ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้สมุนไพรใกล้ๆ ค้นหาเครื่องหอมสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ที่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่องค์กรของเขาทำขาย เครื่องหอมธรรมดาที่ดูไม่ต่างจากของใช้ทั่วไป แต่กลับซ่อนคุณสมบัติพิเศษเอาไว้ มันมีส่วนผสมของสมุนไพรสองชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกัน
ชนิดหนึ่งช่วยให้ง่วงนอน ส่วนอีกชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการหลับลึกมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพถูกปรับลดลงด้วยสมุนไพรหลายชนิด ที่ผสมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการนอนหลับที่ไม่สงบ ซึ่งในขั้นตอนนี้เขาต้องแยกเอาส่วนที่ไม่ต้องการออก เหลือไว้เฉพาะเพียงสองชนิด เพื่อไม่ให้เครื่องหอมมีกลิ่นที่แปลกไป
หลังจากที่แยกสมุนไพรทั้งหมดออกจากกัน เขาจึงค่อยๆบดสมุนไพรสองชนิดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เทส่วนผสมกลับเข้าไปในถุงใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะออก เท่านี้ฤทธิ์ของมันจะมากขึ้นกว่าปกติ แต่กลิ่นยังคงเดิม ทำให้ยากที่ใครจะจับได้
จากนั้นเขาก็นำมันกลับไปวางไว้ที่ตู้สมุนไพรเหมือนเดิม เครื่องหอมถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เขาหยิบสมุนไพรส่วนที่เหลือ กินมันเข้าไปเพื่อยับยั้งฤทธิ์การหลับลึก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับผลจากมันไปด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายหนุ่มจึงกลับไปนอนลงบนเตียง เฝ้ารอให้มีคนเข้ามาจุดเครื่องหอมตามแผนที่เขาวางไว้
ขณะที่ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ เขาก็เริ่มวางแผนการเดินทางของตัวเอง สิ่งที่เขาจำเป็นต้องรีบทำมากที่สุดคือการกลับไปยังองค์กร วิญญาณของจอมเชือดในตัวเขาเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะครอบงำเขาตลอดเวลา ซึ่งโชคดีที่ตอนนี้เขายังสามารถคุมมันได้ เพราะก่อนหน้านี้มันถูกแม่มดทำลายจิตวิญญาณไปบางส่วน ทำให้อ่อนแอลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พลังและความโกรธของมันจะส่งผลกระทบต่อตัวเอง เขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องของลูกของสาวของจอมเชือดให้เรียบร้อยก่อนที่อาการจะหนักไปมากกว่านี้
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลคู่หมั้นของเธอ เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง มือยกขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู
“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอ
หญิงสาวชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไปอีก”
“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกครั้งก็ได้”
“บางที… อาจถึงขั้นถอดถอนออกจากการเป็นคู่หมั้น” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนหญิงสาวรู้สึกเหมือนมีเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว
“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนเวทมนตร์ ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"
"แต่หากทำเพื่อตระกูลล่ะก็…. ตายไปซ่ะยังจะดีกว่า คนไร้ความสามารถหน่ะ แค่คนเดียวก็พอแล้ว”เขาพูดออกมาอย่างเรียบเฉย ขณะที่อีกคนทำท่าไม่พอใจพอสมควร แต่ก็ไม่มีท่าทีจะโต้แย้งกลับใดๆ การจะอยู่ในสังคมชั้นสูงนั้น ความสามารถคือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นดั่งตัวกำหนดโชคชะตาของอนาคตตระกูล
หัวใจของเธอคล้ายถูกบีบรัดด้วยความวิตก เธอรู้ดีว่าคำพูดของอัศวินอาจจะดูรุนแรง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ความจริงนั้นทิ่มแทงใจของเธอเช่นกัน ความอ่อนแอของคู่หมั้นของเธอ ย่อมกระทบต่อตระกูล และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป อนาคตของเขาอาจถึงขั้นต้องดับลงเลยก็ได้
สถานะของตระกูลในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมในอดีต พ่อของเธอ และ ลูกหลานของสามัญชนจำนวนมากที่เข้ารับการทดสอบในวันนั้นต่างหายตัวไปในเหตุการณ์ดันเจี้ยนถล่ม ความหวังสุดท้ายคือคู่หมั้นคนแรกที่รอดชีวิตกลับมา ก็ต้องฝันสลาย กลายเป็นคนไร้ความทรงจำ ไร้ความสามารถ แถมมีอาการจิตเภทอีก
แล้วถ้ารวมเรื่องที่คู่หมั้นคนปัจจุปันของเธอเสียวงแหวนเวทมนตร์ไปล่ะก็ ชื่อเสียงของตระกูลได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแน่ๆ หลังจากนั้น พวกผู้อาวุโสจะบังคับให้เราตัดขาดกับตระกูลแคลนัส ส่งผลทำให้ตระกูลของเขาล่มสลาย เธอไม่อยากทำให้ตระกูลของคนที่เธอรักพังลง แต่หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ยากที่จะแก้ไข หรือโต้แย้งใดๆ
หญิงสาวเดินต่อไปตามทางเดินในคฤหาสน์ รู้สึกเหมือนบรรยากาศโดยรอบเย็นลง แสงไฟจากโคมติดผนังสะท้อนบนพื้นหินเย็นเฉียบราวกับทุกสิ่งกำลังจับจ้องมาที่เธอ เสียงฝีเท้าดังก้องเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ความคิดในหัวเธอเริ่มตีกันวุ่นวาย
และแล้วคำว่า "การทดสอบ" ที่เธอเคยได้ยินจากการปากของคู่หมั้นก็ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเส้นทางจากห้องของเธอ เพื่อแวะไปที่อื่นก่อน
หญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่งที่ประดับด้วยลวดลายซับซ้อน เสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้น ไม่นานนักประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดคลุมลูกไม้สีดำ ผมยาวสีน้ำตาลถูกมัดหลวมๆไว้ด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมองตรงมาที่อย่างอ่อนโยน
“เอเลน่า! เธอเองเหรอ?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น ไอริส เพื่อนสนิทของเธอ ทำให้เธอรู้สึกโล่งขึ้นเล็กน้อย แต่ความกังวลในใจก็ยังคงไม่คลาย
“ไอริส…” เอเลน่าพูดชื่อเพื่อนเบาๆ สูดลมหายใจลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ที่สับสน เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่ความกังวลที่ค้างคายังคงฉายชัดในดวงตาของเธอ
หญิงสาวมองเธออย่างจับสังเกตุ ขณะที่ความอ่อนโยนในแววตานั้นดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดที่เธอกำลังเผชิญ
“เธอกำลังกังวลเรื่องของคู่หมั้นของเธอใช่ไหม?” น้ำเสียงของหญิงสาวเบาและนุ่มนวลเหมือนกับจะปลอบใจ ขณะเธอเอื้อมมือมาจับที่ไหล่เอเลน่าอย่างแผ่วเบาๆ
เธอพยักหน้าช้าๆ ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “ฉัน… ฉันอดคิดไม่ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี”
หญิงสาวมองเธอด้วยความเห็นใจ ก่อนจะเปิดประตูเชิญเธอเข้าไปในห้องส่วนตัว "เข้ามาก่อนเถอะ"
เฑอเดินตามเข้าไปโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น และ ลึกลับ เธอมองรอบห้อง ก่อนที่จะนั่งลงตามคำเชิญของไอริส
“ฉันรู้ทุกอย่างแล้ว เอเลน่า” ไอริสตอบเบา ๆ “วงแหวนเวทมนตร์ของเขาถูกทำลาย มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาแน่ๆ”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนมีบางอย่างทับถมอยู่บนอก ไอริสจึงเอื้อมมือมาจับไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องฝืน ถ้าเธออยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
เธอหลับตาลงลึกๆก่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความลังเล
“ไอริส… เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับ การทดสอบ บ้างไหม?”
ไอริสชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงรู้จักคำนั้น?”
“ฉัน…ได้ยินที่อาร์วินพูดกับผู้อาวุโส พวกเขาดูตกใจกับมันมาก” เธอพูดพร้อมกับหลบสายตา
ไอริสนิ่งคิด ก่อนถอนหายใจ“ฉันไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดหรอก แต่ว่านี่เป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทเท่านั้น ขนาดพ่อแม่บุญธรรม ฉันยังไม่ได้บอกเลย”หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปสบตาคนตรงหน้า
“แต่เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิท ฉันจะบอกล่ะกัน”
เธอยิ้มเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ“ขอบใจนะ ไอริส”
ไอริสถอนหายใจลึก ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลึกลับ
“การทดสอบ… มันเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถคาดเดาเวลาที่มันจะเกิดขึ้นได้”
เธอหันมามองเอเลน่า ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเครียด
“แต่ในช่วงเวลานั้น จะเกิดวงเวทย์ที่สุ่มเวลาเกิดขึ้นมา… มันเป็นทางเข้าไปสู่เขตแดนลี้ลับที่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
เอเลน่าเริ่มรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน เธอเลื่อนสายตามองไปที่พื้นห้องที่มีแสงเทียนส่องระยิบระยับ ราวกับมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังขึ้นในหู
“ใครก็ตามที่เดินเข้าไปในนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของแม่มดที่อาศัยอยู่ข้างใน…การทดสอบจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์…” ไอริสกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำลง
“ซึ่งหลังจากครบ 2 สัปดาห์แล้ว คนที่เข้าไป ก็จะโผล่กลับมาแบบสุ่มในสถานที่ต่างๆ"
"ถ้าผ่านการทดสอบ ก็จะได้รับรางวัล… แต่ถ้าไม่…ก็จะสูญเสียความทรงจำในช่วงที่ทำการทดสอบไป…”
เอเลน่ารู้สึกหนาวสั่นที่ไหล่ ความกังวลกำลังแทรกซึมเข้ามาในใจเธออย่างไม่อาจควบคุมได้
“จนถึงตอนนี้… ยังไม่มีใครผ่านการทดสอบเลย เพราะงั้นแล้วจึงไม่สามารถบอกได้เลยว่าภายในนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”ไอริสพูดต่อ เสียงของเธอเริ่มสั่น
“เพราะในสมัยก่อน ไม่มีการควบคุมผู้เข้ารับการทดสอบ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่บางคนที่หลังจากเข้าร่วมการทดสอบ อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลย…”
เอเลน่าได้ฟังใจของเธอเหมือนจะหยุดเต้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความวิตกกังวล
“แล้วการทดสอบนั้นมีไว้เพื่ออะไร? ทำไมพวกเธอถึงต้องทำการทดสอบนั้น?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะส่งสายตาไปยังไอริสที่ดูเหมือนจะลังเลอยู่
ไอริสหยุดชั่วคราว ราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะพูดหรือไม่ “เป็นเรื่องที่เขาลือกันน่ะ…แต่ว่ากันว่า…” เสียงของไอริสกระซิบเบาๆดังขึ้น สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความลึกลับ
“รางวัลที่ได้… คือการปลูกถ่ายชิ้นส่วนร่างกายบางส่วนของไรอัส มหาจอมเวทย์ในตำนานคนนั้น…” เมื่อได้ยินชื่อของ ไรอัส เอเลน่ารู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง ทำให้เธอตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในการทดสอบนัี้
มหาจอมเวทย์ในตำนาน ไรอัส เป็นบุคคลในตำนานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเวทย์คนแรกและคนเดียวของโลกที่สามารถบรรลุถึงระดับ 10 วงแหวน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่มีเพียงแค่มนุษญ์คนเดียวสามารถไปถึงได้ การปลูกถ่ายชิ้นส่วนร่างกายของเขาอาจหมายถึงการได้รับพลังที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการ หรือ อาจถึงขั้นพลิกประวัติศาสตร์ของโลกเวทมนตร์ได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม พลังอันมหาศาลนั้น…ก็ต้องมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งเป็นชิ้นส่วนของไรอัส เธอไม่ทางเชื่อได้เลยว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่