LOGINตอนที่ 5 จอมเวทย์แห่งอโยธยา
“เจ้า...กลิ่นอะไร”
“ข้า ท่าน ข้า หยุดนะ”
“อยู่นิ่ง ๆ สักหน่อยได้หรือไม่ออเจ้า ตั้งแต่ข้าเห็นออเจ้าผลุบ ๆ โผล่ ๆ จนล้มลงต่อหน้า ตัวเจ้ายังไม่อยู่นิ่งแม้แต่น้อย”
“ไยท่านต้องดุข้า.. ข้าล้มเจ็บหัวเข่า ซ้ำหน้าผากกระแทกดิน แล้วท่านยัง ยังดุข้าอีก” ดารากาเผลอโต้เถียง
“ว่ากระไรนะ” ขุนอัครเดชหางตากระตุก
“ข้าพูดว่า ไยท่านต้องดุข้า”
“ข้าไม่ได้ดุ!”
“แต่เสียงของท่านมันบอกอีกอย่าง”
“เสียงข้า...”
“ถูกต้องแล้ว เสียงท่านดุดันอย่างกลับ..”
ดาราการีบปิดปากตัวเอง เธอเป็นแม่หญิงที่มิได้ถูกเลี้ยงในเรือนใหญ่ คนสนิทมีเพียงบ่าวไพร่ ดังนั้นการพูดการจาจึงไม่รู้จักยั้งคิด ยิ่งสั่นเทาเมื่อเห็นหางคิ้วขุนอัครเดชกระตุกถี่
ตัวเขาคงไม่ค่อยมีใครขัดใจสักเท่าใด ฉุนคิดในใจก่อนจะหวีดเสียงเพราะโดนเบียดประชิด
“ว้าย!”
“เป็นสาวเป็นแส้ คำพูดคำจาควรระวังปากไว้จึงดีที่สุด ชะรอยบ้านเจ้ามิได้สั่งสอน” เขากระซิบเสียงดุดัน
“สั่งสอน? ท่าน ... ท่านกำลังพูดถึงบุพการีของข้า!”
“มิจริงดอกฤา ข้ามิเคยเห็นแม่หญิงบ้านใดกล้าต่อปาก ซ้ำกระโดกกระเดกดั่งบ่าวไพร่ แต่งกายลูกบ้านขุนน้ำขุนนางแต่กิริยาเยี่ยง...”
ขุนอัครเดชเว้นคำ ใช้สายตาแทนคำพูด กวาดมองหัวจดเท้า เรือนกายที่เคยควบคุมได้กลับทรยศ ทุกเส้นสายตื่นเร้าต้องการครอบครองเสียโดยพลัน
มือคล้ำเข้มดันไม้ตะพดเชยปลายคางแม่หญิงน้อย ด้ามสีดำกฤษณาหัวเขี้ยวสิงห์ครอบทองแกะสลักลงอาคมขลังเย็นเยียบ
“เจ้าชื่อกระไร” เสียงทุ้มต่ำติดแหบพร่า
ดารากาเม้มปากนิ่งขบขอบปากด้วยฟัน กลั้นอาการสั่นแล้วเบี่ยงหน้าหนี เขาใช้ไม้ตะพดดันขึ้นแล้วเบี่ยงกลับ
“ฤาว่าเจ้าเป็นใบ้ คงไม่ดอกหนา เมื่อครู่ปากเจ้ายังพ่นถ้อยคำเจ็บแสบ หรือเจ้าหูหนวก”
เขาขยับคิ้วเลิกสูงอย่างเห็นขัน ยามแม่หญิงขบฟันจนเกิดรอย หลุบตาจ้องปากกระจับ ขยับมือส่งสัญญาณให้คนสนิทยืนตั้งดั่งกำแพงบดบังการกระทำที่เข้าขั้นอุกอาจ ละเมิดหญิงงามอย่างมิอาจให้อภัยในเขตอภัยทาน
การเคลื่อนไหวของสองทหารทำให้ดารากาเผลอชำเลืองมอง คนทั้งสองขนาบซ้ายขวา ดึงบ่าวบัวเข้ามาใกล้แล้วหันหลัง
หันหลัง! เธอตระหนกทว่าสายเกินไป!
ร่างอรชรถูกเบียดชิดแนบสนิท จมหายในร่างบุรุษสูงตระหง่าน ไม้ตะพดดันคางแหงนตั้งก่อนริมฝีปากหนากระด้างประกบลงบังคับให้แย้มออกแล้วสอดปลายลิ้นยาวล้วงลึก
“อื้อ”
แม่หญิงน้อยร้องอึกอัก ดันร่างท่านขุนด้วยแรงอันน้อยนิด ทว่าหัวใจเต้นรัวท้องไส้ปั่นป่วนว้าวุ่น ขนอ่อนลุกทั่วร่าง
ยิ่งเขาสอดลึกกระหวัดไปมาในโพรงปากกึ่งบังคับให้เธอตอบรับ ลิ้นเธอก็อ่อนเหลว ตอบสนองด้วยการพันเกี่ยว แผงอกใต้มือเธอกระเพื่อมหัวเราะพอใจ
“ออเจ้าช่างเป็นแม่หญิงที่อยากรู้”
เขาพึมพำ ดันตะพดเอียงหน้าลงอีกครั้งประกบหนักหน่วงกว่าเดิม เส้นสายกระหึ่มทั่วร่าง กดจูบสูบลมหายใจแม่หญิงเข้าสู่นาสิก ให้ลมหายใจของเธอวิ่งวนไหลเวียนแทนโลหิต เบียดเรือนกายใช้มือกุมลำคอตรึงดวงหน้าหวานรองรับจุมพิตดูดดื่มลึกซึ้งอีกหลายเท่าตัว
สายลมพัดเอื่อยบนยอดต้นไทรร่วมร้อยปี ที่ปกคลุมทั่ววัดพุทไธศวรรย์ สรรพเสียงรอบกายล้วนดับหาย แว่วเพียงเสียงลมหายใจและเสียงการแลกเปลี่ยนน้ำภายในโพรงปาก
เฮือก...
ดารากาผวาตัว สูดลมหายใจเข้าปอด เบี่ยงหน้าไปอีกทางทว่าปากหนายังเคลียคลอแนบชิด พึมพำทุ้มพร่าให้ได้ยินเพียงแค่สองเรา
“บ่ายนี้ข้าจะรอเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ แม่หญิงดารานี แห่งเรือนศรีสงคราม”
ขุนอัครเดชผละออกอย่างเสียดาย รอยรักที่เขาฝากไว้บนริมฝีปากกำลังทำร้ายจนบวมเจ่อ พวงแก้มสองข้างระเรื่อสาดด้วยเลือดฝาด เขาดึงปิ่นเงินออกจากมวยผมด้วยรอยยิ้มอย่างพยัคฆ์ออกล่า
“ข้าจะรอเจ้ามาเอาคืน”
เรือนร่างดารากาอ่อนยวบฝืนยืนขาแข็งรอให้เขาถอยห่างจึงยอมให้ตนเองทรุดลงนั่งกับพื้น ดวงหน้าไร้สีเลือดจนขาวซีด
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ”
“พี่บัว ข้า...” เสียงหวานสั่นเครือระคนสะอื้นเล็กน้อย “ท่านขุนพูดกระไร ข้าไม่เข้าใจ บ่ายนี้” น้ำเสียงเลื่อนลอยรวมไปถึงดวงตาที่ยังจับทิศทางไม่ได้
“คุณหนู กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ไม่ต้องอยู่นั่งวิปัสสนาแล้ว ไปเถิดเจ้าค่ะ”
ดาราการ่างอ่อนเปลี้ยขาอ่อนหมดแรง ในตอนที่บ่าวคนสนิทประคองร่างลุกขึ้นและพาจูงเดินกลับเรือ
ข้างในยังสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยจุมพิตเดียวอันดุดันของขุนอัครเดช จอมเวทย์แห่งวังหลวงอโยธยา
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







