประทานทุกๆตอนเช้าก่อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นฝีมือของคุณหญิงจารวีเขาคงจะไม่รับประทานแน่ๆ...ทุกๆครั้งที่ยกขึ้นมาเสิร์ฟเสิร์ฟด้วยมือของคุณป้าบัวและหล่อนเองก็พูดย้ำนักย้ำหนาว่าตัวเองเป็นคนลงมือทำ ไม่ได้เกี่ยวกับคุณหญิงจารวีใดๆทั้งสิ้น "...ก็แค่อาหารเช้า" "ทุกครั้งที่นายมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน เหตุผลที่โรงเรียนไม่ไล่ออกทั้งๆที่นายทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุดหย่อนความจริงแล้วรู้ไหมมันเป็นเพราะอะไร" "ไม่รู้" ภาคินตอบส่งๆ "ก็เพราะคุณแม่นี่แหละ อุตส่าห์แบกหน้าไปขอร้องอ้อนวอน ยัดเงินใต้โต๊ะ และเจรจากับผู้อำนวยการเพื่อห้นายยังคงเรียนโรงเรียนดีๆแบบนั้นต่อ" ภาคีรู้ ภาคีเห็นทุกอย่าง เพียงแค่เขาไม่พูดเพราะถูกร้องขอไว้จากคุณหญิงจารวี ซึ่งท่านก็ทราบดีอีกด้วยว่าหากภาคินรู้ว่าเป็นความช่วยเหลือจากหล่อนเขาคงจะต้องหาทางปฏิเสธ ไม่ยอมรับน้ำใจนั้นแน่ๆ "..." "แล้วก็ตอนที่นายสอบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แม้พ่อกับแม่จะไม่เคยชมต่อหน้านายก็จริง แต่ท่านไปชมกับคนอื่น ไปชมกับเพื่อนๆในสังคมไฮโซ ส่วนคุณพ่อนั่นยิ่งแล้วก็เอามาโม้ มาเล่ากับพนักงานที่บริษัททั้งพวกคณะกรรมการในบอร์ดบริหารหรือหัวหน้าฝ่ายต่างๆว่านายน่ะเรียนเก่ง เรียนดี หัวฉลาด ไหวพริบไว หากเรียนจบมาก็จะให้เข้ามาทำงานรับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ลองเทศความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์เห็นพ้องต้องกันดูสักหน่อยจะส่งทอดส่งต่อดูแลตำแหน่งซีอีโอต่อจากพ่อ พวกท่านสองโคตรภาคภูมิใจในตัวนาย ทุกครั้งที่พวกท่านเล่าถึงมันมีแต่รอยยิ้ม มันมีแต่ความสุขอิ่มเอิบอยู่เต็มใบหน้ารู้บ้างไหม ไอ้คนฉลาดน้อย" ภาคีรู้สึกอัดอั้นตันใจมาเสียตั้งนานแล้ววันนี้นี่แหละจะเหมือนตัวเองได้รับการปลดปล่อยสิ่งใดที่ค้างคาอยู่ในใจก็ถูกระบายออกไปหมดสิ้น... "แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เคยชมฉันโดยตรง?" "ลองย้อนกลับมามองตัวเองดูไหม ว่าแต่ก่อนนายน่ะมันเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว เอาการเอางานไม่ได้สักเท่าไหร่หรอก ยิ่งโดนคำชม โดนคำเยินยอเยอะๆก็จะได้ใจแล้วไม่มุ่งมั่นมานะบากบั่นทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ที่พวกท่านเป็นแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับนาย พ่อกับแม่น่ะมีวิธีการแสดงความรักให้ลูกแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกนะ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับบุคลิกและนิสัยของตัวบุคคล" ภาคีเองก็แอบคิดในใจ...สิ่งที่เขาอุตส่าห์สาธยายเปลืองน้ำลายจนเสียงแหบเสียงแห้งกันยกใหญ่จะสามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินได้หรือไม่ เขาไม่อยากเห็นภาคินเกลียดชังคุณหญิงจารวีและคุณดำเกิงอีกต่อไปแล้ว...ที่ผ่านมาที่เขาไม่พูด ไม่แสดงความคิดเห็นเพราะขี้เกียจมีปัญหาและต้องต่อปากต่อคำกับผู้ชายอย่างภาคิน ทว่าวันนี้มันคงถึงเวลาแล้วล่ะที่รอยร้าวตรงกลางครอบครัวจะกลับมาสมานฉันท์ด้วยกาวตราช้างยี่ห้อดีจากมือเขา "ถึงอย่างไรแม่ของนายก็ทำร้ายแม่ของฉันอยู่ดี!" เมื่อภาคินค่อนแคะคุณหญิงจารวีไม่ได้แล้วจึงโพล่งปากพูดถึงเรื่องที่ตนคิดว่าภาคีคงไม่มีเหตุผลใดมารองรับการกระทำของแม่ตนเพื่อพูดกล่อมให้หล่อนดูดีขึ้นมาได้แน่ๆ แต่เปล่าเลยถึงแม้ว่าภาคีจะไม่เฉลียวฉลาดในด้านของธุรกิจ แต่หากเป็นการโต้วาทีพูดจาฉอเลาะต่อเถียงกลับต้องยกให้เขาเป็นเบอร์ 1ไปอย่างไร้คำปริยาย หาที่เทียบไม่ติดเลยก็ว่า "ข้อนั้นฉันเข้าใจนะ ที่นายจะโกรธ จะเกลียดแม่ของฉันเพราะว่าแม่ของฉันปกปิดฐานะที่แท้จริงของนายหรือนายอาจจะคิดว่าแม่ของฉันชุบมือเปิบขโมยนายมาจากแม่ของนาย ไม่ยินยอมให้แม่กับลูกได้เจอกัน ส่วนหนึ่งความผิดก็มาจากแม่ของฉันฉันยอมรับ แต่นายลองคิดในทางกลับกันสิแม่ของฉันน่ะเป็นถึงลูกสาวเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ มีหน้ามีตาอยู่ในสังคมไฮโซ เป็นผู้ลากมากดีเชื้อชาติวงศ์ตระกูลก็ไม่ต้องพูดถึง...หากคนอื่นมารู้เข้าว่าโดนสามีสวมเขาแอบไปมั่วกับผู้หญิงคนอื่นถลำลึกจนกระทั่งมีลูกด้วยกัน ท่านจะโดนหัวเราะเยาะขนาดไหน ถ้าเป็นนายนายก็คงจะต้องทำแบบเดียวกันใช่ไหมล่ะบัวลอยไอ้เพื่อนยาก" เอาสิ ภาคีท้าทายอำนาจมืดในตัวของภาคินอยู่ในใจ เขาทั้งสองคนช่างถูกกำหนดให้เกิดมาคู่กันเสียจริง! ทันกันทุกเรื่องไม่มีใครยอมใคร "ส่วนพะ..." ภาคินกำลังจะอ้าปากเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจไปยังคุณดำเกิงแต่ทว่าภาคีกลับรู้ทันก็เลยสวนกลับมา! "ส่วนคุณพ่อน่ะเหรอ ที่ท่านต้องบีบบังคับ ต้องคอยชี้นิ้วให้นายทำตามคำสั่งสารพัดอย่างก็เพราะหวังดีกับนาย ไม่อยากให้ชีวิตของนายต้องจบเห่ลงเหวพังไม่เป็นท่า ถ้าหากนายลองคิดดูดีๆ ตัดทิฐิและความเจ้าคิดเจ้าแค้นนั้นออกไป นายจะเห็นโลกทุกอย่างกว้างขึ้น ทุกครั้งที่นายขัดคำสั่งและทำตามใจพ่อไม่ได้ พ่อก็มักจะพูดประโยคซ้ำๆเช่นใช้แม่นายมาเป็นข้ออ้าง แต่พอเอาเข้าจริงพ่อเคยทำสักครั้งหรือเปล่าล่ะ? พ่อเคยทำร้ายแม่นายหรือเปล่าล่ะ ที่พ่อยังรั้งแม่นายเอาไว้ ที่พ่อต้องให้แม่นายมาอยู่ใกล้ๆเพราะไม่อยากให้นายต้องรู้สึกขาดความอบอุ่นเหมือนว่าถูกผลักออกจากอกของแม่อีกไง ท่านก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนั้น" ภาคีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "ทุกคนไม่ได้ใจร้ายเลยแต่ใจของนายมันอคติต่างหากไอ้ภาคิน""ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ