LOGINตอนที่ 6 คำสาปของตระกูล
เรือนศรีสงคราม ยามสาย
เรือนไม้สักทองแกะสลักเกือบทั้งหลังของตระกูลศรีสงครามตั้งตระหง่านงดงามกลางแมกไม้สวนดอกสวนหมากผลไม้ไว้เก็บกิน
ดารากาแหงนหน้ามองปั้นลมลวดลายอ่อนช้อย ปลายยอดชี้ขึ้นฟ้า ใต้ถุนบ้านยกสูงที่ซึ่งด้านล่างล้วนเต็มไปด้วยบ่าวไพร่
แฝดน้องถูกแยกเรือนออกไปเสียตั้งแต่ไม่ทันเข้าสิบขวบ นานทีจึงถูกเรียกขึ้นมาบนเรือนกลาง จดเท้าขึ้นกระไดด้วยใจเต้นระทึก กังวลหวั่นกลัวความเรื่องขุนอัครเดชล่วงเกินจะล่วงรู้ถึงหูบิดามารดา
เรือนร่างอรชรยังสวมใส่ชุดเดิมเมื่อเช้าไม่ทันได้เปลี่ยนให้เรียบร้อย ร่องรอยเปื้อนดินบนผ้าไหมสีทอง เว้าขาดเรียกความสนใจจากพี่สาวทันที
“ดารา ไยออเจ้าจึงมีสภาพเยี่ยงนี้”
แฝดพี่ฉุดมือน้องลงนั่งแล้วปัดเศษดินที่ยังเปื้อนติด
“น้องหกล้มเจ้าค่ะ มิได้เป็นกระไรดอกพี่นี”
“มาได้เสียที มัวทำกระไรอยู่จึงมาสาย”
จันทร์ฉายทำน้ำเสียงเข้มงวด แม้นว่าดารากาจะหวั่นกลัวความผิดทว่ายังโต้ตอบดั่งเด็กสาวที่เติบโตในเรือนบ่าว
“เมื่อเช้านี้ที่วัดคนมากันมาก ลูกรอให้คนน้อยเสียหน่อยค่อยกลับ จึงทำให้ล่าช้ากว่าทุกครั้งเจ้าค่ะ”
“เอาเถิดน้องหญิง เมื่อเช้านี้คนมากจริง คงทราบเรื่องขุนอัครเดชมาทำพิธีด้วยตนเอง”
“เช่นนั้นหรือ? นี่ท่านพี่ไปก่อนโดยไม่บอกน้อง แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“พี่ไปพบมาแล้วมิทันได้กล่าวคำใด ท่านขุนนัดบ่ายนี้”
“ค่อยยังชั่ว น้องกลัวเหลือเกินว่าพี่จะรีบไปนัดแนะ”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ” ดารานีด้วยเป็นลูกสาวคนโปรดจึงกล้าพูดสอด
“เรื่อง...คำสาปของตระกูล” หลวงพิริยเดชอึกอักอยู่ครู่หนึ่งค่อยตัดสินใจพูดขึ้น
“คำสาป...”
สองสาวพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน ดารากาแม้ว่าเกรงกลัวบิดามารดายังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“คำสาปแช่งขุนสิงหไกรสมัยสุโฆฑยะ เนิ่นนานจนแม้แต่พ่อยังลืมเลือน กระทั่งหลายเดือนมานี้ เกิดเหตุบ่าวไพร่พากันล้มตายกันทีละคนสองคน เหลียวมองทางใดในเรือนมีแต่ความเศร้าหมองกระทั่งพื้นยังเย็นยะเยือก”
สองแฝดลอบมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเธอถูกเลี้ยงดูมาคนละเรือน ทว่าในช่วงเวลากลางวันมักเที่ยวหาเล่นด้วยกันทุกวัน ได้ร่ำเรียนวิชามาจากอาจารย์คนเดียวกัน ทั้งศาสตร์อักษร เย็บปักถักร้อย ดูแลบ้านเรือน คนทั้งคู่จึงมิได้ห่างเหิน ทว่าแฝดน้องมีนิสัยซุกซนมากกว่าเพราะอยู่กับบ่าวไพร่เสียส่วนใหญ่
“เมื่อคืนนี้พ่อให้บ่าวไปเชิญโหรหลวงมาตรวจดวงชะตา ปรากฏว่า...”
หลวงพิริยเดชพูดไม่ออกชั่วขณะ ใจเขาหนักอึ้งถึงความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ต้นตระกูลกระทำแล้วส่งผลมายังลูกสาวที่เขารัก
“ปรากฏว่ากระไรเจ้าคะ” ดารานีเร่งถาม
“เพลานี้อาคมที่เคยอ่อนแรงกลับแก่กล้าขึ้น เนื่องจากเวลาตกฟากของพวกเจ้าสองคน”
“ของลูก” แฝดพี่แฝดน้องพูดโพล่งขึ้นพร้อมกัน
“ใช่ลูก แม่ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร ฮื้อ” จันทร์ฉายพูดเพียงประโยคเดียวก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นซุกหน้าลงบ่าหลวงพิริยเดช
“เวลาตกฟากของเจ้า วันอังคารเดือนดับปีขาล ซ้ำยังเป็นแฝดทำให้ทวีคูณขึ้นอีกเท่า วิธีแก้นั่นคือ...” เขาเป็นชายทั้งแท่งยังมิกล้าพูดออกมา
“มีสองทางเลือกลูกรัก หนึ่งคือต้องตาย” คุณหญิงน้ำเสียงสั่นเครือ
“ตาย!! ท่านแม่ต้องหยอกลูกเล่นเป็นแน่แท้” ดารากาโพล่งขึ้นน้ำเสียงตกใจ
“หรืออีกทางคือให้ขุนอัครเดชช่วยเหลือ”
“ขุนอัครเดช!!” ด้วยความผิดติดตัวยังไม่จางหายทำให้ดารากาขึ้นเสียงสูงจนเกือบหวีดร้อง
“ช่วยเหลือเยี่ยงไรเจ้าคะ” ดารานีตั้งสติได้มากกว่าเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“เจ้าต้องร่วมทำพิธี...ร่วม...หลับนอนกับขุนอัครเดช” จันทร์ฉายอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก
“กระไรนะ!!” ดารากาตระหนกจนเกือบขวัญหาย ทะลึ่งตัวพรวดยืนไม่รู้ตัว
“ดารา เจ้าทำพี่ตกใจ ท่านแม่...เมื่อครู่ลูกมิหูฝาดใช่หรือไม่ ร่วมหลับนอน แล้วใครกัน เป็นลูกหรือน้อง หรือ...ทั้งคู่”
ตอนที่ 12 ไม่มีใครเหมือนของท่านขุนอัครเดชเหตุใดเขาจึงมิทำมันให้จบสิ้น เธอนอนเกร็งไปทั่วร่าง หวาดหวั่นจนลำคอแห้งผาก ขาเป็นตะคริว ความขุ่นข้องพาให้เธอดันไหล่เขาออก คิ้วเข้มขมวดทันที“เป็นกระไร เรายังทำพิธีไม่เสร็จ”“แล้วเหตุใดท่านขุนจึงมิทำเสียให้แล้วโดยไว ท่านท่องบทสวดประเดี๋ยวหยุด ประเดี๋ยวท่อง เยี่ยงนี้เมื่อใดกันจึงจักเรียบร้อย”ด้วยถูกเลี้ยงดูมากับบ่าวไพร่จึงทำให้เธอมักพูดโพล่งออกไปไม่ทันคิด เห็นคิ้วข้างขวาเขายกขึ้นโก่งสูง ขยับหน้าขึ้นจ้องเธอนิ่ง“ออเจ้าเร่งรัดข้าหรือ? ต้องการให้ข้าทำแบบรีบร้อนเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ท่านขุน ข้าคิดว่าท่านช้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นแม่หญิงมีตระกูล แค่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนพื้นกระดาน บนผ้าสีขาวกลางห้องทำพิธีมืดทึมนี่ก็นับว่าหมิ่นเกียรติมากพอแล้ว แทนที่ท่านจักทำมันให้จบ ๆ กลับให้ข้านอนใจเต้นระทึกเป็นนาน”ขุนอัครเดชเกิดความสับสนไม่แน่ใจ นับจากที่พบเธอในวัดเพลานั้นเธอคล้ายหวาดกลัว แม้ว่ามีเค้าลางดื้อดึงซ่อนอยู่ ส่วนวันก่อนหวาดกลัวหนักกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งร่างทว่าในค่ำนี้ แรกที่เขาสัมผัสร่างเธอยังสั่นเทิ้ม แล้วเหตุใดแปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งบทสวดขึ้น
ตอนที่ 11 ท่านขุน 18+แอ๊ด!เปลือกตาแม่หญิงลืมโพล่งผวาเล็กน้อยยามเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อท่อนบน สวมเพียงผ้าซิ่นสีขาวทำพิธีตัวยาวจดข้อเท้า ผิวเข้มคล้ำจากแดดเผาเลียจนรอยสักยันต์มากมายบนผิวหนังเกือบจะกลืนหายเธอไม่กล้าสบตาก้มศีรษะลงทันใด“นั่งชันเข่าไว้”เสียงทุ้มพร่ากว่าคราวก่อนยิ่งพาให้ท้องน้อยหดรัด เธอขยับท่อนขาขึ้นนั่งชันเข่าแบบหญิงสำหรับทำพิธีกรรม แว่วเสียงท่านขุนคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชาแล้วท่องบทสวดถ้อยบทสวดทุ้มต่ำที่เธอไม่เคยได้ยินก้องกังวานจนร่างสะท้าน บรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายเรือนกายถูกถ่วงนิ่ง รับรู้เพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นเครื่องหอมอันน่าพิศวงดารากาสะดุ้งสุดตัว สัมผัสถึงไออุ่นแผ่นใหญ่ด้านหลัง ท่านขุนนั่งชันเข่าเช่นกันโน้มหน้าลงลาดไหล่พ่นลมหายใจร้อนจัดขยับขึ้นใบหู เขายังไม่ถูกตัวเธอด้วยซ้ำทว่ามันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่าง“วันนี้ออเจ้าหอมกลิ่นบางอย่าง”ดารากาเม้มปากเอียงศีรษะหนีไปอีกด้านทันทีเมื่อขอบปากหนาจดลงลำคอระหง ก่อนที่เขาจะขยับออกห่าง เธอได้ยินบทสวดดังขึ้นอีกครั้งใกล้ใบหูขุนอัครเดชหยิบมีดลงอาคม มีดสองคมส่องประกายวาววับทำจากเหล็กน้ำพี้ดำสนิททว่าสะท้อนเงาล้อแสงไฟดั่งกระจกเง
ตอนที่ 10 วันส่งตัวเช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนบวรเวทย์เรือนไทยสูงตระหง่านตรงกลางแมกไม้หนาทึบ กลิ่นดอกกาสะลองชัดกว่ากลิ่นใด ในขณะที่ดารากาเยื้องย่างมาถึงยังเรือนแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ร่างอรชรในชุดบ่าวสีน้ำตาลโจงกระเบนเนื้อหยาบพันผ้าคาดอกเผยผิวนวลผิดไปจากทาสคนอื่น ปิดคลุมหน้าด้วยผ้าหยาบสีน้ำตาลโพกพันถึงลำคอ นั่งเงียบถัดอยู่ด้านหลังบ่าวบัว มือรวบไว้บนพื้นค้อมตัวลงก้มศีรษะ สะดุ้งเบา ๆ ยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น“ท่านขุนอัครเดช” ดารานีทักเสียงเบา“ข้าให้คนเตรียมห้องหับไว้ให้ออเจ้าแล้ว อยู่อีกชานเรือนฟากฝั่งทิศเหนือ ช่วงนี้กำลังเข้าหน้าฝนไม่ร้อนสักเท่าใด”เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าทำให้ดารากาหดขาพับเพียบเข้ามาอีกไม่รู้ตัว เธอสั่นไปหมดก้มหน้าจนเกือบติดพื้น“เจ้าค่ะ”“นำบ่าวมาเพียงเท่านี้หรือ”“เจ้าค่ะ”“แล้วบ่าวผู้นั้น ไยจึงโพกผ้า เจ้าเงยหน้า” เขาส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านี้ดารากาก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงกระหน่ำ หูคล้ายดับไปแล้วจึงก้มหน้างุดลงอีก“ท่านขุนเจ้าคะ บ่าวผู้นั้นชื่อชะเอม มันโดนไฟคลอกตั้งแต่ยังเล็ก ใบหน้าพิกลพิกาลนัก เลยให้มันโพกผ้าไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”“วั
ตอนที่ 9 ใจอันหนักอึ้งเช้าวันต่อมา ณ เรือนศรีสงครามเรือนนอนของดารากาอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก เป็นเรือนไม้สักทองทั้งหลังงดงามไม่แพ้กันทว่าหลังเล็กกว่าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวแสงยามเช้าสีทองสาดเข้ายังหน้าต่างห้องนอนทอดยาวเกิดเงาบนผนัง ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวตามแรงลมเอื่อย ดวงหน้าขุนอัครเดชยังติดตายากจะสลัดทิ้ง“พี่บัว”“เจ้าคะ คุณหนู”“ค่ำวานนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อกับแม่กลับมากันยามใด”“ค่อนดึกเจ้าค่ะ บ่าวลอบมองข้างบันไดใบหน้าซีดเซียว ยิ่งคุณหนูดารานีคล้ายคนเป็นลมมาเจ้าค่ะ”ดารากานิ่งงันไปอึดใจ แม้นว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่ายังได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดี กตัญญูรู้คุณ ยามนี้คนในบ้านเดือดร้อนเธอเองก็พลอยร้อนใจตาม“บ่าวเคยได้ยินเรื่องท่านขุน เขาเล่าลือกันว่าคาถาอาคมแกร่งกล้าแม้กระทั่งเสกคนให้กลายเป็นหินเจ้าคะ”“หินงั้นหรือ?” น้ำเสียงตื่นตระหนก“เจ้าค่ะ” บัวทำท่าขนลุกก่อนจะสะดุ้งโหย่งตึง ตึง ผลัวะ! จู่ ๆ บ่าวรับใช้อีกคนอายุยังน้อยเพียงสิบหกปี วิ่งตึงตังพรวดพราดเข้ามาในห้อง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ”“อะไรแม่ชะเอม! เดินเหินให้เบาฝีตีนสักหน่อย ใครได้ยินจะหาว่าบ้านนี้ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่” บ
ตอนที่ 8 เจ็ดวันคราขุนอัครเดชยืดเรือนกายเคร่งเครียด ในเพลานี้เขาตระหนักแล้วว่าหลวงพิริยเดชหมายถึงสิ่งใด การถอนคำสาปแช่งอาคมแกร่งกร้าวที่ไร้ผู้สืบทอดจนหาต้นตอมิได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ ตาย!!“ท่านหมายใจจะให้ธิดาท่านสิ้นชีวาหรือ?”เขาพุ่งคำถามทันทีไม่รอช้า จ้องดวงตาคุณหลวงที่แฝงความกังวล ใบหน้าหมองคล้ำ“มิได้ท่านขุน ข้ามิได้ต้องการให้ดารานีต้องตาย”“ถ้าเช่นนั้น ท่านหมายถึงการหาตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่”“ท่านขุนเก่งฉกาจนัก เดาใจข้าได้ถูกต้อง”ขุนอัครเดชนิ่งอึ้ง สิ่งที่เขาคาดเดามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าการถอนคำสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ดังนั้นการหาตัวตายตัวแทนย่อมดีกว่าให้ธิดาต้องตายดับ“ข้าอาจมิได้เก่งกาจอันใด ขอหลวงท่านขยายความด้วยเถิด”ขุนอัครเดชหยิบน้ำขึ้นจิบทันที ลำคอแห้งผากกะทันหัน เพราะภายในใจนั้นรู้เต็มอกว่าต้องทำเยี่ยงไร ภาพในห้วงสำนึกเพลานี้จึงเป็นภาพที่มิควรเห็น พยายามไม่จดจ้องดวงหน้างดงามที่เอาแต่ก้มหน้า“โหรหลวงท่าน...ข้านี้กระดากปากยิ่งนัก เป็นถึงพ่อคนแม่คนแต่ต้องพูดเยี่ยงนี้ให้บุตรีเสียชื่อ ทว่าหากไม่กระทำเยี่ยงนี้ข้าเองก็จนปัญญา”หลวงพิริยเดชเอ่ยถ่อมตัวเล็กน้อย“ข้าต้
ตอนที่ 7 เรือนบวรเวทย์ด้วยความสุขุมอย่างบุตรสาวคนโตทำให้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และแม้นว่าคุณหลวงกับคุณหญิงจะรักลูกสาวคนนี้ปานใด ทว่าความรักนี้คงยังมิสู้ความรักในตัวกลัวตายตระกูลล่มสลาย“เป็นเจ้า ดารานี ลูกรักของแม่ ฮื้อ...” พูดจบจันทร์ฉายหยิบผ้าไหมผืนเล็กปาดน้ำตา “พ่อเจ้านัดกับท่านขุนอัครเดชไว้บ่ายนี้ จะไปขอความช่วยเหลือ”สองฝาแฝดลอบมองหน้ากันสีหน้าไร้สีเลือดปากสั่น ก่อนแฝดพี่จะเป็นคนเอ่ยถาม“แล้วลูกคนใดกัน เป็นลูกคนใดที่ต้องไป”“ดารานี เจ้าเป็นคนต้องคำสาป เจ้าต้องไปด้วยตนเองให้ท่านขุนเห็นหน้า หากท่านขุนมีใจเมตตา พวกเราจะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ตลอดไป”ดารานีอึ้งงัน ในทรวงอกอัดแน่นบางอย่างที่ตนต้องเป็นฝ่ายแบกความรับผิดชอบต่อดวงชะตาครอบครัว“มีใจเมตตา!! เชอะ ท่านพ่อท่านแม่พูดราวกับว่าการได้แตะเนื้อต้องตัวร่วมเตียงกับพี่นีถือเป็นโชควาสนาของเรา แท้จริงควรเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้ผลประโยชน์!”ตึง! คุณหลวงกระทืบเท้าลงพื้นเรือน ยกนิ้วชี้หน้า ใบหน้ากราดเกรี้ยวจนริมฝีปากบิดเบี้ยว“ดารานี!! เจ้ามันปากไพร่ คงเพราะอยู่แต่พวกชั้นต่ำจึงได้พูดจาโพล่งขึ้นเช่นนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปใช้ปากเยี่ยงนี้กั







