โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดา
พื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุด
คาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆ
เธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้
แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
มือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบไม่พร่องเลยตั้งแต่วางไว้
“ยินดีต้อนรับ… ไม่ได้เจอกันนานพอสมควรเลย” เสียงของเธอนุ่มลึก แฝงด้วยอำนาจเล็กน้อย
โจชัวหยุดยืนอยู่กลางห้อง แววตาภายใต้กรอบแว่นฉายแววประหลาดใจเพียงครู่ ก่อนจะกลับเป็นเรียบนิ่งอีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่ก้าวเข้าไปใกล้เธอ ชั่วขณะหนึ่งเงาของเขาและเงาของเธอซ้อนทับกันบนพื้นไม้
เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย คล้ายเป็นการแสดงความเคารพ
“คุณเรียกผมมา…มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”
คาร์ลินวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ เสียงกระทบถ้วยกับจานรองแผ่วเบาจนแทบจะไร้เสียง เสียงเดียวที่ดังกว่าคือเสียงนาฬิกาแขวนผนังที่เดินเป็นจังหวะเนิบช้า
“เมื่อคืน…เรย์นาร์คได้ไปหาคุณใช่ไหมคะ?”
คำถามของเธอเรียบง่าย ไม่มีแววตำหนิหรือกดดัน หากแต่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่จับต้องไม่ได้ มันทำให้คิ้วของโจชัวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เขาไม่ได้ตอบในทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย — ความไม่พอใจบางอย่างฉายผ่านแววตา ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่ามีแต่เรื่องของชายที่ทำให้เขาอารมณ์เสียคนนั้นอยู่ในหัว
‘อีกแล้วเหรอ…เรื่องของหมอนั่น’
เมื่อคืนเขาเพิ่งถูกเรย์นาร์คปั่นหัวจนแทบคลั่ง แต่ท้ายที่สุด ชายคนนั้นกลับทิ้งคำพูดง่ายๆไว้เพียงว่า ‘ถือว่าหนี้บุญคุณหายกัน’ ราวกับเรื่องทั้งหมดไมไ่ด้สำคัญอะไร
“…ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เขาตอบหลังจากปล่อยให้ความเงียบทอดผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววระแวดระวัง เขาไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวตรงหน้า กับเรย์นาร์คนั้นลึกซึ้งแค่ไหน แต่ยังไงหมอนั้นก็ได้บอกให้เขาทำเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะงั้นเขาก็ไม่สามารถบอกเธอได้
คาร์ลินพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้โต้เถียง ไม่แสดงความไม่พอใจใดๆ ท่าทีของเธอยังคงสงบนิ่งดังเดิม แม้แววตาจะมีบางอย่างฉายแววครุ่นคิด
“ฉันเข้าใจค่ะ… งั้นเปลี่ยนเรื่องละกัน” เธอกล่าว ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ข้างตัว แล้วยื่นส่งให้
โจชัวรับมาอย่างลังเล นิ้วมือข้างหนึ่งสอดใต้ปกแฟ้มแล้วเปิดออก หน้าแรกคือภาพถ่ายชายหนุ่มคนนึง ดวงตาสีเทาคมกริบจ้องตรงมายังกล้องอย่างเฉยเมย ผมของเขาถูกจัดทรงไว้อย่างเรียบร้อย พร้อมกับชุดของทางการ ปรากฏชื่อใต้ภาพว่า “เอรอส”
เขากวาดสายตาอ่านข้อมูลใต้ภาพด้วยสีหน้าครุ่นคิด — อดีตนักสืบเอกชน ผู้เสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่วันก่อน มีตราประทับรับรองการตายจากหอคอยจอมเวทย์ไว้ด้วย
เขาเงยหน้าขึ้นมองคาร์ลินอย่างสงสัย พยายามคาดเดาเจตนา บ่อยครั้งที่มีการจัดฉากการตายปลอมๆ และ ส่วนมากคนที่ทำแบบนี้ เบื้องหลังมักจะมีประวัติที่ไม่ดีนัก เพราะงั้นเจตนาน่าจะเป็น…..
“คุณต้องการให้ผมจัดการเขา?” เขาถามตรงๆ
เธอส่ายหน้าทันที
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ต้องการให้คุณ ‘จัดการ’ ใครทั้งนั้น”
น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่แฝงแววบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
เธอหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่ออย่างมั่นคง
“เขาคือเรย์นาร์คที่คุณรู้จัก — นี้คือตัวตนที่แท้จริงของเขาค่ะ”
ดวงตาของโจชัวเบิกขึ้นเล็กน้อย ข้อมือที่ถือแฟ้มสั่นไหวเพียงนิด ความเงียบปกคลุมห้องราวม่านหมอกที่โรยตัวลงอย่างรวดเร็ว
“…อะไรนะ…? เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของเขาเบา แหบพร่า แฝงความตกใจอย่างไม่ปิดบัง
เขานิ่งไปพักใหญ่ สายตาจ้องภาพถ่ายบนแฟ้มอย่างไม่วางตา
“นี่มัน…หมายความว่ายังไง”
เขาเม้มริมฝีปากแน่น ลมหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“ขอเวลาอ่านให้ละเอียดหน่อย…ได้ไหมครับ”
คาร์ลินพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ไม่มีท่าทีรีบเร่งแม้แต่น้อย
“ได้สิคะ…ฉันรอได้เสมอ”
โจชัวไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สายตากลับยังคงตรึงแน่นอยู่ที่ภาพถ่ายตรงหน้า แววตานิ่งขรึมของเขาทอประกายระแวดระวังด้วยความไม่เข้าใจ
ใบหน้าของชายหนุ่มที่เขาพบเมื่อคืน อาร์วิน แคร์นัส คู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรน ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสองสัปดาห์ก่อนปรากฏขึ้นในหัว เป็นรูปลักษณ์ที่เขาปรากฏตัวในตอนแรกในค่ำคืนที่ผ่านมา
ตอนแรกเขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทำไมชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ถึงได้มาหาเขาในตอนกลางคืน แทนที่จะเป็นเรย์นาร์คที่นัดกันไว้ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนรูปลักษณ์ที่เคยเห็นตรงหน้าเขา เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
แม้ตลอดเวลาเขาจะอารมณ์ไม่ดีนัก อีกทั้งยังถูกอีกฝ่าย “ตัดความสัมพันธ์” อย่างไม่ให้ทันตั้งตัว...จิตใจจึงไม่เปิดรับอะไรดี แต่ในยามนี้ เมื่อได้นั่งเผชิญหน้ากับความจริงซึ่งถูกพิมพ์ไว้ในหน้ากระดาษตรงหน้า มันกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างในสมองของเขาถูกเปิดออก
“แสดงว่าเขา...มีพลังเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้…”
เสียงพึมพำต่ำดังออกจากลำคอ เขาขยับตัวเล็กน้อย เอนหลังพิงเก้าอี้แต่ยังไม่ละสายตาจากเอกสาร
ชื่อจริง: เอรอส
อาชีพเดิม: นักสืบเอกชน (สถานะ: เสียชีวิตแล้ว)
อายุ: 22 ปี
ดวงตาของโจชัวสั่นไหววูบเล็กน้อย ขณะความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว—‘เขา...อายุน้อยกว่าฉัน?’
เขาเชื่อเสมอว่าเรย์นาร์คต้องเป็นบุรุษมากวัย ผ่านประสบการณ์ร้อยพันมาแล้ว ด้วยกิตติศัพท์ของ “จอมเชือด” ที่สะท้านโลกมานานเกือบสามทศวรรษ สีหน้าเยือกเย็น และการเคลื่อนไหวที่ไร้ช่องโหว่—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ จะมีได้
แต่นี่…กลับเป็นคนคนเดียวกัน
โจชัวขมวดคิ้ว เอกสารในมือถูกบีบแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขาเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะไล่สายตาอ่านต่อ…จนสะดุดเข้ากับประโยคที่ทำให้ลมหายใจของเขาชะงักเล็กน้อย
“เป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดันเจี้ยนถล่มเพียงคนเดียว แต่ตอนเข้าไปอายุเพียง 10 ปี หายไปเพียงวันเดียว—ออกมากลับอายุ 12 ปี”
“…อะไรนะ?” เขาขมวดคิ้วแน่น พลิกกระดาษอีกหน้า ริมฝีปากขยับช้าๆ ราวกับพึมพำตามตัวอักษร
ดวงตานิ่งค้างอยู่ตรงบรรทัดนั้นนานกว่าปกติ ลึกลงไปในแววตา ปรากฏเงาของความสงสัย และ ความไม่เข้าใจ
“เมื่อออกจากดันเจี้ยน ความทรงจำบางส่วน และเส้นพลังเวทในร่างได้หายไปโดยไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก”
“มีผู้คนในเมืองกล่าวหาว่าเขาอาจไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น ‘บางสิ่ง’ ที่สวมรูปลักษณ์มนุษย์เข้ามา และ ต้นเหตุของโศกนาฏกรรมดันเจี้ยนถล่ม…. อย่างไรก็ตาม เพราะว่าไม่ได้มีพิษภัยอะไร และ ได้มีการพิสูจน์ร่างกายแล้ว ข้อกล่าวหานี้จึงถูกปัดตกไป”
บรรยากาศในห้องเหมือนจะเงียบลงไปอีกระดับ เสียงเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินกลายเป็นสิ่งเดียวที่ยังขยับอย่างมั่นคง
โจชัวผ่อนลมหายใจออกอย่างหนักหน่วงขณะคิดในใจ—
‘…นั่นสินะ ถ้าไม่มีพลัง ใครจะสนใจว่าเขาคืออะไร แต่ถึงขั้นมีคนกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรม...ก็เกินไปหน่อย’
เขาเลื่อนสายตาอ่านต่อไป จนมาหยุดที่อีกหน้าหนึ่ง—หัวข้อใหม่ที่ถูกขีดเส้นไว้ด้วยปากกาสีแดง
“เหตุการณ์ไฟไหม้ตระกูลวัลธอเรน ช่วงอายุ 14 ปี มีผู้บุกรุกเข้าไปหมายสังหาร ลูกสาวของตระกูลผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียว แต่ล้มเหลว ลือกันว่าคนร้ายคือ ‘จอมเชือด’หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน กลับพบเด็กชายคนนั้นอยู่บริเวณชายป่า คาดเดากันว่าเขาถูกลักพาตัวหลังจากล้มเหลวในการสังหาร แต่เพราะว่าไม่มีประโยชน์ในฐานะตัวประกัน และ สิ่งแลกเปลี่ยน จึงถูกทิ้ง”
“อย่างนี้นี่เอง...ถึงว่า...”เสียงพึมพำแผ่วเบาดังลอดไรฟัน ขณะชายหนุ่มผู้แบกรอยแผลในอดีตทอดสายตามองกระดาษตรงหน้า
“ถึงว่าทำไมข่าวลือเกี่ยวกับจอมเชือดถึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง...ราวกับเป็นคนละคน”
โจชัวเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากช้าๆ แววตาฉายแววครุ่นคิด ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่ในหัวเขากำลังเชื่อมโยงเส้นใยความทรงจำกับข่าวลือมากมายที่เคยได้ยินผ่านมาเป็นเส้นตรงเดียวกัน
ชื่อเสียงของ “จอมเชือด” ปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 25 ปีก่อน ในตอนนั้น จอมเชือดยังเป็นเพียง เด็กชายที่มีอายุเพียง 10 ปี ขื่อเสียงของเขาไม่ได้มาจากเวทมนตร์ หรือ ทักษะการต่อสู้ แต่มาจาก “พลังการฟื้นฟู” ที่ผิดมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะโดนฟัน โดนแทงกี่ครั้ง ก็ลุกขึ้นได้เสมอ ไม่มีแม้เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เหมือนร่างกายไม่มีความรู้สึกเหล่านั้น ราวกับเกิดมาไม่เคยมีมันอยู่”
และยิ่งผิดธรรมชาติมากขึ้นไปอีกคือ “พลังกาย”ในตอนนั้น—แขนเล็กๆกลับมีแรงบดขยี้กระดูกผู้ใหญ่ที่เสริมพลังเวทย์ได้ราวกับกิ่งไม้แห้ง
การสังหารแต่ละครั้งทิ้งไว้เพียงรอยแผลเดียวที่แม่นยำราวกับไม่ต้องการให้ตัวเองเปื้อนเลือด ไม่มีเหยื่อคนใดหนีรอดไปได้ แต่การสังหารแต่ล่ะครั้งกลับไม่มีผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง ในหมู่มือสังหารระดับสูง...ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อ “จอมเชือด”
...แต่ข่าวลือที่น่าสนใจที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องฝีมือ หากแต่เป็น "การเปลี่ยนแปลง"
ราว 10 กว่าปีต่อมา พฤติกรรมของเขาเริ่มเปลี่ยน กลายเป็นจอมสังหารโหดเหี้ยม ผู้ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง การโจมตีด้วยความบ้าคลั่ง ไร้จุดหมาย ราวกับเครื่องจักรสังหารที่ไร้เหตุผล แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ราวๆ 7–8 ปีก่อน
เขากลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อ “สังหารความอยุติธรรม”
ข่าวลือกระซิบกันว่า เขาไล่ล่าองค์กรลับ ปราบปรามกลุ่มค้ามนุษย์ ถล่มเครือข่ายทาสในพื้นที่รกร้าง และแม้ข่าวเหล่านั้นจะไม่มีการยืนยัน แต่ก็มีพยานหลายคนที่รับรองว่าเป็นเขาจริงๆ แม้จะไม่มีหลักฐานก็ตาม
โจชัวลูบนิ้วไปตามขอบกระดาษเบาๆ ขณะหรี่ตาลง พลิกเอกสารหน้าใหม่ช้าๆ ดั่งคนที่ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้ความจริงต่อไปหรือไม่
“ตอนอายุ 16 ปี หลังจากถูกขับไล่ออกจากตระกูล การรับรองตัวตนก็ถูกยกเลิก”
เขาหยุดนิ่งอยู่ตรงประโยคนั้นนานกว่าปกติ แววตาที่เคยอ่านอย่างรีบร้อนกลับเงียบลง ราวกับใจหนึ่งกำลังย้อนกลับไปคิดถึงภาพในอดีต
ในสังคมนี้ การไม่มี “การรับรองตัวตน” คือคำพิพากษาทางสังคม ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนเมือง ไม่มีบันทึกการเกิด ไม่มีหลักฐานการศึกษา ไม่มีสิทธิ์ใดๆ แม้กระทั่ง “สิทธิ์ที่จะมีชีวิตในเมือง”
พวกเขากลายเป็น เงา สิ่งมีชีวิตที่ระบบไม่ยอมรับ ไม่สามารถเรียน ไม่สามารถทำงาน ไม่สามารถรักษาตัว ไม่สามารถซื้อหรือเช่าที่อยู่ได้
“...ก็แค่เงาเดินดิน...รอวันตายอย่างเงียบเชียบในสลัมที่สักวันก็จะถูกลืม”
จนกระทั่ง หญิงสาวผู้หนึ่ง เธอที่ซึ่งชื่อของเธอถูกลบออกไปจากกระดาษ ได้เข้ามารับรองตัวเขาในตอนนั้น
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่