“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน”
“ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ
เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน
‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้
‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด
อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ
“คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่งกาจและเชี่ยวชาญเพลงพิณขอรับ”
“เช่นนั้น เอาคนนั้น คนโน้น และคนนี้” นางชี้มั่ว ๆ ไปสามครั้ง ก่อนจะโยนก้อนเงินสีทองให้คนของหอไป
“ขอบคุณขอรับ แล้วเรื่องอาหาร?”
“เอาสุรามาหนึ่งไห อาหารขึ้นชื่อของที่นี่สักสี่อย่าง และชามข้าวนำมาเผื่อชายงามที่ข้าเลือกด้วย”
“คุณชายช่างใจกว้าง เช่นนั้นข้าน้อยจะรีบไปจัดการให้ขอรับ”
“ขอบคุณขอรับคุณชายที่เลือกพวกเรา” เป็นชายงามผู้หนึ่งกล่าว
“มิเป็นไร วันนี้ข้าอารมณ์ดีมากจึงอยากมีสหายร่ำสุรา”
“เช่นนั้นไว้ใจข้าน้อยได้เลยขอรับคุณชาย”
“ให้ข้าน้อยเริ่มบรรเลงเพลงพิณเลยดีหรือไม่ขอรับ”
“เชิญ” นางตอบรับแต่ในใจกลับครุ่นคิดวิธีจะออกไปจากห้องนี้
‘ใช่แล้ว! หากข้าจำไม่ผิดหน้าห้องทุกห้องมีกระถางต้นไม้ซึ่งมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากปลูกประดับทางเดินอยู่’ นางคิดว่าตัวเองเล็กพอที่จะถูกกระถางและต้นไม้นั้นบดบังได้
ชายงามบรรเลงพิณไปได้เพียงสองบทเพลงอาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
“พวกท่านมาพักกินข้าวก่อนเถิด ประเดี๋ยวอิ่มค่อยเล่นต่อ”
“ขอบคุณขอรับคุณชาย” ชายงามรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเลยสักครั้งที่จะเมตตายอมให้ชายงามเช่นพวกเขากินข้าวร่วมโต๊ะ
“ลงมือกินสิ รออันใดกันอยู่”
“ขะ ขอรับ”
“คุณชายช่างมีเมตตากับพวกเรายิ่งนัก” แม้จะเป็นคุณหนูปลอมตัวมาก็เถิด
“มิเป็นไร จะเจ้าหรือข้า ก็มีความเป็นคนไม่แตกต่าง พวกเจ้าอาจมีเหตุผลที่ต้องเข้ามาเป็นชายงามที่นี่แตกต่างกันไป แต่แล้วอย่างไร ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตนเอง วันนี้ข้ามาร่ำสุราที่นี่ ถือว่าทุกคนเป็นสหายของข้า มา ๆ ดื่มให้ข้า”
“ขอให้คุณชายปรารถนาสิ่งใดก็จงประสบความสำเร็จนะขอรับ”
“อวยพรดี ดื่ม” นางยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบซ่อนสีหน้าเมื่อความร้อนแรงของสุราไหลลงคอ ช่างบาดคอยิ่งนัก
“ขอให้คุณชายสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาวขอรับ”
“ขอให้คุณชายรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวงนะขอรับ”
“อวยพรดี รับไป” เพราะกลัวจะเสียเรื่องนางจึงเปลี่ยนจากการยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางหยิบเงินก้อนสีทองออกมาแจกอย่างมือเติบ
“ขอบคุณขอรับคุณชาย”
“อย่าได้เกรงใจ ข้าอยากปลดทุกข์ สามารถไปที่ใดได้”
“ให้ข้าน้อยไปส่งดีหรือไม่ขอรับ”
“มิต้อง ๆ เจ้าเพียงแค่บอกทาง”
“เมื่อเดินออกจากห้องไป เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือเดินไปจนสุดแล้วเลี้ยวขวาก็จะเห็นห้องปลดทุกข์ขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว นั่งกินข้าวกันตามสบายเถิด” นางกล่าวแล้วลุกยืนขึ้น
“ขอรับคุณชาย” ชายงามทั้งสามตอบรับพลางมองแม่นางน้อยผู้นี้ด้วยสายตาซาบซึ้ง
เมื่อประตูห้องปิดลงแล้ว นางกวาดสายตามองซ้ายขวาก่อนจะแสร้งเดินด้วยท่าทางเช่นคุณชายเจ้าสำราญ เมื่อไม่เห็นใครแล้วนางรีบพุ่งตัวเข้าไปซ่อนข้างกระถางต้นไม้
‘ช่างโชคดียิ่งนักมีรอยแยกอยู่ตรงนี้ด้วย’ นางคิดด้วยความดีใจก่อนจะเอาตาแนบลงบนผนัง
สิ่งที่เห็นอยู่ภายในทำให้ตัวนางค้างแข็ง เมื่อเห็นพี่ชายตนเองกำลังนั่งนิ่งให้ชายงามเอาใบหน้าซุกไซ้ตามลำคอด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
บรื๋อ! น่าขนลุกยิ่งนัก ‘สรุปแล้วเทพเซียนก็ไม่ช่วยข้าใช่หรือไม่’
หากพี่ใหญ่เป็นต้วนซิ่วเช่นนี้ นางจะหยุดยั้งความรักที่พี่ชายมอบให้สหายเช่นไรเพื่อไม่ให้โทษประหารชีวิตตกใส่หัวตระกูลฟ่าน
‘รักไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ได้รัก’ ความรักช่างเป็นสิ่งที่น่าปวดหัว
‘ในเมื่อรักไม่ได้ เช่นนั้นหากพี่ใหญ่รักคนอื่นเรื่องราวก็จบใช่หรือไม่’ รอยยิ้มปรากฏบนดวงหน้าหวานล้ำเมื่อคิดหาทางออกได้
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ
......................................
ยุคโบราณก็มีบาร์โฮสต์เด้อ
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว