“งั้นพี่คงต้องกินนมฟินน์ตุนไว้เยอะหน่อย” พูดจบเขาก็ซุกใบหน้าลงกับเต้าทรวงนุ่มนิ่มของเธอ มือออกแรงขยำทรวงอกกลมกลึง ยอดถันที่แข็งเป็นตุ่มไตหายเข้าปากของเขาในทันทีสติของพิชชากระเจิดกระเจิงอีกครั้ง เธอกัดริมฝีปาก เชิดคางขึ้นจนศีรษะแหงนเงยด้วยความซ่านเสียว ร่างกายของเธอรุ่มร้อนด้วยความปรารถนา ร่างกายสั่นสะท้านชายหนุ่มเบียดสะโพกเข้าไประหว่างเรียวขาที่เขาจับแยกออกจากกัน ท่อนลำแข็งขึงผ่าวร้อนที่เขาจัดการงัดมันออกมาจากในกางเกงเมื่อครู่ กดแนบอยู่กับเนินเนื้ออวบอูมพิชชามองของใหญ่ไม่วางตา เห็นความเป็นชายของเขาไม่รู้กี่ครั้ง เธอก็ยังคงหวั่นกลัวกับขนาดของมันอยู่ส่วนหัวอวบโตเป็นสีชมพูจาง ๆ สะอาดสะอ้าน ตลอดความยาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดนูน ดูน่าเกรงขาม แต่ในทางตรงกันข้ามมันก็ยั่วยวนให้เธออยากสัมผัสท่อนลำเอ็นร้อนครูดสีไปกับกึ่งกลางลำตัวของพิชชาเบา ๆ แต่ยิ่งถูไถหยาดน้ำวาวใสก็ยิ่งซ่านซึมออกมาจนฉ่ำแฉะธนาหยัดกายขึ้น ปรือตามองไปที่เธอด้วยแววตาที่อัดแน่นด้วยไฟราคะ“ขย่มให้ได้ไหม” ใบหน้านวลเนียนของพิชชาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเธอไม่เคยอยู่ข้างบนแล้วเป็นคนคุมจังหวะ แน่นอนว่าเธอเคยเห็นผ่านคลิปโป๊ แต่เธอรู้แค่
และแล้ววันที่หลายคนรอคอยก็จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว...ฝนโปรยปรายลงมาแต่เช้ามืด พิชชาลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดของธนา มองเห็นปลายคางแข็งแรงเป็นปื้นสีเขียวจางของเขา ท่อนแขนข้างหนึ่งโอบเอวเธอไว้ มือวางอยู่บนบั้นท้ายกลมกลึง รู้สึกถึงกลิ่นครีมอาบน้ำจาง ๆ ที่อบอวลอยู่ในผ้าห่มพิชชาลุกขึ้นช้า ๆ บนร่างกายมีเพียงชุดนอนบางเบาแนบเนื้อ ข้างในโล่งโจ้ง แทบไม่เหลืออะไรให้จินตนาการเธอลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่โซฟาเบด มั่นใจว่าเมือคืนวางชุดชั้นในไว้ตรงนี้แต่กลับไม่พบพิชชาคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะเดินไปดูในตะกร้า เผื่อตัวเองจะหลงลืมว่าเอามาใส่ไว้แล้ว แต่ก็ไม่มีหันกลับมาที่เตียงอีกที คนที่นอนอยู่ก็กำลังขยับตัวชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพร้อมเสียงหาวเบา ๆ ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า ผิวขาวสะท้อนแสงแดด ผมยุ่งแบบคนเพิ่งตื่นนอน“เห็นชุดชั้นในของฟินน์ไหม? เมื่อคืนฟินน์วางไว้ที่โซฟาแล้วลืมเอาไปซัก” ธนาขมวดคิ้วนิด ๆ พยายามรำลึก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาและติดงัวเงียว่า “แขวนอยู่ในห้องน้ำ”คำตอบนั้นทำให้เธอเกิดความสงสัยว่ามันไปอยู่ในนั้นได้ยังไง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปที่ห้องน้ำผลักประตูเข้าไป เห็นชุดชั้นในลูกไม้สีแดงสดของตัวเองแ
ภายในห้องนั่งเล่น บรรยากาศเงียบเชียบจนน่าอึดอัดคุณมนูญนั่งสงบนิ่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ พลางอ่านนิตยสารของต่างประเทศ แต่บางครั้งก็เหลือบมองบันไดที่ทอดตัวขึ้นไปยังชั้นบนพิชยะนั่งเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทีหงุดหงิด ใบหน้าตึงเครียด มือสองข้างกำหมัดแน่นอยู่บนตัก บางครั้งก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนคนที่ยังคงอดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้แทบไม่อยู่ ดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่วางตาจากธนาแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับเฝ้าจับผิดทุกท่าทีของอีกฝ่ายธนานั่งตัวตรงสงบนิ่ง มือทั้งสองกุมกันไว้แน่นจนชื้นไปด้วยเหงื่อท่าทางภายนอกดูสุขุม ทว่าภายในใจกลับร้อนรนเขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีสิทธิ์อธิบายหรือแก้ตัวใด ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ คือการนั่งรอและยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเวลาของเขาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับน้ำเชื่อมร้อน ๆ ที่เข้มข้นเหนียวหนืดนานจนกระทั่งเสียงฝีเท้าจากชั้นบนดังแว่วมาในที่สุดทันทีที่คุณเพ็ญพิชย์ปรากฎตัวพร้อมกับพิชชา ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ขยับตัวเล็กน้อยธนาเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติคุณเพ็ญพิชย์ไม่ได้พูดอะไรในทันที เพียงก้าวเดินมาอย่างสง่างามไปยังตำแหน่งเดิมของตัวเอง หย่อนกายลงโซฟาอย่างนุ่มนวล แต
"มึงก็ยังมีหนี้สินท่วมหัว ต่อให้ยังไม่แต่งงานกัน มึงก็ยังต้องใช้เงินดูแลยัยนี่อยู่ดี หรือมึงคิดว่าแค่ทำงานหนักขึ้นก็พอจะเลี้ยงน้องกูให้มีความสุขได้?” แต่ละประโยคของพิชยะราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่กดทับลงกลางอกธนาหลับตาลง น้ำเสียงเย้ยหยันของพิชยะก้องอยู่ในโสตประสาท รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งถูกกระชากศักดิ์ศรีออกไปต่อหน้าแต่ทุกอย่างที่พิชยะพูด...ล้วนเป็นความจริงอาชีพหมอของเขาแม้จะมีเกียรติ แต่ก็ไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้พิชชาภูมิใจ หนี้สินที่กองอยู่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสะสางได้หมดเมื่อเทียบกับเส้นทางชีวิตของพิชชาตอนนี้ เขายิ่งดูตัวเล็กลงทุกทีความเงียบหนักอึ้งคลี่คลุมทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมา จนกระทั่ง“ลุงว่าเอางี้ดีไหม…” เสียงทุ้มของชายในวัยกลางคนไม่ได้ดังมาก แต่หนักแน่นพอที่จะให้ทุกสายตาหันไปมองผู้ที่เป็นประมุขบ้านวางสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าแววตาที่มองมา แฝงความเมตตาเอาไว้อย่างไม่ปิดบังสำหรับคนเป็นพ่ออย่างคุณมนูญ เขาย่อมยินดีสนับสนุนให้ลูกได้เลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยให้พิชยะเลือกเรียนคณะแพทย์แทนที่จะเป็นคณะที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ เพ
ฮัมเมอร์สีดำจอดลงหน้ามุขของคฤหาสน์หลังใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำ แสงไฟจากตัวบ้านทอดเงาอบอุ่นไปทั่วบริเวณทันทีที่ธนาก้าวลงจากรถ ท่าทีมั่นใจที่เคยมีมาตลอดทางพลันสั่นคลอน ชายหนุ่มเผลอแสดงความประหม่าผ่านทางสีหน้าและท่าทางพิชชายกยิ้มมุมปาก ขยับเข้าไปใกล้แล้วเอาคำพูดในรถมาแซวเขาว่า“ไหนบอกว่าสบาย ๆ ไง” ชายหนุ่มยืดตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งก่อนจะสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าไม่มั่นใจออกมาชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์นูดี้ สวมรองเท้าผ้าใบที่มักจะเพิ่มความมั่นใจให้กับเขาเวลาที่ใส่ไปไหนมาไหน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากใส่สูทผูกเนกไทมากกว่า“เป็นไร ไม่มั่นใจเหรอ” เธอเอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะ“ก็นิดหน่อย...” เขาเกาแก้มตัวเองเบา ๆ “คิดว่าชุดมันดูไม่เหมาะรึเปล่า” เขายังดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาพิชชาที่นั่งกังวลมาตลอดทางถึงกับหลุดขำ“ขำไร จริงจังนะ ใส่ชุดนี้เหมาะไหม หรือจะกลับไปเปลี่ยนก่อนดี”พิชชารีบส่ายหน้า ยิ้มกว้างขณะพูดกลั้วหัวเราะ“ไม่ต้องหรอก ชุดนี้ก็หล่อแล้ว” คำตอบสั้น ๆ ของเธอเหมือนสายลมอบอุ่นที่พัดพาความประหม่าทั้งหมดในอกของเขาให้หายวับไป ธนายิ้มกว้าง เพิ่มคว
ฮัมเมอร์สีดำจอดลงที่โรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่งในเวลาต่อมาหลังจากแพทย์ได้ทำการตรวจ รวมถึงเจาะเลือด และให้นอนพักจนอาการดีขึ้น ตอนนี้พิชชารอฟังผลตรวจอยู่ โดยมีธนาอยู่ภายในห้องฉุกเฉินด้วยครู่หนึ่งพยาบาลก็เข้ามาขอเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ธนาประคองเธอไปเข้าห้องน้ำ ยืนรอที่หน้าห้อง รอจนเธอจัดการเรียบร้อย จึงประคองเธอมานอนรอบนเตียงอีกครั้งตลอดเวลาเขาเฝ้าเธอไม่ห่าง สายตาไม่ละไปจากเธอแม้แต่วินาทีเดียวเวลาผ่านไปพักใหญ่ ผ้าม่านก็ถูกดึงเปิดออก แพทย์หญิงเจ้าของไข้ในชุดกาวน์สีขาวสะอาดตาเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ“เป็นไงบ้างครับ?” ธนาเอ่ยถามทันที ท่าทีร้อนรน แววตาเต็มไปด้วยความกังวลเขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของญาติคนไข้ตอนที่รอฟังผลตรวจก็ตอนนี้เองแพทย์หญิงส่งยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ...ที่หน้ามืดเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนน้อย แล้วก็ความดันต่ำ" คำตอบนั้นทำให้ทั้งธนาและพิชชาต่างผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดทว่าก่อนที่พวกเขาจะโล่งใจได้เต็มที่ แพทย์หญิงกลับเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ราวกับกำลังเลือกถ้อยคำให้เหมาะสม แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"แล้วก็...ยังตรวจพบว่าคนไข้กำลัง
วันนี้ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆหมอก แสงแดดอุ่น ๆ สาดส่องลงมาที่สนามหญ้าเขียวขจีภายในบ้านอัศวโยธิน ได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกโมก ดอกปีบ ลอยอยู่ในอากาศตลอดเวลามยุรีและอรทัยนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เมื่อรู้ว่าพิชชาจะมากับธนาด้วย และทั้งสองยังคงให้การต้อนรับเธอด้วยความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวตอนงานวันเกิด พิชชาเชิญมยุรีกับอรทัยไปร่วมงานด้วย แต่ด้วยความที่ทั้งคู่ไม่ถนัดออกงานสังคม เลยโทรมาอวยพรแทนบรรยากาศบนโต๊ะไม้ทรงกลมเป็นไปอย่างสบาย ๆ เสียงพูดคุยกันของสมาชิกในบ้านดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาหลังอาหารมื้อสายจบลง อรทัยยกจานไปล้าง มยุรีนั่งลงเคียงหญิงสาว ในขณะที่ธนานั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวภายในห้องนั่งเล่นซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำชาจาง ๆเมื่อการสนทนาอย่างเป็นกันเองเริ่มขึ้นได้สักพัก มยุรีก็หาจังหวะโยงเข้าเรื่องสำคัญด้วยการแสดงสีหน้าอมทุกข์ หวังให้หญิงสาวที่นั่งข้างกันเอ่ยถาม ซึ่งผลออกมาเป็นไปตามที่คาดไว้“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” พิชชาถามด้วยความห่วงใย“เปล่าหรอกจ้ะ ป้าแค่กังวลเรื่องอพาร์ตเมนต์นิดหน่อย” มยุรีตอบเสียงเบาพิชชาขยับตัวเล็กน้อย มองไปที่หญิงวัยกลางคนด้วยแววตาเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด“ที่อพ
แล้วทำไมเขาไม่เอามาให้เธอที่บอกว่าไม่มีเวลาซื้อของขวัญ คืออะไร?คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวจนเธอรู้สึกเหมือนห้องทั้งห้องเงียบเกินไป ราวกับเธอได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองชัดเจนทันใดนั้น ประตูที่แง้มอยู่ก็เปิดออกกว้างชายหนุ่มแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นเธอยืนถือกล่องสร้อยข้อมือที่เขาวางเอาไว้เมื่อคืนนี้ ไม่ทันได้เก็บไว้ในที่มิดชิดพิชชาหันมามองชายหนุ่ม ดวงตาไหวระริก“นี่มันอะไร นี่ของฟินน์ไม่ใช่เหรอ ซื้อมาแล้วทำไมไม่เอาไปให้” ข้อความในการ์ดคือสิ่งที่บอกให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของสร้อยข้อมือเส้นนี้เธอจ้องเขาเขม็ง ราวกับต้องการมองให้ทะลุไปถึงความคิดข้างในลองได้โกหกว่าไม่มีเวลาออกไปหาซื้อของขวัญให้เธอ เชื่อว่าเรื่องมีผ่าตัดฉุกเฉินอะไรนั่น เขาก็น่าจะโกหกเช่นเดียวกันธนาได้แต่ยืนนิ่ง เขาอยากจะอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนไม่ใช่ความรู้สึกหึงหวงอย่างที่ผ่านมา และเขาก็ไม่เคยคิดจะถอยให้ใคร“เมื่อคืนพี่ไปที่โรงแรมแล้ว...” เขายอมรับเสียงเบา “…แต่ไม่ได้เข้าไปในงาน” พิชชาขมวดคิ้ว ฟังเขาเงียบ ๆ“พี่เห็นฟินน์ได้สร้อยคอจากคนอื่นแล้ว ก็เลย…”“ก็เลยหนีไปดื้อ ๆ” เธอจ้องหน้าเขาอย่างขอคำตอบ พอจะสรุปได้ด้
ท่ามกลางบรรยากาศที่คล้ายว่าทุกคนกำลังยืนห้อมล้อมคู่บ่าวสาวในงานวิวาห์ มีสายตาวาววับคู่หนึ่งมองมาจากมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงร่างสูงนั้นยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ปะปนอยู่กับแขกในงานห่างไปไม่ไกลมาก มองดูพิชชายิ้มและหัวเราะให้กับชายอื่น ความรู้สึกบางอย่างแผ่ปกคลุมดวงตาหัวใจของเขาเหมือนถูกบีบด้วยมือเปล่า กล่องของขวัญขนาดเล็กในมือพลันรู้สึกหนักอึ้งราวกับถ่วงไว้ด้วยหินทั้งก้อนธนาก้มมองของขวัญที่นำมา ของขวัญชิ้นนี้มาจากการที่เขาโหมงานหนัก อดหลับอดนอนเกือบหนึ่งเดือน เพื่อที่จะได้ให้ของขวัญที่คู่ควรกับเธอแต่ในเมื่อมีคนมอบของขวัญล้ำค่ากว่าให้เธอแล้ว เขาก็ได้แต่เก็บมันไว้เขาหันหลังให้ภาพนั้นในทันที ความรู้สึกบางอย่างในอกคล้ายจะพังทลายลง พร้อมกับก้าวขาเดินจากไป** *** **หลังจากงานเลี้ยงจบลง ห้องที่เคยเงียบสงบของพิชชากลับอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้และเสียงหัวเราะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของค่ำคืนนี้พิชชาถอดรองเท้าส้นสูงออก ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาท่าทางคล้ายคนหมดแรง ดึงหมอนนุ่มมากอดแนบอก เอนศีรษะพิงพนักเบาะ เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงแต่ความเงียบก็ไม่ได้นำพาความสบายใจมาให้อย่างที่เธอคาดหวังหญิงสาวลืมตาขึ้น