เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของชายหนุ่ม หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเธอเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างที่นอนอยู่ด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แตยังเจือด้วยความลังเลกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
"ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาด
หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง
"งั้นหรอ? นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันแบบนั้นสิน่ะ? ถ้าหากเป็นเขาจริงๆพวกคุณจะรับผิดชอบยังไง?"
เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆ
ชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยชายหนุ่มจากการจับกุม เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวต้องรีบเข้าไปประคองร่างชายหนุ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
"เกิดอะไรขึ้นกับนาย? เป็นอะไรหรือเปล่า?" เอเลน่าถามเบาๆ แววตาเธอเต็มไปด้วยความห่วงใย
"มันค่อนข้างยากที่จะพูดในตอนนี้..." เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวด และ ความเหนื่อยล้าได้พรากเรี่ยวแรงไปหมด
แต่ในขณะที่หญิงสาวมองไปที่เขา เธอกลับสะดุดกับดวงตาของเขาที่ผิดแปลกไปจากเดิม
"ทำไมดวงตาของนายถึงเป็นสีเทา?" หญิงสาวถามด้วยความสับสน เธอจำได้ว่าคู่หมั้นของเธอมีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม และสีของดวงตานี้ ยังคล้ายกับคนที่เธอเคยรู้จัก ยากจะนึกถึง
"นั่นแหละ" หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสฉวยโอกาส
"เขาอาจจะไม่ใช่คู่หมั้นของท่าน อาจจะเป็นตัวปลอมก็ได้"
หยิงสาวชะงักไป ใจเธอสั่นคลอนกับความคิดนี้ แต่เมื่อมองชายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล และ ความเหนื่อยล้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร ชายหนุ่มรีบคว้าช่วงเวลาแห่งความลังเลนั้น
"ผมถูกลักพาตัวไปขังไว้ในสถานที่ของพวกท่าน แต่ท่านกลับกล่าวหาผมอย่างนี้งั้นหรอ?!" เขาหอบหายใจ เสียงของเขาสั่นไหวตามสภาพร่างกายที่เป็นอยู่
"ผมเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่โชคดีที่ประตูแห่งการทดสอบเปิดออก ผมถึงผ่านความตาย และหนีรอดมาได้..."
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือ ราวกับบาดแผลที่เกือบคร่าชีวิตยังคงฝังลึก ทว่าในแววตากลับมีความรู้สึกเย้ยหยันแอบซ่อนเอาไว้
แม้ร่างกายจะสั่นสะท้านจากบาดแผลและความอ่อนล้าที่แทรกซึมลึก เขาทุ่มสุดแรงเพื่อแสดงในครั้งนี้ กระทั่งเมื่อความเจ็บปวดในช่องอกทะลักออกมาเป็นเลือดคำหนึ่ง เขาก็เพียงฝืนยืนตัวตรง รักษาท่าทีดุดันไม่ให้สั่นไหว
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ความสับสน และ ความสงสัยแฝงอยู่ในแววตา ดวงตาสีเทานั้นดูผิดแปลกไปจากที่เธอเคยรู้จัก มันทำให้เธอไม่อาจแน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวกับคู่หมั้นของเธอจริงๆ แต่เมื่อเห็นบาดแผลที่ทารุณบนร่างของเขา เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้ลังเล และ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
"พวกเราจะกลับคฤหาสน์ หวังว่าพวกท่านคงไม่มีข้อโต้แย้ง?"
เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด ขณะมองจอมเวทย์อาวุโสทั้งสองด้วยสายตาท้าทาย ก่อนจะค่อยๆประคองร่างชายหนุ่มขึ้นมา พวกเขาทั้งสามได้แต่มองสบตากันอย่างขัดใจ แต่ไม่มีใครกล้าขัดขวางเธอ
ถึงแม้ใบหน้าของหยิงสาวจะแน่วแน่ แต่ภายในใจยังคงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น และข้อสงสัย ดวงตาสีเทาของเขาทำให้เธอนึกถึงใครบางคน แต่ก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาชีวิตของเขา ก่อนที่บาดแผลจะย่ำแย่ลงไปกว่านี้
เมื่อออกจากสายตาพวกเขาไป ชายหนุ่มแสยะยิ้มบางๆที่ซ่อนอยู่ใต้ความเหนื่อยล้า ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนที่เขาวางไว้ แม้จะมีเรื่องเหนือความคาดหมายเขาอยู่บ้างก็ตาม
หลังจากที่หญิงสาวพยุงร่างของชายหนุ่มจนลับสายตา บรรยากาศเงียบสงบของเช้าตรู่ก็กลับคืนมาอีกครั้ง แสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านหมอกที่ยังคลอเคลียอยู่รอบต้นไม้ใหญ่ เงาเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลม ราวกับจะซ่อนบางสิ่งไว้ในความเงียบสงัดนั้น จอมเวทย์อาวุโสทั้งสองยืนนิ่งท่ามกลางแสงเช้าที่ค่อยๆเจิดจ้า มองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"เป็นไปได้ยังไง?" จอมเวทย์คนแรกเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วแน่นพลางจับมือตัวเองเบาๆ ราวกับพยายามควบคุมความสงสัยที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
"ข้าตรวจสอบพลังเวทย์ของมันแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติที่จะบอกว่ามันเป็นตัวปลอม"
อีกคนพยักหน้าอย่างหนักใจ พลางถอนหายใจออกมาเงียบๆ แสงแดดส่องกระทบใบหน้าที่มีริ้วรอยแสดงความกังวลชัดเจน ดวงตาเหลือบมองไปยังทิศทางที่พวกเขาเพิ่งหายตัวไป น้ำเสียงที่เขาพูดเบาๆแต่หนักแน่นดังขึ้น
"ข้าก็คิดเช่นนั้น... แต่ว่าผู้หลบหนีออกมาแค่คนเดียว..ถ้าอย่างนั้น..."เขาหยุดไปครู่หนึ่ง คำพูดขาดหายกลางคัน ราวกับบางสิ่งทำให้ต้องหยุดคิดใหม่อีกครั้ง แววตาฉายแววหวาดระแวง
"เราอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไปงั้นหรือ?" จอมเวทย์คนแรกกล่าวเสียงหนักแน่น ขมวดคิ้วลึกจนเห็นชัด สายตาครุ่นคิด ความไม่สบายใจฉายอยู่
"เป็นไปไม่ได้" เขาพึมพำ แต่สายตากลับไร้ความมั่นใจ
"หรือว่ามันจะใช้สิ่งของที่ได้รับจากแม่มดในการหลบหนี โดยที่เราไม่สังเกตเห็น?"
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งยิ่งขึ้น ราวกับความลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้แสงแดดที่กำลังทอแสงอ่อนๆ
จอมเวทย์คนที่กล่าวถึงความสงสัยนี้ ถอนหายใจเงียบๆ พร้อมกับกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้น น้ำเสียงที่ตอบออกมาเต็มไปด้วยความอึดอัด แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ
"แล้วก็เรื่องของการทดสอบ ก็ชวนให้น่าสงสัย—มันไม่เคยมีใครผ่านการทดสอบพร้อมกันมาก่อน ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่โกหก"
“วงเวทย์ก็หายไปแล้ว เป็นหลักฐานชัดเจนว่าการทดสอบได้สิ้นสุดลง...แล้วใครกันหล่ะที่โกหก”
“แม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยาก...แต่บางที...มันอาจยังซ่อนตัวอยู่ในคุกก็เป็นได้”
“ถ้าอย่างนั้นต้องตรวจสอบสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน ถึงค่อยรายงานให้เขาคนนั้น”
อีกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะที่เขากวาดตามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง ราวกับกลัวว่าจะมีใครซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและกำลังลอบฟัง
ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรต่อ พวกเขาพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณก่อนจะหันหลัง เดินไปในทิศทางที่ต่างกัน ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าเงียบๆ ที่ค่อยๆ ห่างออกไปในอากาศเช้าที่ยิ่งกระจ่างขึ้น เงาของพวกเขาทอดยาวไปบนพื้นดิน ราวกับความลับและความสงสัยที่ยังคงวนเวียนอยู่ในบรรยากาศ
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่