เกือบตลอดทั้งคืนภวิชรังแกแมวน้อยไม่ยอมให้ห่างกายเขาอิ่มเอมแต่ไม่อิ่มหนำ คำอ้อนวอนขอร้องของเขามันทำให้มินตราใจอ่อนและเผลอไผลอารมณ์ตามเขา
ภวิชมองหญิงสาวที่นอนคว่ำหันหน้ามาทางเขาด้วยเห็นว่าเธอเพลียมากแล้วและรับอารมณ์ความต้องการของเขา เขาจึงยอมให้เธอหลับภวิชยกมือเท้ากับเตียง เกลี่ยผมที่ปรกหน้าเธอให้พ้นจากใบหน้าสวย นิ้วแกร่งยื่นไปลูบไล้ใบหน้าเบาๆกลางอากาศ นี่คือมินตรา จมูกนิดๆที่เชิดขึ้นบอกถึงความรั้นในตัวเอง ใครจะคิดว่าคนอย่างเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงมาแพ้ผู้หญิงที่เพิ่งเจอด้วยความบังเอิญ ตอนนี้เธอเป็นของเขาและไม่มีวันที่เธอจะเป็นของใครได้อีก ภวิชอมยิ้มใบหน้าหล่อด้วยความสุข
“ สวย ” เขาชมผู้หญิงที่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นเมียเขาภวิชสวมกางเกงนอนขายาวแล้ว แต่มินตรายังไม่ได้สวมมีเพียงผ้าห่มพันกายเท่านั้นไหล่ขาวที่โผล่จากผ้าห่มทำให้ภวิชเห็นรอยความเป็นเจ้าของที่เขาสร้างไว้จนตัวเองคิดสงสัยว่าอดอยากมาจากไหนเพราะมันมีเกือบจะทุกที่ที่เขาฝากไว้บนร่างกายของเธอ
“ ฟอด ” อดไม่ได้หรอกที่จะก้มไปหอมแก้มคนที่หลับอย่างขี้เซา
“ อือ ขอนอนหน่อยนะคะ ”
“ อืมก็นอนสิครับพี่ไม่ได้ปลุกสักหน่อย ” ภวิชลูบที่ไหล่เบาๆบีบเบาๆแกล้งสาวน้อยเล่น ปากบอกไม่กวนแต่มือป้วนเปี้ยนไม่ยอมห่าง
“ อืมพี่วิชอย่ากวนสิคะ นะขอมินพักหน่อยน้า ” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาทำเอาเขาหลุดหัวเราะเบาๆ
“ อะจ้าๆ หึๆ ลูกแมวขี้เซาหันมานี่มา ”
“ อืม ” เขาจับพลิกร่างมินตราให้หันมาหนุนแขนตัวเองเธอยังคงหลับตาตอนนี้เหนื่อยมากแล้ว ต่อให้เขาจะจับไปทางไหนมินตราคงไม่มีแรงพอที่จะขัดขืนหรอกเวลานี้
“ แต่พี่วิชเป็นแผลนะคะเดี๋ยวเจ็บ ” เธอหลับตาตอบอย่างเนิบนาบทำเอาภวิชหัวใจพองโตเธอยังอุตส่าห์ห่วงเขา
“ อืมน่ารักจริงๆเลย เมียใครเนี่ย ” จะบอกว่าเพราะยาดีเมื่อคืนหล่ะมั้งถึงไม่รุ้สึกเจ็บแผลสักนิด
“ อือ ” มินตราร้องครางขัดนิดๆ ก็เขาทำตัวเหมือนเด็กดีใจอะไรขนาดนั้นเขากอดแน่นแล้วโยกนิดๆเหมือนตอนที่มินตราได้ของเล่นแล้วดีใจอย่างสุดๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค่อยๆคลายอ้อมแขนให้มินตรานอนได้ถนัดเมื่อลมหายใจเธอคงที่เขาก็จัดการตระกรองแขนเอียงหญิงสาวเข้าหา
เล็กน้อยแล้วเขาก็จุ๊ฟที่ปากของเธอแผ่วเบาพร้อมกดชัตเตอร์ต่อกันหลายภาพภวิชกดดูแล้วอมยิ้มตั้งเป็นภาพหน้าจอมันซะเลย หลายต่อหลายรูปที่เขาทำท่าทะเล้นใส่กล้องบางรูปก็มองหน้าของเธอหวานซึ้งสัมผัสอ่อนโยนยิ่งครอบครองเธอแล้ว.เขายิ่งไม่อยากคลายอ้อมกอดไปไหน รู้สึกดีที่มันห่างหายไปนานเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“ เฮ้อ! ” อยากหยุดเวลาไว้แค่เธอกับเขาจริงๆแล้วเขาก็หลับไปอีกครั้งพร้อมกอดเธอ
ตอนบ่ายๆของวันมินตราเริ่มขยับตัวรู้สึก ลุกขึ้นเมื่อสัมผัสอกแกร่งๆ พลางหน้าแดงจัดเมื่อเรือนกายสัมผัสแนบชิด มองหาเสื้อผ้าของตัวเองที่อยู่ทางฝั่งของเขามินตราค่อยๆก้าวลงจากเตียงแม้ร่างกายปวดร้าวไปทั้งร่างเพื่อไปหยิบชุดของตัวเอง จำเผอิญชายหนุ่มคนหื่นเจ้าเล่ห์หยิบคว้าชุดของเธอไว้แล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง มินตรากระชับผ้าห่มแน่นหมายจะคว้าเสื้อผ้าหล่อนคืน แต่ภวิชยิ้มร้ายแล้วเหวี่ยงไปไกลเลยพนักของโซฟาที่อยู่ไกลพอควรห้องนอนมันกว้างก็ดีตรงนี้แหล่ะ
“ พี่วิชอ่าา ” เธอนั่งลงกับพื้นพิงชิดขอบเตียงใจเต้นระรัว ทั้งเขิลทั้งอายทั้งโมโหที่เขาแกล้งเธอคนถูกกล่าวว่าพลิกตัวลงมานอนเช่นเดิมแต่นอนคว่ำก่อนจะเปลี่ยนเป็นเท้าแขนตะแคงข้างนอนขวางเตียงหันหัวมาทางที่เธอนั่งอยู่
“ จะอายทำไมนักหนาเมื่อคืนเสียงหวานจะตายไปพี่วิชค่ะพี่วิชขา ”
“ นี่พี่วิ......อืม ” เมื่อเธอหันหน้ามาคล้ายจะต่อว่าเขาคนรอโอกาสมีหรือจะปล่อยไป เขาปิดโอกาสต่อว่าของเธอด้วยจูบของเขาแทนเมื่อละจากริมฝีปากเธอสบสายตาหวานก็ทำเอามินตาหน้าแดงแจ๊จนได้
“ พูดเล่นได้ยังไงกันหน่ะ...เรื่องแบบนี้ใครจะประสบการณ์โชกโชนเหมือนพี่วิชหล่ะ ” เธอสะบัดหน้าพิงข้างเตียงเหมือนเดิม
“ ก็เห็นมาหมดแล้วต้องอายพี่ทำไม ” นิ้วมือเกี่ยวพันผมของเธอสนุกมือมินตราค่อยๆดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วก้มมองสภาพของตัวเอง คนเจ้าเล่ห์เลยชะเง้อไปมองเป็นเพื่อนอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ อือนี่แนะคนบ้า ”
“ ฮ่าๆ ก็อยากรู้ ว่าที่รักมองอะไร ” เขามองตาหวานซึ้งก่อนจะดึงเธอขึ้นมาจูบแต่ก่อนที่แรงปรารถณาจะลุกลามเสียงท้องร้องของหญิงสาวทำให้ภวิชร้องหืมด้วยความสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ต่างจากอีกคนทั้งเขิลทั้งอับอาย
“ อาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยลงไปข้างล่างกันนะครับ ”
“ ค่ะ ”
“ บ้าเอ้ย หายไปได้ยังไงคนทั้งคน ”
ภวัตต์เสียงดังลั่น เอามือเสยผมอย่างหัวเสียเขาใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ พลางเคาะบุหรี่เอามาคาบที่ปากแล้วจุดสูบ พ่นควันสีขาวๆขึ้นกลางอากาศแว่นกันแดดสีชาทำให้สายตาหวานๆใบหน้างดงามถูกซ่อนเหลือเพียงความเข้มขรึม
“ นี่ถ้าไอ้น้องชายตัวแสบฉันรู้มันได้อัดพวกแกสองคนแน่ รู้ใช่ไหมว่ามันอารมณ์มากกว่าฉันขนาดไหน ” ภวัตต์หันไปชี้นิ้วคาดโทษลูกน้องไนท์คลับสองคน
ที่มีหน้าที่เป็นถึงบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยแต่กลับปล่อยให้ผู้ชายสองคนที่ภวิชสั่งให้ตามตัวจับมากักขังไว้ที่อพาร์ทเม้นร้างแห่งนี้ ภวัตต์เองเขาไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับวงการนี้มานานหลายปีแล้ว ห้าปีได้แล้วมั้งที่เขาไม่ค่อยได้อยู่ที่เมืองไทย มาบ้างบางครั้งบางครา เพราะมีบางอย่างในความทรงจำที่เขาเองก็ยังไม่ลบเลือน ทำให้เขาไม่อยากกลับมาที่นี่สักเท่าไหร่ และถึงจะเหมือนห่างหายวงการไปนานแล้วแต่เขาก็ยังป้องกันตัวเองจากสิ่งรอบข้างได้เป็นอย่างดี ด้วยการฝึกฝนที่หนักหนาจนถึงขั้นจะแทบสาหัสสากรรจ์ มากับภวิชตั้งแต่เยาว์วัยทำให้การต่อสู้จึงเหมือนชีวิตประจำวันจนกลายเป็นยิ่งกว่าสัญชาติญาณที่จะปกป้องแค่ยามที่มีภัยมาถึงตัว เขากับภวิชถูกฝึกฝนมาเพื่อให้แกร่งและสามารถปกป้องตัวเองได้แต่อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้มาด้วยก็คือ การรู้จักทำลาย มันคือสิ่งที่พวกเขารู้
“ คุณวัตต์จะทำยังไงดีครับ ” กฤษเป็นฝ่ายถามขึ้น จริงๆแล้วกฤษเป็นบอดี้การ์ดคู่ใจของภวัตต์เพียงแต่ว่าเจ้านายไม่ค่อยอยู่เมืองไทยหลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้กฤษต้องไปทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้กับภวิชแทน เขาได้รับคำสั่งจาก ภวิชให้มาดูแลเจ้านายคนเดิมยามที่ภวัตต์อยู่นี่ หน้าที่คุ้มครองภวัตต์จึงตกเป็นของ กฤษแล้วก็ลูกน้องอีกหนึ่งคน ภวัตต์มองบอดี้การ์ดสองคนตรงหน้าแล้วส่ายหัวนึกแล้วก็ไม่อยากให้ถึงมือภวิชเท่าไหร่มันได้ตายสมใจเป็นแน่
“ ฉันปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้จริงๆ พวกแกก็รู้ใช่ไหม ความรู้สึกของฉันแล้วก็ภวิชกับเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ต่างกัน เรื่องนี้ฉันจะให้ภวิชเป็นคนจัดการ พวกแกเตรียมใจละกันฉันไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะใจเย็นได้เท่าฉันหรือเปล่า ” น้ำเสียงไม่ดุดัน แต่กลับเย็นจนจับขั้วหัวใจ พี่น้องสองคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันสุดขั้ว คนนึงอารมณ์ ร้อน ร้อนได้จนแทบเผาให้มอดไหม้ เป็นผง อีกคนนึงเย็นประดุจสายน้ำ ใจเย็นและมีเหตุผล แต่ยามใดที่สายน้ำเจอพายุและเริ่มแปรปรวน น้ำเสียงที่พูดอย่างใจเย็นนั้นก็กลายเป็นน้ำแข็งกลายเป็นความเหน็บหนาวให้สั่นสะท้านได้เช่นกัน คนฟังถึงกับขนลุกซู่ในน้ำเสียงที่สัมผัสได้ เย็นๆแบบนี้โกรธทีนี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง