ยามค่ำคืนที่เงียบสงัดปกคลุมเมืองไว้ด้วยความมืด เข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่เวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศที่ควรคึกคักกลับดูอึดอัดและไม่ปกติ เอรอสเดินอยู่บนถนนสายเล็ก มุ่งหน้าไปยังหอพัก ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ในหัวของเขากำลังคำนวณแผนการหลบหนี
‘สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อไม่ได้แน่... ทางที่ดีที่สุดคือหาที่กบดานเมืองอื่นสักครึ่งปี แล้วค่อยกลับมาใหม่’
เขาคิดในใจพลางประเมินตัวเลือกต่างๆ การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้เครือข่ายเดิมที่มีหรือจ่ายเงินให้คนที่ไว้ใจได้ เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในตระกูลสาขาสักตระกูล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นก็ค่อยส่งนักเรียนบางคนแทรกซึมเข้าไปในหอคอย เพื่อล้วงข้อมูลที่จำเป็น
‘ขอแค่หนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อน... แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย’
เอรอสเลือกเดินผ่านตรอกวอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปยังหอพัก ถนนแคบๆ มีเพียงแสงจากโคมไฟเก่าๆ สลัวๆ ให้เห็นทาง เขาชอบทางนี้เพราะมันเปลี่ยวและไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่คืนนี้มันกลับเงียบเกินไปอย่างผิดปกติ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง
เมื่อเขาเดินมาถึงลานกว้างข้างหน้า ความรู้สึกผิดปกติเริ่มกัดกินความสงบในใจ มันไม่มีผู้คนอยู่เลย เงียบจนไม่มีกระทั่งเสียงแมวหรือหนู เสียงลมที่ควรจะพัดผ่านก็เหมือนถูกตัดขาดออกจากโลก เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ปกคลุมจนขนลุก
เขายืนนิ่งอยู่สักพักเพื่อประเมินสถานการณ์ ความเงียบที่ดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แสงจากโคมไฟดูเหมือนจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าปากทาง ทางเข้าลานกว้าง จ้องมองไปยังพื้นที่ตรงหน้าด้วยท่าทีระวัง
‘ทำไมมันเงียบขนาดนี้?’
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ และรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง กลิ่นอายของมานาที่ผิดปกติ มันเจือปนด้วยความชั่วร้าย แต่กลับเสถียรอย่างแปลกประหลาด ซึ่งผิดธรรมชาติสำหรับแก่นมอนสเตอร์ที่ใช้เป็นแหล่งพลังงานในเมืองนี้ ปกติแล้ว หากมีการรั่วไหลของมานา มันจะไม่เสถียรแบบนี้
เอรอสค่อยๆก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าแรกพ้นออกจากตรอก เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่กดดันอยู่ในอากาศ คลื่นพลังแปลกประหลาดนี้ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
‘วงเวทย์นี้มัน?…... ทำไมพึ่งจะมารู้สึกตัว’
เขาขมวดคิ้วแน่น ระยะแค่นี้ กลับพึ่งมารู้สึกถึงมัน ความสามารถในการสัมผัสมานาของเขาลดลงอย่างมากโดยไม่รู้ตัว นั่นหมายความสถานการณ์ของเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในอันตราย เขากำลังโดนจับตามองตั้งแต่ออกมาพท้นที่ของแม่มดแล้ว
เอรอสขยับมือไปที่เสื้อคลุม หยิบปืนพกเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างตัวออกมา เขาเล็งไปยังจุดที่มานาไหลเวียนผิดปกติ เส้นสายพลังงานจางๆ ลอยอยู่ในอากาศเป็นเงามัวในสายตาของเขา พลางเหนี่ยวไกยิง เสียงปืนดังสนั่น ลูกกระสุนพลังเวทย์พุ่งตรงเข้าไปทำลายกับดักในพริบตา วงเวทที่ลอยอยู่ในอากาศแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงที่เหมือนบางสิ่งถูกทำลาย
ทันทีที่วงเวทถูกทำลาย อากาศรอบตัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอรอสรีบเก็บปืน และ เริ่มออกวิ่งหนีเข้าไปในตรอกลึก พยายามหลบเลี่ยงพื้นที่เปิดโล่งและหาทางไปยังแกนกลางของเขตแดนจากความรู้ที่มี หากสามารถทำลายแกนกลางได้ เขตแดนจะสลายตัว และจะมีโอกาสหนีออกไปจากพื้นที่นี้
“ต้องรีบหามันให้เจอ ก่อนที่จะโดนต้อนให้จนมุม” เขาคิดอย่างรอบคอบ ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมากันเท่าไหร่ และในกลุ่มนั้นมีจอมเวทย์ระดับสูงกี่คน การเปลี่ยนตัวตนเป็นจอมเชือดในตอนนี้จะเป็นการเปิดเผยตัวเกินไป หากโดนจับได้ เขาจะไม่เหลือไพ่ตายไว้หลบหนี ฉะนั้นต้องห้ามเปลี่ยนร่างเด็ดขาด
เสียงก้าวเท้าของเอรอสดังก้องไปตามตรอกที่มืดมิด เขาพยายามหาทางออกจากเขตแดนนี้ แต่เส้นทางกลับดูเหมือนบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ เมื่อเขามองไปรอบๆ ทุกสิ่งดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ได้ตามปกติ ความมืดดูเหมือนจะกลืนกินแสงไฟจากโคมไฟทีละน้อย ราวกับว่ามันถูกควบคุมจากใครบางคน
‘ดูเหมือนต้นกำเนิดพลังเวทย์จะอยู่ข้างหน้า’ เอรอสคิดพลางหยุดฝีเท้าเพื่องสังเกตุการณ์ สายตาและสัมผัสของเขาตรวจจับได้ถึงพลังที่รุนแรงผิดปกติซึ่งแผ่ออกมาจากพื้นที่ข้างหน้า 'นั่นต้องเป็นจุดที่ผู้คุมเขตแดนอยู่แน่ๆ'
ทันใดนั้น เสียงคำรามดังขึ้น สัตว์ประหลาดหลายตัวเริ่มปรากฏตัวจากเงามืด พวกมันมีรูปร่างบิดเบี้ยว ร่างกายเต็มไปด้วยหนวดที่เหมือนเถาวัลย์เคลื่อนไหวไปมา เอรอสรีบหยิบปืนขึ้นมาและยิงกระสุนใส่หนวดของพวกมัน กระสุนนัดแรกพุ่งทะลวงหนวดจนขาดกระจายเปิดทางให้เขาวิ่งผ่าน แต่สัตว์ประหลาดไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
หนวดอีกเส้นเหวี่ยงเข้ามาจากด้านข้าง เขากลิ้งตัวหลบก่อนจะยิงกระสุนอีกนัดไปยังจุดอ่อนของมัน สัตว์ประหลาดร้องคำราม แต่ก็ยังพุ่งเข้ามา เขาใช้ช่วงเวลานั้นวิ่งฝ่าฝูงสัตว์ประหลาดและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีพลังเวทย์เข้มข้นที่สุด
ในที่สุดเขาก็มาถึงลานกว้างที่มีแสงสลัวอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางลาน หญิงสาวผมสีแดงเข้มกำลังลอยตัวเล็กน้อยเหนือพื้น เธอหลับตาแน่น และใช้มือทั้งสองข้างกำคทาด้ามยาวไว้แน่น ราวกับตั้งสมาธิ อักษรรูนจำนวนมากลอยอยู่บริเวณโดยรอบ ในขณะที่กลุ่มผู้คุมเวทย์อีกจำนวนหนึ่งยืนล้อมรอบเธอและร่ายเวทย์ป้องกัน
เอรอสตัดสินใจหยิบแก่มานาสีแดงออกมาและใส่เข้าไปในปืน เขายิงออกไปนัดแรก พลังทำลายจากกระสุนนั้นรุนแรงพอที่จะทะลวงโล่ป้องกันจนแตกออก เสียงระเบิดดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทันทีที่โล่ถูกทำลาย เขารีบเปลี่ยนกระสุน และเล็งปืนไปที่หัวของหญิงสาวผมแดงหมายจะจบทุกอย่างในนัดเดียว
แต่เมื่อเขาโฟกัสสายตาให้ชัด กลับพบว่าเธอคือ เฟลิเซีย ดราโกร์น อดีตลูกศิษย์ที่เขาเคยสอนเรื่องอักษรรูนเมื่อหลายปีก่อน ภาพในอดีตแวบเข้ามาในหัว เขาจำได้ถึงวันที่เขาพบเธอครั้งแรก—เด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่กับแม่ข้างถนน เขาเคยช่วยเหลือและสอนเธอในร่างของเรย์นาร์ค ก่อนที่เธอจะถูกพาตัวกลับไปยังตระกูลของเธอเพราะสิ่งที่เขาสอนให้
ความลังเลแวบเข้ามาในใจของเขา เอรอสลดเป้าหมายลง และเล็งยิงไปที่หัวคทาแทน กระสุนนัดนั้นพุ่งตรงและทำลายแก่นมอนเตอร์ตรงหัวคฑาทันที พลังเวทย์ที่เคยคละคลุ้งเริ่มสั่นไหว ก่อนจะแตกสลายลงอย่างช้าๆ
แต่ในขณะเดียวกัน โดยที่มไ่ทันตั้งตัว เขาก็ถูกพลังเวทย์ขนาดใหญ่โจมตีลงมาจากด้านบนเหนือศีรษะ แรงระเบิดนั้นไม่เปิดโอกาสให้เขาหลบหลีกได้ทัน เขาจำต้องดึงพลังเวทย์ที่อยู่ในหัวใจออกมาเพื่อสร้างเกราะป้องกัน ก่อนที่การโจมตีจะกลบเขาหายไปในกลุ่มควัน
เมื่อควันจางลง ร่างของเอรอสยังคงอยู่ในที่เดิม แต่เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ ถุงที่บรรจุแก่นมานาล่วงหล่นกระจัดกระตายตรงหน้า ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากแรงระเบิดจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ในขณะที่สติของเขาเริ่มเลือนราง เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองเห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมปรากฏตัวลงมาจากฟากฟ้า เขาจำได้ทันทีว่านั่นคือจอมเวทย์ผู้อาวุโสจากหอคอย ระดับ 6 วงแหวน
สายตาอีกคู่หนึ่งดึงความสนใจของเขา หญิงสาวผมสีแดง เฟลิเซียมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ทำอะไร สติของเขาก็ดับวูบลงพร้อมกับความมืดมิดที่กลืนกินทุกสิ่ง
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่