"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก
แววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจน
เธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษ
หญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหยุดก้าวอย่างกะทันหัน เธอเกือบชนเข้ากับหลังของเขา แต่ก็รีบถอยออกมาเล็กน้อย เธอมองไปรอบตัว ตรอกซอยที่เงียบสงัดและมืดมิดนี้ดูไม่น่าไว้วางใจเลย แสงจากโคมไฟข้างทางส่องสว่างเพียงพอให้เห็นทางเดิน แต่ก็ยังทิ้งเงามืดไว้ในมุมอับต่างๆ เธอรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่าน ทำให้เธอส่ายตัวเล็กน้อย
อาร์วินยังคงนิ่งอยู่ เขามองไปที่ป้ายไม้ที่แขวนอยู่เหนือประตูอย่างจดจ่อ แววตาของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความระแวงตอนนี้กลับดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขายกมือขึ้นแตะที่ขอบแว่นสีน้ำตาลอมแดงของเขา แล้วค่อยๆผลักขึ้นไปบนหน้าผากอย่างช้าๆ
“คลินิก?” ไอลีนเอ่ยพลางมองอย่างไม่เชื่อสายตา “นายเดินลับๆล่อๆเพื่อมาที่นี่เนี่ยนะ?”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เพียงแค่ผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่หญิงสาวก้าวตามเข้าไปข้างใน พวกเขาพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดพื้นที่ เด็กหนุ่มหยุดมือและมองพวกเขาอย่างตกใจ ก่อนที่จะรีบพูดขึ้นเสียงเบา
“ขอโทษครับคุณลูกค้า ร้านปิดแล้วนะครับ...” เขาพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แต่ยังคงยืน
อาร์วินยกมือขึ้นและพูดเสียงเรียบ “หมอโจชัวอยู่ไหม? ฉันนัดไว้แล้ว”
เด็กหนุ่มมองเขาสักพักก่อนจะขยับตัวไปข้างๆ และตอบด้วยท่าทางลังเล
“ท่านอยู่ในห้องทำงาน จะให้ไปบอกท่านหรือเปล่าครับ?” เด็กหนุ่มทำท่าทางลังเล
“รบกวนด้วย”เขากล่าวออกมาสั้นๆ ขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วรีบเดินไปด้านหลังของคลินิก ไม่นานนัก เขาก็กลับมาพร้อมกับคำตอบ
“เชิญเข้าไปได้เลยครับ ผมต้องขอตัวก่อน”
อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตรงเข้าไปในห้องทำงาน ส่วนเธอที่ยังยืนมองรอบๆ ก็หันไปถามเด็กหนุ่ม
“นายไม่ได้พักอยู่ที่นี่งั้นหรอ?” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัว “ไม่ครับ ผมมาฝึกงานเฉยๆ ตอนนี้ต้องรีบกลับไปดูแลน้องแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” เขาโค้งหัวเล็กน้อย ก่อนที่เดินออกไป ทิ้งให้เธอยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อสามปีก่อน ในคืนที่หิมะโปรยปรายอย่างหนัก คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งถูกจับตัวไปจากบ้านของพวกเขาโดยไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่ในถ้ำลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ห่างไกลจากเมืองที่พวกเขาเคยอาศัย เมืองนั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี และยากที่ใครจะพบเจอถ้ำแห่งนี้
ในความมืดมิดของถ้ำ ทั้งคู่ถูกคุมขังโดยจอมเวทย์สติเฟื่อง ผู้มีผมยาวสีเงินที่รกรุงรัง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ในอำนาจเวทมนตร์ จอมเวทย์คนนั้นเห็นว่าภรรยาของชายคนนั้นมีเชื้อสายของขุนนาง ซึ่งทำให้พลังเวทในตัวมีมากกว่าคนทั่วไป และ มีพลังเวทย์ใกล้เคียงกับเขา ทำให้เธอเป็น "วัตถุดิบ" ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการทดลอง
จอมเวทย์ต้องการฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเองที่กำลังทรุดโทรมลงทุกวันด้วยเวทมนตร์ เขาใช้เธอเป็นหนูทดลอง ทดสอบเวทมนตร์แปลกประหลาดที่ทำให้ร่างกายของเธอเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ชายคนนั้นถูกบังคับให้เฝ้ามองภรรยาของเขาถูกทรมานด้วยเวทมนตร์เหล่านั้น โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
วันแล้ววันเล่า ภรรยาของเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง จอมเวทย์ก็ทิ้งพวกเขาไว้ หายตัวไปอย่างลึกลับ ทิ้งให้ทั้งคู่อยู่ในถ้ำเพียงลำพัง หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็สิ้นลมหายใจในอ้อมแขนของเขา ความเจ็บปวดและความโกรธแค้นทำให้เขาหมดหวังในทุกสิ่ง
แต่แล้ว ในวันที่หิมะเริ่มโปรยปรายอีกครั้ง ชายปริศนาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ได้ช่วยเขาออกจากถ้ำ และ พาเขากลับสู่เมือง แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ภรรยาของเขาจากไปแล้ว
ด้วยความเจ็บปวดที่ท่วมท้น เขาจึงตัดสินใจทิ้งเมืองที่เต็มไปด้วยหิมะและความทรงจำอันโหดร้ายออกมา เขาแอบติดตามชายคนนั้นที่ดูเหมือนจะรู้ว่าจอมเวทย์สติเฟื่องคนนั้นเป็นใคร ชายคนนั้นมีผมสีเทา ดวงตาสีแดงก่ำ ท่าทางลึกลับราวกับรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับจอมเวทย์สติเฟื่อนคนนั้น
แต่การติดตามของเขาไม่ได้ราบรื่นนัก ชายคนนั้นจับได้ว่าเขากำลังแอบตามมา อย่างไรก็ตาม ชายผมสีเทาไม่ได้แสดงความโกรธหรือทำอะไรเขา เพียงแค่ทิ้งวิธีการติดต่อกับองค์กรลึกลับไว้ให้ ก่อนจะหายตัวไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองนี้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
ด้วยความช่วยเหลือขององค์กรนั้น เขาค่อยๆได้รู้ความจริงเกี่ยวกับจอมเวทย์สติเฟื่องคนที่ทำร้ายเขาและภรรยา จอมเวทย์คนนั้นไม่ใช่เพียงคนบ้าที่คลั่งไคล้ในเวทมนตร์ย้อนวัย แต่ยังมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกับอำนาจทางการเมือง มันซ่อนตัวตนอย่างเงียบเชียบเป็นเวลาหลายปี ยากที่จะหาเจอ ทำให้เขาต้องรอเวลาที่เหมาะสม เพื่อที่จะจัดการกับจอมเวทย์คนนั้นมาตลอด 3 ปีนี้
เวลาผ่านไป นับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ และรอคอยเวลาอย่างเหมาะสม จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ เขาก็ได้พบกับจดหมายฉบับนึงที่มีแหวนของชายคนนั้น และข้อความสั้นๆว่า “พบกันคืนนี้”
คืนนี้ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ที่ทรงผมถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้าที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตา ขณะที่สวมชุดกาวน์ กำลังเตรียมขนมและชาอย่างพิถีพิถันในห้องเล็กๆ ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของชาร้อน และ ขนมอบสดใหม่ เขาจัดทุกอย่างให้เรียบร้อย ราวกับกำลังเตรียมพร้อมเพื่อให้แขกคนสำคัญที่รออยู่ห้องใกล้ๆกับเขา
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่