พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้”
“เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ
เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด
“แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป”
“บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร
“เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่ครัวทำขนมหนวดมังกรให้ดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ คุณหนู! บ่าวชมท่านจากใจจริงไม่ได้เยินยอเพราะเห็นแก่กินแต่อย่างใด”
“เอาเถิด ข้าจะรับคำชมนั้นไว้ด้วยความรู้สึกขอบคุณก็แล้วกัน”
หากไม่ค่อยพบเจอคนงามเช่นบัณฑิตพวกนั้นก็คงคิดอยู่หรอกว่าคุณหนูซิวลู่หลินนั้นงดงาม แต่หากนำมาเทียบกับมารดาและพี่ใหญ่ของนาง สตรีผู้นั้นคล้ายจะดูจืดจางไปสักเล็กน้อย ยิ่งเพ่งพิศก็ยิ่งรู้สึกคุ้นชินสายตาไม่โดดเด่น
เพราะเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้วเมื่อถึงปลายยามโหย่ว (17.00-18.59) นางจึงแสร้งง่วงนอนเพื่อจะได้อยู่ตามลำพัง ง่ายต่อการลอบออกไปนอกจวน
กำแพงหรือนางก็ทุบบริเวณที่ผุพังเล็กน้อยให้เป็นโพรงใหญ่มากพอที่นางจะมุดออกไปได้ เนื่องจากมันง่ายกว่าการซ่อนบันไดไว้ทั้งในและนอกจวน
“พี่ชายอินเจ้าคะ”
“...” เงียบไร้เสียงตอบรับ
“ข้าทราบว่าพวกท่านกำลังเร้นกายเฝ้ามองข้าอยู่”
“...”
“หากพวกท่านไม่ออกมาข้าจะโกรธแล้วนะเจ้าคะ”
“...” เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบอยู่ มุมปากหยักจึงยกขึ้นยิ้มอย่างซุกซน
จะไปซุ่มดูพี่ใหญ่ หากมีคนของเขาติดตามมาด้วยความก็แตกหมดน่ะสิ ว่านางลอบเข้าหอชายงามเพื่อจับผิดพี่ชาย
‘เทพเซียนทั้งหลาย ได้โปรดดลบันดาลให้พี่ชายข้าไม่ได้เป็นต้วนซิ่วทีเถิด’ หวังว่านางจะไม่ได้เห็นภาพที่ชวนปวดใจหรอกนะ
เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่นางออกมาหาซื้อรองเท้าเพื่อใช้ใส่ในวันปักปิ่น นางได้แสร้งทำเป็นอยากนั่งรถม้าชมเมืองหลวง นางจึงทราบที่ตั้งของหอชายงามเจียวชู่ฉือแล้ว
แต่นางไม่คิดว่านอกจากจะมีสตรีวัยใกล้เคียงกับท่านแม่มาเที่ยวในสถานที่แห่งนี้แล้วยังมีบุรุษทั้งหนุ่มและแก่มากมายมาหาความสำราญในที่แห่งนี้
‘ข้าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันหรือไม่’ หากเข้าไปแล้วพบเจอพี่ใหญ่กำลังนัวเนียกับชายงาม นางจะทำเช่นไร นางจะทำใจยอมรับได้หรือไม่
‘เอ๊ะ! นั่นพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ’ ในขณะที่ฟ่านซีอิ๋งกำลังลังเลอยู่นั้น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งก็มองเห็นคุณชายใหญ่จวนฟ่านอยู่ที่บริเวณชั้นสาม
“คุณชายน้อยมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ยังคงมีเค้าลางความรูปงามอยู่บ้าง คาดว่าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่
“ข้าไม่อยากให้ใครพบเห็นว่ามาเที่ยวที่เช่นนี้ อยากขึ้นไปนั่งบนชั้นสาม ต้องทำเช่นไร” นางกล่าวพลางยัดเงินก้อนสีทองใส่มือบุรุษผู้นั้น
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะให้คนนำทางท่านไปที่ห้องด้านบน ส่วนชายงามคนของข้าน้อยจะพาไปให้ท่านเลือกในภายหลังขอรับ” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณหนูในห้องหอเช่นสตรีผู้นี้จะแหกกฎแล้วปลอมตัวมาเที่ยวในที่เช่นนี้
“ขอบคุณ” นางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินตามคนของหอชายงามขึ้นด้านบน
ระหว่างทางนางกวาดสายตามองไปทั่วพลางแสร้งใช้พัดโบกไปมาเล็กน้อยเพื่อซ่อนใบหน้าครึ่งล่างของตน ด้วยกลัวว่าจะพบเจอคนที่รู้จักนาง
“ข้าอยากได้ห้องนั้น” นางชี้ไปที่ห้องซึ่งอยู่ติดกับห้องที่พี่ชายเดินเข้าไป
“ขออภัยคุณชาย ห้องนั้นมีคนจองแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” นางกล่าวพลางเดินเข้าห้องตามหลังคนของหอชายงาม
“ชายงามที่นี่ทำสิ่งใดได้บ้าง”
“ชายงามของหอเรา เก่งกาจทั้งศาสตร์และศิลป์ขอรับ หากคุณชายอยากให้ทำสิ่งใดท่านเพียงแค่เอ่ยปากสั่ง”
“แล้วเรื่องร่วมหลับนอนเล่า”
“นั่นก็แล้วแต่ชายงามจะเป็นผู้ตัดสินใจขอรับ แต่หากท่านถูกชายงามที่ตนพึงพอใจปฏิเสธ ทางหอเราก็ไม่อาจใช้อำนาจบีบบังคับชายงามผู้นั้นได้ขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน”
.........................................
สตรีในห้องหอลอบมาเที่ยวหอชายงามแล้วเจ้าค่ะ
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว