“พวกเราก็ต้องขอโทษเจ้าด้วยเช่นกัน” เมื่อเห็นกลุ่มคุณชายทั้งหลายเอ่ยวาจา กลุ่มสตรีก็ทำเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน อย่าได้ทำเช่นนี้เราเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ” กล่าวจบก็ฉีกยิ้มอ่อนโยนคล้ายไม่ถือสา ทั้งที่แท้จริงอยากสะบัดอาภรณ์ใส่แล้วเดินหนียิ่งนัก
“เจ้าช่างจิตใจดีงาม”
“พวกเจ้ายกยอจนข้าจะลอยขึ้นไปหาเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว”
“เจ้าก็กล่าววาจาเกินไป”
“ข้าว่าจะถามเจ้าอยู่ ปิ่นนั่นใครมอบให้เจ้าหรือ งดงามยิ่งนัก”
“ปิ่นอันไหนหรือ” ยามนี้นางปักปิ่นอยู่สองอัน คือที่บิดามารดามอบให้ และที่พี่ใหญ่มอบให้
“ปิ่นที่มีไข่มุกสีชาด”
“อ๋อ! เป็นพี่ใหญ่น่ะที่มอบให้ข้า”
“งดงามยิ่งนัก ลวดลายของปิ่นก็งดงามอ่อนช้อยคล้ายฝีมือของช่างหลวง”
“ช่างหลวงหรือเจ้าคะ” เป็นฟ่านเจียงหรูเอ่ยถาม
“ช่างหลวงคือช่างที่ทำเครื่องประดับให้เชื้อพระวงศ์น่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นของจากวังหลวงทุกอย่างล้วนประณีตและสูงค่า”
‘ก็คงเป็นพี่ชายที่ขอร้องให้สหายจัดหามาให้สินะ’ ฟ่านซีอิ๋งคิด มุมปากพลางยกยิ้มอย่างมีความสุข
“พี่ไห่ถิงช่างเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก พี่เจียงหัวหากถึงคราวข้าปักปิ่น ท่านมอบปิ่นเช่นนี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่”
“อะ เอ่อ...พี่จะพยายาม” ฟ่านเจียงหัวกล่าวอย่างขอไปที ช่างจากวังหลวงใครจะสามารถเรียกใช้ได้ง่าย ๆ กันเล่า ต่อให้เป็นช่างที่เกษียณตัวเองกลับบ้านเกิดไปแล้ว ก็ไม่อาจเรียกใช้งานได้หากไม่ใช่เชื้อพระวงศ์
ในงานปักปิ่นไม่เพียงมีแต่คุณหนูคุณชายวัยไล่เลี่ยกันที่เอ่ยชื่นชมฟ่านซีอิ๋ง แม้แต่บรรดาท่านลุงท่านป้า ท่านน้าท่านอาก็ยังเอ่ยปากชมความงดงามของนางที่นับวันจะงามเลิศล้ำไม่แพ้มารดา
เพราะคำชมที่เป็นไปในทางที่ดีเหล่านั้นทำให้วันนี้คุณหนูฟ่านที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมีความสุขยิ่งนัก
สามวันต่อมาฟ่านซีอิ๋งที่ใต้ตาดำคล้ำเพราะพยายามฝืนตัวไม่หลับไม่นอน จึงไปหาท่านลุงท่านป้าแม่ครัวตั้งแต่เช้า และออดอ้อนจนได้ยุเหวียนเซียว[1]ไส้งาดำขนมหวานที่พี่ชายโปรดปรานยิ่งนักมาหนึ่งถ้วยใหญ่
หลังจากงานปักปิ่นที่เต็มไปด้วยความสุขนั้น นางก็คิดว่ายามเข้านอนจะนอนฝันดี แต่ที่ใดได้ฝันร้ายเหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอนนางเช่นเดิม คล้ายตอกย้ำให้นางเร่งรีบหาวิธีแก้ไข ทำให้นางที่ไม่อยากฝันร้าย ไม่กล้าข่มตานอนหลับ
‘พี่ใหญ่เป็นต้วนซิ่วก็เป็นเรื่องจริง ทั้งยังพาสหายเข้ามาอยู่ร่วมจวนเดียวกันอีก ข้าต้องรีบผูกมิตรกับชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นไปพร้อม ๆ กับหาบุรุษสักคนมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายใช่หรือไม่’
นางคิดระหว่างที่ก้าวเดินไปที่เรือนของพี่ชาย ก่อนจะลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คล้ายเรียกขวัญกำลังใจของตน
“คุณชายเจ้าคะ คุณหนูมาขอพบเจ้าค่ะ” เป็นซูฉีที่ทำหน้าที่บอกกล่าวคนที่อยู่ในเรือน
‘เข้ามาได้’ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาต สาวใช้คนสนิทของนางก็ทำหน้าที่เปิดประตู
“ขออภัยที่ข้ามารบกวนพี่ใหญ่ตั้งแต่เช้า”
“เจ้าเป็นน้องสาวพี่ มาวิ่งเล่นในเรือนของพี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่าได้เรียกว่ารบกวนเลย”
“พอดีวันนี้ท่านป้าแม่ครัวใจดีทำยุเหวียนเซียวไส้งาดำให้ข้าหม้อใหญ่ ข้าจำได้ว่าพี่ใหญ่ชอบกินจึงยกมาแบ่งให้เจ้าค่ะ”
“ดีจริง พี่กำลังอยากกินอยู่พอดี ซีซีช่างรู้ใจพี่”
“พี่ซืออี้ไม่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามหลังจากกวาดสายตามองแล้วพบว่าในเรือนปราศจากเงาของบุรุษผู้นั้น
“เขาพักอยู่เรือนรับรอง ก็ต้องอยู่ที่นั่นสิ จะมาอยู่ที่เรือนของพี่ได้อย่างไร” ฟ่านไห่ถิงวางพู่กันในมือก่อนจะลุกไปหาน้องสาวที่ตักยุเหวียนเซียวใส่ชามเล็ก
“ที่ผ่านมาเห็นท่านที่ไหน ข้ามักจะเห็นพี่ซืออี้ที่นั่น ข้าก็คิดว่าท่านทั้งสองจะตัวติดกันตลอดเวลาเสียอีก”
“หากอยากพบพี่เหตุใดถึงไม่ไปหาที่เรือนรับรองกัน”
‘ใครอยากพบท่านกัน ข้าเพียงแต่อยากหลอกถามพี่ใหญ่ดูว่าพวกท่านเป็นคู่ต้วนซิ่วกันหรือไม่’ เนื่องจากนางยืนหันหลังให้ประตูอีกฝ่ายจึงไม่เห็นว่านางลอบกลอกตาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่กลับเป็นคุณชายฟ่านเสียอีกที่รู้สึกขบขันกับสีหน้าของน้องสาว
“หึ! ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก”
“ว่าอย่างไร ซีอิ๋งเจ้าอยากพบพี่ เหตุใดไม่ไปหาที่เรือนรับรอง มาถามเอากับไห่ถิงก็ไม่ได้คำตอบหรอก”
“เช่นนั้นหากครั้งหน้าข้าอยากพบท่าน ข้าจะไปหาที่เรือนรับรองนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางส่งยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดให้อีกฝ่าย
“แล้วพี่จะรอ”
“ซืออี้ เจ้าจะล่อลวงสตรีที่ใดก็เชิญตามสบาย แต่อย่ามาล่อลวงน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่”
.........................
เผลอเป็นไม่ได้เด้อ
ล่อลวงน้องสาวของสหายอีกแล้ว
[1] บัวลอย
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว