ชายหนุ่มอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น สติเลือนรางขณะที่สายตาเหลือบมองรูโหว่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แม้หัวใจจะหายไป แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมพังทลาย มันกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยพลังบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้
ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มวลมานาขนาดใหญ่แผ่กระจายโอบล้อมร่างที่กำลังถูกแทรกแซงจากจิตวิญญาณอีกดวงที่แฝงตัวอยู่ภายใน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองอีกต่อไป แต่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการพยายามครอบงำทุกส่วนของร่างกายเขา
ผิวสีขาวของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มในหลายจุด ผมที่ดำสนิทกระเซอะกระเซิง บัดนี้มีสีเทาแซมอย่างเด่นชัด ดวงตาข้างหนึ่งกลายเป็นสีแดงเข้ม บ่งบอกถึงการแผ่ขยายอิทธิพลของจิตวิญญาณแปลกปลอม แม้ว่าการครอบงำจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ร่องรอยของมันปรากฏชัดในทุกเส้นสายของร่างกาย
จิตวิญญาณที่แฝงอยู่พยายามอย่างสิ้นหวังที่จะฟื้นฟูรูโหว่บริเวณหน้าอก โดยการเปลี่ยนพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ฟื้นฟูหัวใจของเขาอย่างสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะเป็นการพยายามที่สูญเปล่าก็ตาม
ขณะเดียวกัน หญิงสาวผมดำ ดวงตาสีเงิน จับจ้องเขาด้วยความพึงพอใจปนความระแวดระวัง
เธอมองเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในร่างของเขา ภายหลังจากที่เธอทำลายหัวใจของเขาอย่างสิ้นเชิง เธอตั้งใจจะใส่หัวใจของจอมปราชญ์ที่เธอปรับแต่งขึ้นมาแทนที่ แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิด คือการที่จิตวิญญาณแปลกปลอมในร่างของเขาจะต่อสู้กลับ
ในตอนแรก เธอเพียงต้องการให้จิตวิญญาณของเขาถูกครอบงำโดยความทรงจำ และ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของ ไรอัส ด้วยการ เก็บหัวใจของเขาออกมา พร้อมกับฝังหัวใจดวงนี้เข้าไป แต่ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณลึกลับในตัวเขา กำลังขัดขวางความพยายามของเธอ ทำให้เธอไม่มีทางเลือก เลยต้องทำลายจิตวิญญาณของเขาบางส่วน พร้อมๆกับสร้างเขตแดนทำลายตรงรูโหว่กลางอก เพื่อขัดขวางการฟื้นฟูที่เกิดขึ้น
มือของเธอยังคงขยับอย่างเชี่ยวชาญ เธอค่อยๆสลักอักขระเวทมนตร์ลงบนหัวใจของจอมปราชญ์ เสริมพลังป้องกันและขัดขวางการต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น เธอต้องการให้มันสมบูรณ์แบบ เพราะนี่คือความหวังสุดท้ายที่จะพาคนรักของเธอกลับมา
แม้ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด แต่เวทมนตร์ที่ล้อมรอบตัวเขาไว้ ก็ทำให้การครอบงำของจิตวิญญาณอีกดวงไม่อาจแผ่ขยายได้เต็มที่ มันเป็นเหมือนกับการต่อสู้ที่ไร้จุดจบ — ทุกครั้งที่มันพยายามแทรกซึมและซ่อมแซมร่างกาย เวทมนตร์ของเธอก็จะบดขยี้ความพยายามนั้นจนย่อยยับ
รอบตัวพวกเขา เขตแดนของมิติกำลังเสื่อมสลายอย่างช้าๆ พฤกษาที่เป็นหัวใจสำคัญของสถานที่แห่งนี้ได้สูญสิ้นไปแล้ว หญิงสาวปล่อยพลังเวทมนตร์จากตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อคงสภาพมิตินี้เอาไว้ให้นานที่สุด แต่แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากความเสื่อมถอยของมิติและพลังงานอันมหาศาลที่เธอใช้ในการควบคุมทุกอย่าง ทำให้สถานการณ์เริ่มเกินการควบคุม
เมื่อหัวใจของจอมปราชญ์ถูกปรับแต่งจนสมบูรณ์แบบ เธอก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของพิธีกรรม เธอยื่นมือออกไปเบื้องหน้า พลังเวทมนตร์ที่เข้มข้นจนบิดเบี้ยวไปทั่วทั้งมิติถูกรวบรวมไว้ในฝ่ามือของเธอ
“แค่นี้ก็แค่รอเวลาที่เธอจะกลับมาแล้ว...” เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
หญิงสาวจับหัวใจของจอมปราชญ์บรรจุมันเข้าไปในช่องว่างกลางอกของชายหนุ่มทันที เสียงแตกหักของเขตแดนดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแสงจ้าที่ปกคลุมทุกสิ่ง
ร่างของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังที่ต่อต้านกันในร่างกายเขาปะทุขึ้นจนเกิดเป็นกระแสพลังงานที่แผ่กระจายไปทั่ว ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงในชั่วพริบตา
เมื่อมิติพังทลายลง ทั้งร่างของชายหนุ่มและหญิงสาว หายไปในความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงเสียงก้องสะท้อนของพลังงานที่ยังไม่รู้จุดจบ...
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาจากความมืดและพบว่าตัวเองอยู่ในซอยเปลี่ยวก่อนหน้า—สถานที่ที่เขาเคยเข้าไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างกายของเขาเจ็บปวดและรู้สึกถึงความผิดปกติ เขากระตุกตัวลุกขึ้นมาอย่างร้อนรน สัมผัสที่หน้าอกบริเวณที่เสื้อของตัวเองฉีกขาด ดูเหมือนรูโหว่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะหายสนิทแล้ว แต่กล้องที่เขาซ่อนเอาไว้ก็ถูกทำลายเช่นกัน
เขาหยิบนาฬิกาพกที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาดู มือสั่นนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปแล้ว 4 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่เขาหายไปในเขตแดน ก่อนที่จะเช็คร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดอีกครั้ง ผ่านการมองเงาสะท้อนของหน้าต่างที่แตกหักที่หน้าต่างข้างๆ
ทรงผมที่เคยแซมด้วยสีเทา กลับมามีสีดำสนิทเช่นเดิม ผิวบางส่วนที่กลายเป็นสีเข้มก็กลับกลายเป็นสีขาว ดวงตาสีแดงก่ำจนน่ากลัว ก็กลายเป็นสีเทาปกติ ไม่มีร่องรอยของจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในหลงเหลืออยู่ที่ภายนอกของเขา ราวกับความพยายามเอาชีวิตรอดก่อนหน้านี้ของมันเป็นเรื่องโกหก
แต่ถึงกระนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวเอง เขายกมือกดไปที่หน้าอก รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน มันไม่ใช่หัวใจของเขา—แต่มันคือหัวใจของจอมปราชญ์ไรอัส ที่ตอนนี้เต้นอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับมันเป็นของเขามาแต่แรก
เขาตัดสินใจลองใช้พลังเวทจากหัวใจใหม่นี้ ทันทีที่เริ่มกระตุ้นพลัง ร่างกายก็เกิดการตอบสนองทันที เหมือนบางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเขากำลังเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหัวใจค่อยๆขยับ และเริ่มผสานเข้ากับจิตวิญญาณของเขา แม้จะเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นทำให้เขาต้องหยุดลงชั่วคราว สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจและไตร่ตรองสถานการณ์อีกครั้ง
เขารู้ดีว่าความจริงคืออะไร แต่ลึกๆแล้วก็ยังไม่อยากยอมรับมัน หัวใจของจอมปราชญ์ไรอัสที่เต้นอยู่ในอกของเขา มาพร้อมกับพลังที่เขาแสวงหามาโดยตลอด ทว่ามันกลับมาพร้อมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับตัวตนของเขา
ทุกครั้งที่เขาใช้เวทมนตร์ รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเล็กๆในส่วนลึกของหัวใจ เหมือนเศษเสี้ยวของไรอัสกำลังผสานเขากับตัวเขา แม้จะแทบไม่สังเกตเห็น แต่เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
"ยังไม่เป็นไร..." เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พยายามปลอบจิตใจไม่ให้คิดเกินเลย มือหนึ่งล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบแก่นมอนสเตอร์สีเงินที่เปล่งประกายออกมา เขาตัดสินใจดึงพลังเวทย์จากมันมาใช้แทน แสงสีเงินบางเบาคลี่ตัวออกจากแก่น ลื่นไหลและนุ่มนวล
พลังเวทย์ค่อยๆ ซ่อมแซมรอยฉีกขาดบริเวณหน้าอก เสื้อผ้าที่เสียหายกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เขามองดูผลลัพธ์ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ราวกับปลดเปลื้องความกังวลออกไปได้เพียงเล็กน้อย
“แบบนี้ดีกว่า…ไม่จำเป็นต้องพึ่งมัน” เขากล่าวกับตัวเอง คลายมือลงจากแก่นในมือ แต่ในใจลึกๆเขารู้ว่าคงหนีความจริงนี้ไปได้อีกไม่นาน
เขาเก็บแก่นมอนสเตอร์กลับเข้าไปในกระเป๋า ก่อนจะหันหลังเดินไปยังห้องพัก ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนใจสิ่งรอบตัว ความคิดฟุ้งซ่านเริ่มเลือนหายเมื่อก้าวเท้าไปเรื่อยๆ
เสียงลมอ่อนๆ พัดผ่านใบไม้เหนือหัว เขาชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมอง แต่เมื่อมองไปรอบตัว กลับไม่มีอะไรผิดปกติ “คงคิดไปเอง…” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะดึงตัวเองกลับมาสู่เส้นทาง
แต่เขาไม่รู้เลยว่าในความมืดรอบตัว มีสายตานับสิบคู่กำลังจ้องมองเขาอยู่ เงาร่างของเหล่าจอมเวทย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดต่างเฝ้าติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเงียบงัน
ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสเวทมนตร์ที่เขาเคยพึ่งพา บัดนี้กลับเงียบงันราวกับหายไปโดยไม่รู้ตัว
และในเงาสลัวของตรอกแคบ ดวงตาสีเปลวเพลิงคู่หนึ่งส่องประกายขึ้นมา แฝงไว้ด้วยความคุกคามและเจตนาบางอย่างที่ยากจะคาดเดา มันจับจ้องเขาอยู่เงียบๆ ราวกับรอเวลาที่เหมาะสม…
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่