ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ
“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้า
หญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง
“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำให้หัวใจเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกจากอก
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความระมัดระวังและความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง มืออีกข้างของเขาบีบรัดคอเธอไว้แน่น แรงกดนั้นไม่เพียงทำให้เธอหายใจลำบาก แต่ยังส่งความรู้สึกอ่อนแอและไร้ทางสู้เข้ามาครอบงำจิตใจ
“อย่าขอร้อง...” เสียงของเธอแหบห้าว พยายามดิ้นรน แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับทำให้มีดเข้าใกล้ดวงตาของเธอมากขึ้น
ไอลีนรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นของปลายมีดที่จ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงไม่กี่นิ้ว เธอไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องระวัง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ชายตรงหน้า—อาร์วิน คู่หมั้นของเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ
“อาร์วิน…” เสียงของเธอสั่นระริก แต่เขากลับไม่ตอบสนอง ดวงตาสีเทาของเขาดูเยือกเย็นและไร้อารมณ์ มือที่บีบรัดคอเธอไว้แน่นคลายลง แต่เธอยังรู้สึกได้ถึงรอยกดที่คอ เธอพยายามหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอากาศไม่พอ
“ฉัน… ฉันคือไอลีนนะ” เธอพยายามพูดอีกครั้ง แต่เสียงของเธอดังเพียงเบาๆ
อาร์วินสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาของเขาดูสับสนไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจและลดมีดลงอย่างช้าๆ
“ไอลีน… โทษที ฉันคิดว่าเธอเป็นคนอื่น”ไอลีนถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือของเธอแตะที่คอ รู้สึกถึงรอยกดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและหวาดระแวง
“นาย… เมื่อกี้นายเกือบฆ่าฉันแล้วน่ะ?”
อาร์วินไม่ตอบ เขาเพียงเก็บมีดเข้าฝักอย่างช้าๆ ท่าทางของเขาดูเยือกเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็เห็นใครไม่รู้แอบเดินตามมา จะให้ทำยังไงล่ะ? ฉันก็ต้องป้องกันตัวสิ?”
“ฉันเดินมาเงียบๆ แค่นั้นเอง! นายหูทิพย์ไปหน่อยหรือเปล่า?”
“ก็ฉันเคยโดนลักพาตัวมาก่อน ก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนรึเปล่า?”
ไอลีนขมวดคิ้วแน่น ความโกรธเริ่มท่วมท้นในใจ หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ทั้งที่เธอเป็นจอมเวทย์ระดับ 3 วงแหวน แต่กลับถูกชายตรงหน้าจัดการได้อย่างง่ายดายโดยที่เธอยังไม่ทันได้ใช้เวทมตร์ด้วยซ้ำ
"หากเป็นคนอื่น… เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่” เธอครุ่นคิดในใจ แต่เพราะเป็นชายตรงหน้าที่เธอคิดว่ารู้จักดี เธอจึงประมาท และนั่นทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงบอกว่าเขาดูแปลกๆ เธอต้องประเมินเขาใหม่อีกครั้ง
จอมเวทย์ส่วนใหญ่มักไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ในระยะประชิด เพราะทั้งหมดต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนและเรียนรู้เวทมนตร์ การฝึกการต่อสู้ระยะประชิดไปด้วยจะทำให้การฝึกเวทมนตร์ถูกลดความสำคัญลง แต่ชายคนนี้ไม่ใช่…. ท่าทางของเขาเมื่อครู่ เหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ท่าทางของเขากลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย เหมือนกับใครบางคนที่ช่วยเธอจากโชคชะตาที่น่าสิ้นหวัง แต่ก็เป็นคนที่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านเด็กกำพร้า ไม่ว่าเธอจะขอร้องให้เขาพาเธอไปด้วยแค่ไหนก็ตาม
“แล้วเธอล่ะ ตามฉันมาทำไม?”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เธอกัดริมฝีปาก พลางเบือนสายตาไปทางอื่น แสงจันทร์สาดส่องผ่านยอดอาคาร ทำให้ใบหน้าของเธอดูอ่อนไหว เต็มไปด้วยอารมณ์ที่สับสน
“ก็…ฉันแค่สงสัยว่านายจะไปไหน” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูมั่นใจ แต่กลับแฝงไปด้วยความลังเล
“เธอนี่มัน…” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางส่ายหน้าเล็กน้อย แต่แววตาที่เคยเย็นชาดูเหมือนจะอ่อนลงนิดหน่อย เขามองเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน ราวกับกำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนี้
“คราวหน้าถ้าจะตามมา ก็ส่งเสียงหน่อย จะได้ไม่ต้องเกือบโดนเชือด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบๆ พลางก้าวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ท่าทางของเขายังคงสงบนิ่ง แต่แววตาที่คมกริบทำให้เธอรู้สึกถึงอารมณ์ที่แตกต่างจากชายหนุ่มที่เธอเคยเจอก่อนหน้าลิบลับ ทำให้เธอยิ่งสับสนกว่าเดิม
“ฉันไม่คิดจะทำแบบนี้อีกหรอก!” ไอลีนสวนกลับทันควัน น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พลางบ่นพึมพำ “บ้าที่สุด…”
เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มก็มีท่าทีผ่อนคลายขึ้น เขาก้มลงเก็บบางอย่างจากพื้น มันเป็นคทาเวทมนตร์ของเธอที่หล่นไปตอนเขาเผลอจู่โจม เขาปัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ออกเบาๆ ก่อนจะยื่นมันให้เธอโดยไม่พูดอะไร แสงจันทร์ส่องลงมาที่คทา ทำให้ลวดลายเวทมนตร์บนนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ
หญิงสาวรับคทามาไว้ในมือ มองเขาด้วยความสงสัย
“แล้วนี่นายจะรีบไปไหน? ทำไมต้องแอบมาตอนนี้ด้วย” เธอเอ่ยถาม น้ำเสียงยังไม่หายขุ่นเคือง แววตาของเธอแฝงความกังวลที่ไม่อาจปิดบังได้
“ไปหาหมอ” เขาตอบเสียงเรียบ พลางยักไหล่เล็กน้อยราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา ท่าทางของเขาดูสงบนิ่ง แต่แววตาที่มองไปข้างหน้ากลับแฝงไปด้วยความเร่งรีบ
“หาหมอ?” เธอทวนคำ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
“ที่ตระกูลก็มีหมอแล้วนี่ ทำไมนายต้องออกไปหาหมอที่อื่นด้วย?”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว สายตาของเขาดูอ่อนล้าลงเล็กน้อย ขณะหยิบเอานาฬิกาพกเรือนเล็กขึ้นมาดูเวลา
“โทษที ไม่อยากเสียเวลาตอบ ถ้าอยากตามก็ตามมา แต่ช่วยเงียบๆหน่อยหล่ะกัน”เขาพูดสั้นๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะอธิบายใดๆ
“เดี๋ยวสิ— นี่นายไม่ได้กำลังไปทำเรื่องแปลกๆใช่ไหม?” ไอลีนเอ่ยขึ้นพลางเร่งฝีเท้าเดินตามหลังเขา ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่เร่งฝีเท้า เดินตรงไปตามเส้นทางที่ค่อนข้างดูเก่าโทรมกว่าอย่างเห็นได้ชัด เธอทำได้เพียงแค่กลอกตาอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยังคงตามเขาไปไม่ห่าง
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่