‘อย่ามาคิดกลั่นแกล้งข้าเพื่อกลบเกลื่อนนะ ข้ายังจำภาพของท่านในหอชายงามได้ขึ้นใจ หน๊อย! กลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วคงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องกลับบ้านมาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าสินะ’ จึงโผล่หน้ามาเอาวันนี้
“คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” เป็นฟ่านเฉียนและฮูหยินแสดงความเคารพต่อสหายของบุตรชาย อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกตนเพราะเป็นถึงซื่อจื่อของอดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้
“ท่านน้าทั้งสองอย่าได้เกรงใจกันเลย เป็นข้าที่ต้องคารวะท่านทั้งสอง” เขาโค้งตัวคำนับบิดามารดาของสหายด้วยท่าทีนอบน้อม
“อย่าได้มากพิธีเลย” เป็นท่านเจ้ากรมยุติธรรมรีบประคองบุรุษที่สูงศักดิ์กว่า
“ท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้ซืออี้จะขอมาอยู่อาศัยที่จวนของเราเป็นการชั่วคราว”
‘พี่ใหญ่ ท่านหลงใหลสหายจนไม่อยากห่างเชียวหรือถึงได้ให้เขามาค้างอ้างแรมถึงที่จวน’ ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายเสียแล้ว
มิเช่นนั้นโทษประหารคงได้ตกใส่หัวคนตระกูลฟ่านเช่นในฝันร้ายของนาง
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เป็นฟ่านฮูหยินเอ่ยถาม
“ข้าไม่อยู่จวนหลายปี ตำหนักอ๋องไร้คนดูแลจึงทรุดโทรมลงไปมาก ข้าจึงอยากมาพักที่จวนฟ่านในระหว่างที่กำลังซ่อมแซมตำหนักขอรับ”
เจ้ากรมยุติธรรมและฟ่านฮูหยินมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา หากเป็นสหายของบุตรชายมาขอพักที่เรือนรับรองพวกเขาก็ไม่ขัดข้อง แต่หากชายสูงศักดิ์ผู้นี้เป็นต้วนซิ่วแล้วมาพักที่นี่เพราะไม่อาจแยกจากกันได้เล่า พวกเขาควรทำเช่นไร จะอนุญาตดีหรือไม่
“ขออภัยที่เสียมารยาทนะเจ้าคะ ข้าเพียงแต่สงสัยว่าชินอ๋องซื่อจื่อเป็นถึงหลานชายของฮ่องเต้ ในวังน่าจะมีที่พำนักที่สะดวกสบายยิ่งกว่าจวนเล็ก ๆ ของพวกเรา”
“ซีซี การเข้าออกวังหลวงหาได้สะดวกเช่นเข้าออกจวนฟ่านของพวกเรานะ อย่างไรเจ้าเมตตาสหายของพี่หน่อยเถิด ถือว่าเห็นแก่พี่” เป็นฟ่านไห่ถิงที่เอ่ยตอบคำถามของน้องสาว มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยพลางคิดว่าช่างสมเป็นน้องสาวของเขาเสียจริง
“แต่หากท่านน้าทั้งสองและซีอิ๋งไม่สะดวกใจที่ข้ามาขอพึ่งใบบุญ ข้าก็เข้าใจขอรับ” สีหน้าที่เศร้าสลดในพริบตาทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองหน้าเสีย
“ชินอ๋องซื่อจื่ออย่าได้กล่าวเช่นนั้น เหตุใดพวกข้าจะไม่ยินดีเล่า พ่อบ้านเยว่ จัดเรือนรับรองให้ชินอ๋องซื่อจื่อด้วย ขาดเหลือสิ่งใดให้รีบมาแจ้งข้า” เป็นเผิงจือชิ่วหรือ ฟ่านฮูหยินกล่าว
“ประเดี๋ยวข้าไปช่วยท่านลุงเยว่ตรวจดูความเรียบร้อยอีกทีดีกว่าขอรับ” ฟ่านไห่ถิงรีบสาวเท้าก้าวเดินตามหลังพ่อบ้านไป เรือนรับรองของจวนฟ่านมีมากมายหลายหลัง อย่างไรก็ต้องเลือกหลังที่อยู่ติดกำแพงที่สุด เวลาทำสิ่งใดจะได้สะดวก
“ขอบคุณขอรับที่ท่านน้าทั้งสองเมตตาข้า ซีอิ๋งเจ้าไม่รังเกียจใช่หรือไม่ หากพี่จะมาขออาศัยอยู่ที่จวนของเจ้า” บุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่ใหญ่มากนักหันมาเอ่ยถามนาง
‘หากข้าตอบว่ารังเกียจ ท่านพ่อท่านแม่คงไล่ทุบข้าจนหัวบวมปูด’ นางค่อนขอดในใจก่อนจะฉีกยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดให้เขา
“ท่านเป็นสหายของพี่ใหญ่ ข้าก็ต้องยินดีอยู่แล้วสิเจ้าคะ” มีคำตอบอื่นให้นางเลือกได้ด้วยหรือ
“เจ้าช่างน่าเอ็นดู เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้ายอมให้พี่เข้ามาอยู่อาศัยในจวน พี่จะไปเล่นเป็นเพื่อนเจ้าบ่อย ๆ เจ้าจะได้ไม่เหงา” เขาย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อสนทนากับนาง
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ข้าเกรงใจท่านยิ่งนัก เมื่อเติบใหญ่ชินอ๋องซื่อจื่อและพี่ใหญ่ต่างมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน ข้าไม่อยากรบกวนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ แต่พี่กลัวเจ้าจะเหงาจนลอบมุดรั้วออกไปเที่ยวหอชายงามอีก” น้ำเสียงที่กล่าวเบาลงพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“ซีอิ๋ง ชินอ๋องซื่อจื่อเมตตาเจ้า เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย” เป็นฟ่านฮูหยินกล่าว ท่าทางย่อตัวเพื่อสนทนากับน้องสาวสหายบ่งบอกถึงความเอ็นดูที่อีกฝ่ายมีให้
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“หากอยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกเมื่อใด มาหาพี่ที่เรือนรับรองได้ตลอดเวลา พี่ยินดีพาเจ้าไป เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะชินอ๋องซื่อจื่อ”
“ไม่เอา ๆ เรียกพี่ซืออี้เช่นเมื่อก่อนสิ”
“แต่ว่า...” นางตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่มาฉุกคิดดูอีกที หากสนิทสนมกันไว้ก็ดีไม่ใช่หรือ
ให้ตายสิ! ยามเปิดปากสนทนากับคนผู้นี้เมื่อใด นางรู้สึกอยากต่อต้านจนลืมตัวว่าต้องผูกมิตรอยู่เรื่อย
“ท่านน้าทั้งสองด้วยขอรับ อย่าเรียกซื่อจื่ออันใดเลย เรียกซืออี้เถิดขอรับ จะได้รู้สึกเหมือนข้าเป็นบุตรชายอีกคนของตระกูลฟ่าน”
“หากท่านต้องการเช่นนั้นพวกน้าคงต้องเสียมารยาทแล้ว”
“ไหนซีอิ๋ง ลองเรียกพี่สิ”
“พี่ซืออี้” นางแสร้งกล่าวพลางก้มหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่คุ้นชิน แท้จริงเพียงอยากซ่อนสายตาที่กลอกไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
“ดีมาก” เขายกมือลูบผมนางเบา ๆ ก่อนจะหันไปสนทนากับบิดามารดาของนางต่อ
“ตายจริงพวกเราเสียมารยาทแล้ว เชิญไปสนทนากันต่อด้านในเถิด” เป็นฟ่านฮูหยินกล่าวก่อนจะเชื้อเชิญให้ผู้สูงศักดิ์เข้าจวน
ฟ่านซีอิ๋งมองตามบิดามารดาและสหายของพี่ชายก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มเมื่อคิดถึงฝันร้ายที่ไม่อยากให้กลายเป็นจริงนั่น
‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ใหญ่จะหลงใหลจนยอมลงมือทำร้ายผู้อื่นเพื่อความรักเช่นนั้น’ นางคงต้องรีบมองหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ใหญ่แล้ว
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว