แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน
เขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดก็เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาหยุดชะงัก กัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิด
เมื่อชายหนุ่มเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน แคร์นัส มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
“อาการแย่กว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นในใจ เพราะไม่อาจควบคุมร่างนี้ได้อย่างที่ต้องการ
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกับกระดุมเม็ดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง รีริคที่เขาใช้ส่งสัญญาณเรียกเอเลน่ามาตั้งแต่หลบหนีขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สถานการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างเสี่ยงมากๆ แต่โชคดีที่เธอยังมาทันเวลา แต่มันจะดีกว่านี้หากเขาสามารถหลบหนีออกไปจากเมืองได้ โดยที่ไม่ถูกเจอตัว
ในขณะที่เขากำลังรวบรวมความคิด เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นจากด้านนอก ชายหนุ่มหันไปมองประตูที่ค่อยๆแง้มเปิดออก เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอ จ้องมองเขาอย่างละเอียด พยายามจับสังเกตบางสิ่งที่ผิดปกติ แม้ว่าเธอจะไม่พูดถึงมันก็ตาม
“นายเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นรึยัง?”หญิงสาวถามเบาๆขณะนั่งลงข้างเตียง น้ำเสียงของเธอฟังดูนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความไม่สบายใจ ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม แม้จะรู้ดีว่ามันดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ค่อนข้างดีขึ้นแล้ว...”เขาตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง ความเจ็บลึกทำให้ต้องหายใจยาว ก่อนกัดฟันแน่นเมื่อความปวดแผ่ซ่านขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ทำไมต้องโกหกกันด้วยหล่ะ? แค่เห็นก็รู้แล้วว่าสภาพของนายในตอนนี้ย่ำแย่อยู่แล้ว”
“ขอโทษ... ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องกังวล” ชายหนุ่มพูดเบาๆ เสียงแผ่วจนแทบกลืนไปกับอากาศ เขาหลบสายตาเล็กน้อย หวังจะซ่อนความรู้สึกที่ไหววูบอยู่ในใจ—ทั้งความกังวลและความสับสนที่เริ่มกัดกินเขามากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวนั่งลงบนเตียงข้างเขา เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือของเขา สัมผัสอ่อนโยนนั้น ราวกับต้องการบอกให้เขารู้ว่าเธออยู่ข้างๆเขาจริงๆ
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ควรมีเกิดขึ้น หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว—ความทรงจำและอารมณ์ที่อาร์วินมีต่อเธอ ค่อยๆแทรกเข้ามาในจิตวิญญาณของเขา มันเป็นความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น แต่กลับทำให้เขาหวาดหวั่น
“ฉันจะอยู่ข้างนาย จนกว่านายจะดีขึ้น”หญิงสาวบีบมือเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและ เต็มไปด้วยความจริงใจ ชายหนุ่มฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูเจื่อนจางเกินกว่าจะหลอกใครได้
“ฉันไม่เป็นไรหรอก... อีกไม่นานฉันก็จะดีขึ้น”เขาพูดราวกับกำลังปลอบทั้งเธอและตัวเอง แต่ในใจลึกๆรู้ดีว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้เป็นของตัวเขา กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆโดยที่เขาไม่ต้องการ
หญิงสาวจ้องเขาด้วยความสงสัย แววตาของเธอเหมือนกำลังพยายามอ่านความคิดของเขา
“นายดูไม่เป็นตัวเองเลย...” เธอพึมพำเบาๆดวงตายังคงจับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์
ชายหนุ่มพยายามฝืนพูดออกมา แม้ความเจ็บปวดจะกัดกินทุกถ้อยคำ
“ขอโทษนะ...” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เผลอหยุดหายใจสั้นๆ เพื่อกลั้นความเจ็บปวด
“ตอนนี้... มันยังเหมือนฝันอยู่เลย…”เขาหอบเบาๆแต่ก็พยายามพูดต่อ
“แม้แต่ตอนนี้...ก็ยังไม่อยากเชื่อ...ว่าจะหนีออกมาได้จริงๆ”เขาฝืนพูดจนจบ ก็ไอออกมาเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาราวกับกรีดลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน แต่เขาพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ เพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอไปมากกว่านี้
หญิงสาวมองเขาด้วยความกังวล เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง แล้วหยิบโพชั่นฟื้นฟูขวดเล็กออกมาแล้วยื่นให้เขา
"ดื่มนี่เถอะ มันจะช่วยให้อาการนายดีขึ้นบ้าง" เธอกล่าวเบาๆพร้อมเปิดจุกฝาขวดออก แล้วยื่นมันมาให้เขา
ชายหนุ่มรับโพชั่นมาแล้วฝืนยกมันขึ้นจิบช้าๆ ความเจ็บที่บรรเทาลงเพียงเล็กน้อยช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แม้จะยังเจ็บปวดอยู่ก็ตาม
หลังจากดื่มเสร็จ ชายหนุ่มสังเกตุเห็นท่าทีของเธอ ที่ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเขาใช่คู่หมั้นของเธอจริงๆรึเปล่า เขาจึงตัดสินใจพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ขอโทษด้วยน่ะ… ครั้งนี้พวกมันเตรียมตัวมาดีจริงๆ ฉันถึงถูกพวกมันจับตัวไปซ่ะได้” ชายหนุ่มพูดขึ้น พยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูปกติ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า
"มันไม่ใช่ความผิดของนาย พวกที่ลักพาตัวนายไปต่างหากที่ีผิด อย่าโทษตัวเองเลย แล้วนายรู้ไหมว่าเป็นใคร"
"ขอโทษด้วย ฉันไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา พวกเขาปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด ทำให้ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร”
เขาพูดพูดโกหกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างหน้าตาเฉย หญิงสาวตรงหน้านั้นไร้เดียงสาเกินไป เธออาจจะทำอะไรไม่ยั้งคิด แล้วทำให้ชื่อเสียงตระกูลตัวเองตกต่ำลง จนกระทบกับแผนการของเขาได้ เพราะงั้นการโกหกจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หญิงสาวกำหมัดแน่น ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความโกรธ “ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ต้องหามันให้เจอ! ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้พวกนั้นลอยนวลไปได้แน่”
“ใจเย็นก่อน….. อย่างน้อยตอนนี้ก็ทำให้หอคอยติดหนี้พวกเราได้บ้าง นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราในอนาคต"
หญิงสาวจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวออกมา แม้จะพยักหน้ารับ แต่แววตายังเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ลดละ
“ก็ได้… แต่ฉันจะไม่ปล่อยพวกมันไปแน่”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พ่อบ้านเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ เขาก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“คุณหนู มีจดหมายมาส่งมาครับ”
หญิงสาวรับจดหมายมาอย่างรวดเร็ว เธอก้มมองซองในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองไปทางหน้าต่างด้วยแววตาราวกับจะขอเวลาสักครู่นึง
ชายหนุ่มรับรู้ถึงความต้องการของเธอ เขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“ไปเถอะ”
หญิงสาวจึงเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง ก่อนค่อยๆ คลี่กระดาษออกอ่าน ใบหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกเมื่อเห็นข้อความในจดหมาย
ชายหนุ่มจ้องมองเธออยู่เงียบๆ พร้อมกับหมุนเวียนพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างกายเล็กน้อยเพื่อเสริมประสิทธิภาพการได้ยิน เขาตั้งสมาธิเต็ม แล้วเงี่ยหูฟังทุกถ้อยคำโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว
“...บัตรเชิญไปยังสังเวียนใต้ดิน... งานเปิดตัวนักสู้ ลูกสาวของ—จอมเชือด...”
หัวใจชายหนุ่มเต้นรัวแรงขึ้น ในจังหวะนั้นเขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างภายในจิตวิญญาณของตน ราวกับพยายามจะแทรกทะลุออกมา มันพยายามครอบงำ และ ควบคุมร่างกายของเขาให้ได้ เขาจึงต้องตั้งสติ รวบรวมจิตวิญญาณที่อยู่ภายในเพื่อกดทับมันไว้
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของเอเลน่า
หญิงสาวจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง และวิตกกังวล ความทรงจำในอดีตพลันหวนกลับมา—วันที่จอมเชือดบุกเข้ามา และ เกือบจะพรากชีวิตของเธอไป
หากในตอนนั้นเธอไม่ปลุกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวขึ้นมา เธอคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความกลัวจากวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ ราวกับบาดแผลที่ไม่มีวันหายสนิท
เธอก้มลงมองจดหมายในมืออีกครั้งด้วยความลังเล ความเย็นจากกระดาษเหมือนซึมลึกเข้าสู่ผิว เธอกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ข่มความลังเลที่ก่อตัวในใจไม่ให้ปรากฏบนใบหน้า แต่ยิ่งพยายามสงบใจเท่าไร ความหวาดกลัวกลับค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ความรู้สึกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเธอจินตนาการถึงเขา—ชายที่เคยเกือบจะคร่าชีวิตเธอในครั้งนั้น—อาจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในงานนี้...
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่