"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงาน
หากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน... "มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัทของเราได้กำไร 673,996 บาทถ้วน" คณะกรรมการทุกท่านปรบมือเสียงดังให้กับการประสบความสำเร็จของภาคี แต่หากเทียบกับไตรมาสบริษัททุกปีในโครงการนี้ถือว่าค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเนื่องจากการต่อราคาที่ทางเราค่อนข้างเอนเอียงไปในทางเสียเปรียบเพราะภาคีเป็นคนชอบเกรงใจ "ขอบคุณครับ" ภาคีกล่าว เขาน่ะไม่มักอยากจะได้หรอกไอ้ตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเนี่ย แค่รับหน้าที่รองประธานเขาก็ยังขี้เกียจ น่าเบื่อหน่ายฉิบหายแล้ว ทว่ามันคือธุรกิจของครอบครัวด้วยพ่อนั้นไหว้วานขอร้องให้เข้ามาช่วยเหลือ มิเช่นนั้นเขาก็คงออกไปทำธุรกิจที่ตัวเองรักนักรักหนานั่นก็คือการเป็นไกด์นำเที่ยวเสียแล้ว "ไตรมาสบริษัทสำหรับโครงการของคุณภาคินนะคะจะเป็นโฆษณาแบรนด์น้ำหอมชั้นนำอันดับต้นๆของเมืองไทยที่ติดต่อมาทำโฆษณาด้วย โดยรวมสรุปแล้วบริษัทของเราได้กำไรอยู่ที่..." เลขาสาวคนสวยของคุณดำเกิงเว้นช่วงจังหวะหายใจชั่วครู่ ทำให้คณะกรรมการและทั้งสองคนที่กำลังรอลุ้นผลอยู่หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง ในส่วนของภาคินก็ภาวนาขอให้กำไรไตรมาสของตัวเองสูงพุ่งขึ้นโด่งกว่าของภาคีเพราะการแข่งขันหลายบททดสอบที่ผ่านมาอยู่ในระดับเสมอเสมอกันทั้งคู่ หากครั้งนี้เขาชนะก็เป็นอันว่าเขาจะได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปมาครอบครอง... ในส่วนของภาคีเขาภาวนาแตกต่างกันออกไป เขาภาวนาขอให้กำไรไตรมาสในส่วนของภาคินชนะในส่วนของตนอย่างสิ้นเชิงเพราะไม่อยากแบกภาระสำหรับการดูแลบริหารบริษัทและดูแลทุกคนอย่างทั่วถึงเนื่องด้วยมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าปวดหัว น่าเบื่อหน่ายสำหรับผู้ชายรักอิสระที่อยากจะออกไปท่องเที่ยวสู่โลกภายนอกอย่างเขาเป็นอย่างมาก! เนื่องจากเขาเองก็ทำข้อตกลงกับคุณดำเกิงไว้ด้วยเช่นกันว่าหากครั้งนี้เขาพ่ายแพ้ เขาก็จะยินยอม ยินดีให้ภาคินขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้บริหารบริษัทเดชาบวรสกุลแต่โดยดีโดยไม่มีข้อคัดค้าน...และเขาก็จะยอมรับผลของมันโดยการลาพักร้อนเป็นระยะเวลา 3 เดือนเพื่อออกไปท่องเที่ยวตามใจชอบ ทำงานไกด์คอยต้อนรับลูกค้าทั้งชาวจีนและชาวญี่ปุ่น... "ทั้งหมด 3,456,432 บาทถ้วนค่ะ" กำไรไตรมาสพุ่งสูงขนาดนี้ก็คงจะไม่ต้องลังเลเลยว่าใครได้ครองแท่นตำแหน่ง CEO บริษัทคนถัดไปต่อจากคุณดำเกิง คณะกรรมการบอร์ดบริหารทุกคนปรบมือให้กับความสำเร็จและต้อนรับซีอีโอคนใหม่อย่างภาคินัยด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนนิ่ง ไม่เป็นมิตร ขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่ค่อยสบอารมณ์และเป็นคนหัวร้อน แต่เขาก็เป็นผู้บริหารที่ดี เป็นประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทที่ยอดเยี่ยมสามารถทำกำไรให้แก่เดชาบวรสกุลกรุ๊ปหลายล้านอย่างแน่นอน! ให้เลือกระหว่างสองสิ่งระหว่างข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ พวกเขาก็คงจะต้องเลือกกำไรที่พุ่งขึ้นสูงแต่ละปีเพราะหากให้ภาคีมาบริหารแน่นอนว่าเศษส่วนเปอร์เซ็นตฺของบริษัทก็ยิ่งร่อยหรอหรือเอนเอียงไปทางขาดทุนจนต้องคัดพนักงานออกในที่สุด... "เราได้ CEO คนใหม่แล้วนะครับ ขอแสดงความยินดีกับคุณภาคินัย เดชาบวรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทคนใหม่ของบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป" คุณดำเกิงลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นเกียรติให้แก่บุตรชายคนรอง ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแจ่มใส ปลื้มปริ่มในตัวลูกคนนี้เป็นอย่างมากว่าอย่างน้อยๆเขาก็ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง "ขอบคุณครับ" "พวกเราขอฝากความหวังไว้กับคุณภาคินัยด้วยนะครับ" "พวกเราเชื่อว่าคุณภาคินัยจะต้องบริหารบริษัทได้ดีแน่นอนค่ะ" ... หลังจากที่จบการประชุมในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว ผลการสรุปก็เป็นที่เห็นพ้องต้องกันนั่นก็คือประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทคนปัจจุบัน นายภาคินัย เดชาบวรสกุล "แสดงความยินดีด้วยนะครับคุณซีอีโอคนใหม่" ภาคีเดินเข้ามาในห้องของน้องชายต่างมารดาแล้วกล่าวแสดงความยินดีด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยกุศล เขาไม่เคยคิดอิจฉาริษยาภาคินเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังนึกสงสารเขาอีกด้วยที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น สภาพที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รักแล้วตีโพยตีพายไปก่อนไข้ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครคิดแบบนั้นด้วยซ้ำทว่าอาจเป็นเพราะการกระทำของคุณดำเกิงและการกระทำของคุณจารวีเลยทำให้ความคิดของภาคินถึงได้เอนเอียงเป็นเช่นนั้นเสีย เขาไม่โทษใคร ทุกคนต่างก็ผิดด้วยกันทั้งคู่...หลังจากนี้เขานี่แหละจะเป็นคิวปิดฮัตคอยเชื่อมสายใยความสัมพันธ์เชื่อมต่อรอยร้าวที่อยู่ตรงกลางระหว่างครอบครัวให้กลับมาแน่นแฟ้นและกระชับสมานฉันท์กันเช่นเดิมเมื่อครั้งที่ภาคินยังไม่รับรู้ว่าแท้จริงแล้วจารวีไม่ใช่แม่แท้ๆที่ให้กำเนิดเขามาแต่เป็นเพียงแค่แม่เลี้ยง แม่เลี้ยงใจร้ายในสายตาของภาคินน่ะ "นายไม่ต้องเสียใจหรอกนะที่ไม่ได้ตำแหน่งนี้น่ะ" "ฉันเคยบอกนายด้วยเหรอว่าฉันอยากได้ตำแหน่งนั่น ฉันน่ะอยากออกไปใช้ชีวิตของตัวเองเป็นไกด์ทำตามฝันมากกว่า เชิญรับไปเถอะไอ้ความวุ่นวาย ปวดหมองฉิบหาย" ภาคีหย่อนสะโพกบนเก้าอี้ตรงข้ามกับภาคินแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง "พูดปลอบใจตัวเองงั้นเหรอ?" ภาคินเลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อ "นายก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปสิภาคิน นายน่ะอคติกับฉัน อคติกับพ่อและอคติกับแม่ฉันเกินไปเพราะนายคิดว่าพวกฉันไปทำร้ายนายกับแม่ใช่ไหมล่ะ" "หรือมันไม่จริง! พ่อใช้แม่ฉันมาเป็นข้ออ้างในการบีบบังคับให้ฉันทำตามใจ พอไม่ได้อย่างหวังก็จะไปลงกับแม่ฉัน ส่วนแม่ของนายก็ใจไม้ไส้ระกำพรากลูกมาจากอก ชิงชังแม่ฉันทั้งๆที่แม่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อมีเมีย มีลูกอยู่แล้ว เมื่อรู้ปุ๊บก็ต้องการจะเลิกรากับพ่อ แต่พ่อต่างหากล่ะที่ไม่ยอมปล่อย! ซ้ำแม่ของนายก็สั่งคนไปคุมขังแม่ฉันเหมือนนักโทษไม่ให้ออกมาพบปะผู้คนอุดอู้อยู่แต่ในบ้านจนแม่ฉันต้องเป็นทุกข์ป่วยเข้าโรงพยาบาล! แล้วแม่ฉันผิดอะไร!!!" ภาคินตบโต๊ะอย่างแรงพร้อมทั้งจ้องมองใบหน้าของพี่ชายต่างมารดาด้วยแววตาเป็นมันที่คุกรุ่นไปด้วยความโกรธความโมโหอยู่เต็มเปี่ยม"ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ