หมอสาวสู้ชีวิตแต่อกหักทั้งที่ยังไม่ได้บอกรัก เผลอOne Night Standกับผู้ชายคนหนึ่ง ใครเลยจะรู้ว่าเป็นพรหมลิขิตหรือเวรกรรม ทำให้เธอมาเจอกับมาเฟียหนุ่มที่ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องของคืนนั้นผ่านเลยไป . . . . "คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง" เธอทำจมูกย่นใส่เขา "ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ" "อีริค!" เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ "ให้ตายสิ" เขาพึมพำ "ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า" "คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?" "แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้" หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย
View Moreหญิงสาวจ้องมองใบหน้าตนเองในกระจกเงาตรงหน้า เพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ทำให้เธอต้องหลบมาอยู่ในห้องน้ำ แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ดันร้องไห้หนักเข้าไปอีก จนสุดท้าย ‘ธีรยา’ ตัดสินใจเช็ดเครื่องสำอางออก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าออกจากห้องน้ำด้วยสภาพหน้าตาเลอะเครื่องสำอางแน่ๆ
อกหักที่ยังไม่ได้บอกรักมันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ แค่คิดน้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอขึ้นมาอีก ทั้งที่เธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าพี่ก้องภพมีคนที่ ‘คุย’กันอยู่ แต่วันนี้พี่เขาประกาศเปิดตัวแฟนก็ทำให้เธออกหักอย่างเป็นทางการ ไม่น่าเอาวันหยุดมางานสัมมนาอะไรนี้เลย คิดว่าจะได้อยู่กับพี่ก้องภพมากขึ้นแต่กลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรแบบนี้ เธอน่าจะเอาวันหยุดไปทำอย่างอื่นดีกว่า... ดีกว่าอะไรเล่า ยังไงเรื่องพวกนี้เธอก็ต้องรับรู้ความจริงเข้าสักวัน มือเรียวหยิบกระดาษทิชชู่สั่งน้ำมูกแล้วล้างมือ เธอส่องตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วหยิบลิปสติกมาเติมริมฝีปาก ส่วนหน้าตาก็ช่างมันเถอะ โชคดีที่ไม่ได้ติดขนตาปลอมมา ไม่งั้นคงไม่ต่างจากซอมบี้สยองแน่ๆ
ธีรยาสวมแว่นตาแล้วสำรวจตัวเองในชุดเดรสกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยสีไวน์แดง ตั้งใจให้ตัวเองสวยในสายตาคนที่แอบชอบแต่สายตาเขามองเธอเป็นแค่ ‘น้องสาว’ เท่านั้น หรือเธอพยายามไม่พอนะ ถึงไม่เคยข้ามขั้นจากน้องสาวเป็นคนรักได้เลย หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ งานเลี้ยงจัดที่ชั้นล่างของโรงแรมในส่วนที่เป็นสวนสวย หลังผ่านงานสัมมนาวิชาการหนักหน่วงมาก็ได้เจองานเลี้ยงเพื่อผ่อนคลายและกระชับความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน
จะเรียกให้ถูกเธอคือแพทย์หญิงธีรยา เธอคือพยาธิแพทย์ (Pathologist) มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหนอนพยาธิ (อ่านว่า พะ-ยาด) แต่รู้หรือไม่ว่า คำว่า พยาธิ (อ่านว่า พะ-ยา-ทิ) ซึ่งเขียนเหมือนกันแปลว่า โรค หรือความเจ็บไข้ พยาธิแพทย์คือแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการตรวจและวินิจฉัยโรคจากอวัยวะเนื้อเยื่อ เซลล์ และสารคัดหลั่งจากร่างกายมนุษย์ การวินิจฉัยโรคจึงเป็นงานหลักของพยาธิแพทย์ ไม่ใช่การรักษาผู้ป่วยโดยตรง นั้นเหมาะกับนิสัยของเธอ และการทำงานในโรงพยาบาลรัฐก็ไม่ได้เลวร้ายสำหรับชีวิตสาวโสดแถมยังเป็นกำพร้าอย่างเธอด้วย
หญิงสาวเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนเด็กๆ ค่อนข้างผอมบางและขี้โรคทำให้ไม่มีใครอยากอุปการะเด็กอย่างเธอซึ่งเป็นแรงผลักดันให้อยากเป็นหมอ เธอมุ่งมั่นจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์และเรียนจบเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และทำงานในโรงพยาบาลรัฐใช้หนี้ทุนการศึกษา ช่วงที่เรียนอยู่เธอก็ทำงานพิเศษและมีเงินช่วยเหลือจากบ้านเด็กกำพร้า แม้ว่าทางบ้านเด็กกำพร้าจะไม่เรียกร้องเอาสิ่งใด แต่เมื่อเธอพอมีเงินเดือนก็เจียดเงินโอนไปให้สม่ำเสมอ อาจเพราะสถานที่แห่งนั้นเป็นเหมือน ‘บ้าน’ของเธอ แม้ตอนนี้เธอจะอยู่คอนโดขนาดเล็กที่กลายเป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองแม้จะยังผ่อนอยู่ก็ตาม
ธีรยาเดินกลับเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอย่างเหงาๆ อุตส่าห์เอาวันหยุดตัวเองมางานสัมมนาวิชาการนี้ก็เพราะอยากเจอก้องภพที่เป็นหมอประจำห้องฉุกเฉิน เธอรู้จักเขาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นนักเรียนม.ปลาย เพราเขาเป็นรุ่นพี่เธอหลายปีและจบจากโรงเรียนเดียวกันและกลับมาทำกิจกรรมแนะแนวการศึกษาให้น้องๆ ได้รู้จักคณะต่างๆ ก่อนจะที่จะสอบเข้า เขาเป็นไอดอลของเธอเลยก็ว่าได้ แม้เขาอายุมากกว่าเธอหลายปี แต่ด้วยความที่ก้องภพเป็นคนคุยสนุกและเป็นกันเองจึงรู้สึกเหมือนพี่น้อง ซึ่งเธอคิดกับเขามากกว่า ‘พี่’ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยกล้าเผยความรู้สึกในใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองคงกลัวว่าถ้าพูดออกแล้วความสนิทสนมที่เคยมีจะกลายเป็นห่างเหิน ซึ่งสุดท้ายแล้ว เธอก็ ‘อกหัก’ อยู่ดี
บทเวทีมีการแสดงของผู้ร่วมสัมมนา ธีรยาไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก เธอเลือกนั่งดื่มอยู่โต๊ะท้ายๆ แก้วแล้วแก้วเหล่า ดื่มอย่างไม่เคยดื่มมาก่อน แน่นอนว่าชีวิตเธอมันไม่มีโอกาสให้ดื่มแบบนี้นัก และยิ่งค่าใช้จ่ายที่มีเงินใช้อย่างจำกัดทำให้เธอตัดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ไปได้เลย หญิงสาวรู้สึกตาพร่าและยิ่งเห็นภาพพี่ก้องภพนั่งคุยกับผู้หญิงที่เพิ่งประกาศตัวเป็นคนรัก ยิ่งทำให้เธอคว้าแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอีก ราวกับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ ก้องภพหันมาทางธีรยาที่นั่งคนเดียว เขาโบกมือเรียกหญิงสาวที่เอ็นดูเหมือนน้องคนหนึ่ง แต่ธีรยาที่วันนี้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษลุกขึ้นยืนเดินโซเซออกไปด้านนอกงาน
“น้องหมิว...” ก้องภพพึมพำขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเขมิกาคนรักของเขา “พี่ไปดูน้องหมิวสักเดี๋ยวนะ”
“ไปเถอะค่ะ” เขมิกายิ้มให้ เธอรู้จักธีรยาหรือหมอหมิวจากปากของคนรักเพราะเขามักชอบเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ่อยๆ และเคยพูดคุยกับธีรยาอยู่บ้าง ‘ผู้หญิงด้วยกันย่อมดูออก’ ว่าสายตาที่ธีรยามีต่อก้องภพมากกว่าพี่น้องอย่างที่ก้องภพพูด แต่เธอเชื่อใจคนรัก ธีรยาเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีเกินเลยกับก้องภพ ทำให้เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้ไม่ลง
ธีรยาเห็นก้องภพโบกมือให้ แต่เธอไม่พร้อมที่จะยิ้มให้เขาจึงตั้งใจลุกออกมาและกลับห้องพักที่อยู่โรงแรมเดียวกับที่สัมมนาและจัดเลี้ยง ทว่าเพราะดื่มเข้าไปมากแต่ละก้าวจึงไม่มั่นคงนัก เธอกำลังจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์แต่ร่างไปชนเข้ากับใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวพูดกับอกเสื้อสูทเนื้อดีและกลิ่นน้ำหอมที่เธอไม่รู้จักแต่มันแสนเย้ายวนจนทำให้เธอต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มก้มหน้าลงมองเธอ มือใหญ่จับไหล่ประคองไว้ไม่ให้ล้มลง
ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ตามองใบหน้ารูปไข่ที่ไม่ได้แต่งหน้า แม้สวมแว่นตาแต่เห็นดวงตาคู่สวยได้ชัดเจน ริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำที่เดาได้ว่าเป็นค๊อกเทลเพราะมีกลิ่นจางๆ จากลมหายใจอุ่นร้อน
“หมิว...”
เสียงคุ้นเคยทำให้ธีรยาสะดุ้งแล้วเผลอดึงเสื้อเขาไว้เป็นที่กำบัง อาศัยว่าอีกฝ่ายตัวสูงใหญ่กว่า แต่กระนั้นเธอก็ห่อไหล่ตัวทำตัวลีบ เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นธีรยาสะดุ้งแต่ยังไม่ทันตั้งสติว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไหล่ของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในตามด้วยร่างสูงใหญ่ของคนแปลกหน้า และในวินาทีต่อมาเขาก็เอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์ทันที
“ชั้นไหน?”
“เอ่อ...” เธอขยับตัวถอยออกมาครึ่งก้าวแต่ร่างยังซวนเซอยู่ทำให้เขาเอื้อมมือไปจับไหล่เธอไว้ไม่ให้ล้มลง
“ถ้ายังดื่มไม่พอไปดื่มต่อห้องผมไหม?”
“คะ?”
หญิงสาวทำตาปริบๆ นี่เธอถูกผู้ชายชวนขึ้นห้องเหรอ?
ท่าทางซื่อๆของผู้หญิงตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาเอื้อมมือไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ
“คุณไม่พูดผมจะถือเป็นคำตอบรับก็แล้วกัน”
ธีรยาหลุบตาลง อืม...แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้เธอไม่อยากอยู่คนเดียว แม้ที่ผ่านมาจะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจนเคยชินก็ตาม.
เสียงลูกน้องตะโกนเตือน ธีรยากับโจวเจียอีหันไปมองพร้อมกัน เซียงซีฮันที่คิดว่าแอบหนีไปตอนชุลมุนกลับโผล่เข้ามาเหมือนสุนัขจนตรอก เขายกปืนเล็งมาทางโจวเจียอี เพียงเสียววินาที เพียงแค่การกระพริบตา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปืนดังขึ้นสองนัด โจวเจียอีเบิกตากว้างไม่คิดว่าเลือดสีสดไหลทะลักจากรูกระสุนนั้นจะมาจากร่างของธีรยา “หมิว! บ้าจริง คุณมาบังกระสุนทำไม” “ไม่รู้ ขามันไปเอง” เธอเจ็บจนน้ำตาร่วงแถมเขายังตะคอกใส่อีก ไม่รู้ว่าเพราะเธอตัวเตี้ยหรือเพราะเจียงซีฮันเสียจังหวะเล็งเป้า กระสุนนัดแรกไปทางไหนไม่รู้ แต่นัดที่สองหัวไหล่ของเธอได้ “หมิว...” เขาอุ้มเธอเข้าไปในรถและสั่งให้ลูกน้องขับรถไปทันที “คุณทำแบบนี้ทำไม” “คุณจะบาดเจ็บไม่ได้” ธีรยาพูดขณะโจวเจียอีใช้เสื้อนอกของเขากดห้ามเลือด “คุณต้องบริจาคตับให้น้องชาย ห้ามคุณเป็นอันตรายหรือเสียเลือดเด็ดขาด” “หมิว” เขาครางออกมา ไม่คิดว่าเธอจะใส่ใจเรื่องนี้มากถึงขนาดนี้ “ตำแหน่งที่บาดเจ็บไม่อันตรายแต่คุณต้องช่วยกดห้ามเลือดไว้ก่อน” เ
ธีรยากลืนโจ๊กลงคอแล้วก็อดคิดถึงอีริคไม่ได้ เธอมั่นใจว่าเขามาช่วย แต่..เขาช่วยเพราะหน้าที่หรือเพราะเป็นห่วงเธอจริงๆ ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับเธอ แต่ไม่เคยบอกรักเธอสักคำ จริงอยู่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันเกิดจากเซ็กส์ชั่วคืน หากไม่เพราะ ‘บังเอิญ’ พบกันอีก คนที่ทำงานให้ห้องแล็บอย่างเธอก็คงไม่ได้พบนักธุรกิจระดับพันล้านที่แสนเอาแต่ใจจอมเผด็จการคนนั้น เธอยกมือแตะสร้อยที่สวมอยู่ เขาสวมสร้อยเส้นนี้ให้เธอตั้งแต่วันไปงานแต่งงานก้องภพแล้วก็ไม่เอาสร้อยคืน จากคนไม่ใส่เครื่องประดับก็ใส่จนเคยตัว เขาช่างเป็นคนนิสัยแย่ที่สุดที่มาเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของเธอ เหมือนน้ำตาหยดจะร่วงหล่น เธอกลั้นสะอื้นแล้วกลืนอาหารลงคอ อย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระหากต้องหนี เธอก็ต้องมีแรงหนี. ... โจวเจียอีก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามชานเมืองกรุงเทพฯ ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่แปลกใจที่ได้เห็นเขานัก “รวดเร็วสมกับเป็นประธานโจว” เจียงซีฮันเอ่ยแล้วผายมือเชิญให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม “อยากเจอผมก็มาเชิญผมสิ
“แต่งงานโดยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเนี้ยนะ” คุณกานดาเค้นเสียงหัวเราะ “จะทำตัวเหมือนพ่อหรือไง พอเวลาเจอคนที่ตัวเองรักก็แอบเลี้ยงไว้ข้างนอก” “แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเอง ผมรู้แค่ว่าผมชอบเวลาอยู่กับเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้ม และอยากไม่ต้องการให้ใครแตะต้องเธออยากครอบครองเธอเพียงคนเดียว” คุณกานดาฟังแล้วก็พยักหน้า“แม่กับพ่อแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมและผลประโยชน์ แต่แม่ก็รักพ่อจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปอยู่ที่จีน ไปเป็นคนแปลกหน้าที่นั้น ความจริงแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนที่ชอบอยู่ แต่ต้องแต่งงานกับแม่ แต่เพราะแม่รักพ่อของลูกมากถึงได้หลอกตัวเองว่าพ่อแกรักแม่จริงจัง ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแกเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้าน” “แม่รู้อยู่แล้ว” “อืม...ไม่ใช่ว่าแม่ใจดำไม่อยากช่วยเด็ก แต่เห็นหน้าเด็กคนนั้นก็ตอกย้ำว่าพ่อแกนอกใจแม่ ไม่สิ พ่อแกไม่ได้รักแม่อยู่แล้วจะเรียกว่านอกใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้แม่ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนไหนต้องมาเจอแบบแม่อีก ลูกอยากช่วยหนูหมิว เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าลูกไม่รักผ
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
Comments