หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่มีแสงเทียนสลัวๆสั้นไหวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆระหว่างทั้งสองคน
ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่กลับมีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับทวีความสงสัยมากขึ้น
รอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า และความอ่อนโยนของเขา มักทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป
มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสมตลอดเวลาที่ผ่านมา ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่แปลกไป ซึ่งคล้ายกับของใครบางคนที่เธอรู้จัก
เธอถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้
การได้เจอกับคู่หมั้นของเธออีกครั้ง ก็เกือบจะเป็นความหวังที่เธอแทบจะถอดใจไปแล้ว แค่ได้อยู่ใกล้เขา เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปกป้อง แม้กระทั่งในยามนี้ที่ทุกอย่างรอบตัวดูสับสน วุ่นวาย การที่มีเขาอยู่ ก็ช่วยคลายความกังวลในใจของเธอได้พอสมควร
เธอสูดหายใจลึก แล้วพิงพนักเก้าอี้เพื่อพักเอาแรง ร่างกายที่อ่อนล้าจากการตระเวณรอบเมืองที่ผ่านมาตลอดหลายวัน ทำให้ดวงตาเธอใกล้จะปิดลง ก่อนที่ความง่วงจะเข้าครอบงำในที่สุด
ในห้วงฝันที่ก่อตัวขึ้น ความทรงจำวัยเด็กของหญิงสาวค่อยๆ หวนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ฝังแน่นในจิตใจ—ที่คฤหาสน์ของตระกูล ในวันที่ จอมเชือด บุกเข้ามาเพื่อหมายปลิดชีวิตของเธอ
ทุกสิ่งรอบตัวถูกทำลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เสียงโลหะกระทบกันดังก้องอย่างต่อเนื่อง ชายร่างสูงผู้คลุ้มคลั่งตาสีเลือดจ้องเธอราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกปลดปล่อย ความกลัวแผ่กระจายทั่วร่างจนหัวใจเต้นแรงแทบจะขาดอากาศหายใจ
ในวินาทีนั้น พลังในสายเลือดของเธอพลันถูกปลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สายลมรุนแรงพุ่งออกจากตัวเธอ ฟาดฟันใส่ จนร่างสูงตรงหน้าล้มลงไปกองกับพื้น
เธอคิดว่าทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว แต่ก่อนที่สติจะดับวูบไป ภาพของเด็กหนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นกลับปรากฏขึ้นในสายตา เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ แขนของเขากางออกเพื่อปกป้องเธอจากชายผู้บ้าคลั่งคนนั้นที่กำลังฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกโล่งใจที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลันเกิดขึ้น...ก่อนที่ทุกสิ่งจะจมลงสู่ความมืดมิด
ภาพในฝันค่อยๆเลือนเปลี่ยนไปอีกสู่เหตุการณ์นึง วันที่นักฆ่าตามล่าเธอ และ คู่หมั้นคนก่อน จนกระทั่งได้พบกับคู่หมั้นของเธอในปัจจุปัน
หลังจากการตรวจสอบสภาพจิตใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ถูกนักฆ่าสะกดรอยตาม เด็กหนุ่มจับมือเธอแน่น พาเธอวิ่งหนีจากนักฆ่าหลายคนที่ตามไล่ล่า สายตาของเขามองมาอย่างเป็นห่วง ก่อนจะพาเธอเข้าไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัย
เสียงหายใจของเขาดังอย่างเหน็ดเหนื่อย ขณะที่สายตาจ้องมองย้ำว่าให้เธออยู่นิ่งๆ จากนั้นเขาหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่านักฆ่าเพียงลำพัง
เด็กหญิงนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืด ฟังเสียงฝีเท้าของนักฆ่าที่ไล่ตามเด็กหนุ่มห่างออกไปเรื่อยๆ แต่แล้วกลับมีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดดังขึ้นตรงหน้า เสียงนั้นหยุดลง เธอรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อเห็นนักฆ่าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ความหวาดกลัวโอบล้อมทุกความคิด จนกระทั่งเธอถูกเจอตัว
ในขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ เขาโจมตีมือสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัว การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วราวกับฝันร้ายได้สิ้นสุดลง แต่ทันใดนั้น เธอก็เห็นเงารางๆ ของชายผู้บ้าคลั่งกำลังยืนมองเธอจากเงามืด ห่างออกเพียงไม่กี่ก้าว
ความกลัวแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเธออีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา ขณะเด็กชายตรงหน้ายืนประชันหน้ากับเขาไม่ไหวติง
เขายกไม้เท้าขึ้น ชี้ไปยังร่างตรงหน้า แม้พลังเวทย์จะหมดลง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ นั้นทำให้ชายคนนั้นหยุดชะงัก ก่อนที่จะค่อยๆจางหายไปในความมืด ราวกับฝันร้ายที่เลือนลับไป
หญิงสาวยังไม่ทันได้ขอบคุณเด็กชายได้เต็มปาก เธอก็หมดสติไป ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลพร้อมๆกับเด็กหนุ่มคนนั้น
ในคืนนั้นเอง ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ เธอที่ทั้งโกรธ และ เสียใจ ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ เธอขับไล่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไร้เยื่อใย จากการทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง แถมยังกลับมาที่ตระกูลคนเดียว ทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลภายในวันนั้น ความทรงจำของวันนั้นยังคงติดตรึงในใจเธอ
ความสับสนปนเปไปกับความหวาดกลัว ราวกับว่าความจริงและความฝันกำลังทับซ้อนกันจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก ร่างกายเหมือนถูกบีบรัดด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น หัวใจเต้นรัวดังสนั่นในอก ขณะเดียวกันความรู้สึกอบอุ่นจากอาร์วินในความทรงจำก็กลับมาทิ่มแทงจิตใจ ทำให้เธอไม่อาจหนีจากความสับสนนี้ไปได้
จนกระทั่งในที่สุด เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ท่ามกลางความมืด ใบหน้าของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น มือของเธอกำผ้าห่มแน่น หัวใจยังคงเต้นระรัวอย่างรุนแรง แต่ไม่มีเสียงฝีเท้าหรือใบหน้าของชายผู้บ้าคลั่งอีกต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง และ เขาที่หลับอยู่เท่านั้น
“อาร์วิน...” เธอกระซิบเสียงเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด เสียงกระซิบเบาๆ ของคู่หมั้นของเธอก็ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย
ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาของเขามองมาที่เธอด้วยความเงียบสงบ
“ไปพักผ่อนเถอะ” เขาพูดเบาๆ
“เธอไม่จำเป็นต้องเฝ้าฉันทั้งคืน ที่นี่ปลอดภัยดี ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก”
คำพูดของเขาทำให้เธอแปลกใจ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะอ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็น แต่บางอย่างในนั้น กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เธอยิ้มบางๆพยายามปกปิดความรู้สึกที่กำลังรุมเร้าในใจ แล้วเลือกจะไปพักผ่อน อย่างที่เขาแนะนำ
“งั้นฉันจะไปบอกให้คนมาเฝ้านายต่อ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนและลังเล
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นาน แต่ทว่าขณะที่เธอกำลังเดินออกไปจากห้อง ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เธอหันกลับมามองเขาอีกครั้ง แสงเทียนสลัวๆ ที่สะท้อนอยู่บนใบหน้านั้นที่ดูเงียบสงบ แต่บางอย่างกลับทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปอย่างช้าๆ
เสียงฝีเท้าของเธอที่เดินออกจากห้องเริ่มจางหายไปในความเงียบ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รอจนกระทั่งความเงียบกลับมาปกคลุมที่ห้อง เขาจึงค่อยๆ ขยับร่างกายลุกขึ้นจากเตียง เพื่อเตรียมลอบออกออกไปนอกคฤหาสน์ในคืนนี้
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่