ท่าทางห่างไกลจากการเป็นสตรีที่กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้มุมปากของชินอ๋องซื่อจื่อยกยิ้มยามมองตามหลังนางไปก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาสนทนากับสหาย
หลังจากออกมาจากเรือนของพี่ชายแล้วฟ่านซีอิ๋งก็ครุ่นคิดถึงความสนิทสนมของพี่ชายและสหาย
‘เท่าที่สังเกตยามที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ดูไม่ผิดปกติอันใด’
ท่าทีของพี่ใหญ่ที่มีต่อสหายก็ไม่ผิดแปลกอันใดมิใช่หรือ ‘โอ๊ย! ยิ่งคิดยิ่งสับสน’
“คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณหนูของตนทำท่าคล้ายจะตีอกชกหัวตนเองทันทีที่กลับมาถึงเรือน
“ไม่มีอันใด”
“คุณหนูกำลังเบื่อหน่ายหรือเจ้าคะ”
‘ข้าน่ะหรือจะเบื่อหน่าย แค่พยายามคิดหาทางไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก’
“เจ้าว่าหลังจากที่ผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว คุณหนูทั้งหลายเขาทำสิ่งใดกัน”
“ก็คงเป็นการฝึกศาสตร์ทั้งสี่ให้เชี่ยวชาญ เรียนมารยาทให้งดงามไร้ที่ติ ยามเข้าร่วมงานเลี้ยงจะได้ต้องตาบุรุษเลิศล้ำสักคน ทั้งยังต้องฝึกเข้าครัวทำอาหาร...”
“พอ ๆ เจ้าเลิกพูดเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นได้แล้ว” เอาเวลาไปนอนกลางวันไม่ดีกว่าหรือ
“เรื่องน่าเบื่อหน่ายอันใดเจ้าคะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณหนูก็ควรทำเช่นกันนะเจ้าคะ”
“ศาสตร์ทั้งสี่ข้าล้วนเชี่ยวชาญแล้ว แม้จะไม่ถึงกับเก่งกาจแต่ทว่าก็ไม่มีใครกล้ามาดูแคลนได้” มีมารดาเป็นถึงอดีตหญิงงามอันดับหนึ่ง เพียบพร้อมรอบด้าน มีหรือบุตรสาวเช่นนางจะไม่ถูกฝึกศาสตร์ทั้งสี่ตั้งแต่เด็ก
“แต่อย่างไรก็ต้องฝึกฝนนะเจ้าคะ”
“เรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนั้นเอาไว้ก่อนเถิด อย่างไรข้าก็ไม่คิดจะออกเรือนในเร็ววันนี้หรอก” หรือจนกว่าจะจัดการเรื่องราวไม่ให้เป็นไปตามความฝันได้
“คุณหนู!”
“เจ้าอยากไปทำสิ่งใดก็ไปทำเถิด ข้าจะงีบเสียหน่อย นอนไม่หลับมาหลายคืน ใต้ตาข้าดำคล้ำคล้ายตัวสงเมา[1]ยิ่งนัก” นางล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนตั่งตัวใหญ่ที่นางชื่นชอบ
“ก็ได้เจ้าค่ะ” ซูฉีที่เห็นสีหน้าคุณหนูคล้ายคนนอนไม่เต็มอิ่มจริง จึงปล่อยให้คุณหนูได้นอนพักที่ตั่งตัวใหญ่ข้างชานเรือนที่มีสวนดอกไม้และต้นไม้ร่มรื่นแต่โดยดี
“เป็นคุณหนู มีชีวิตสุขสบาย ใครจะอยากรีบแต่งไปเป็นฮูหยินรับใช้ผู้อื่นกันเล่า” เสียงพึมพำดังออกมาจากปากของสตรีที่นอนหลับตาอยู่
นานกว่าชั่วหนึ่งก้านธูปใกล้ตั่งที่คุณหนูเพียงคนเดียวของจวนนอนอยู่ก็ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่ง
‘ช่างนอนหลับได้สบายใจเสียจริง’ ไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายใด ๆ หากเขาเป็นคนไม่ดีขึ้นมา สตรีผู้นี้คงตายโดยไม่รู้ตัว
‘ไม่ว่ายามใดข้าก็ยากจะละสายตาไปจากเจ้า’ ยามหลับว่าน่ามองแล้ว ยามตื่นกลับดูมีชีวิตชีวามากกว่า สตรีผู้นี้ทั้งซุกซนและดื้อรั้นแต่ทว่าบางครั้งก็รู้ความ คงเพราะเป็นเช่นนั้นนางถึงดึงดูดสายตาของเขาได้
เมื่อเห็นลูกน้องของตนส่งสัญญาณบางอย่าง เขาก็เก็บผ้าห่มที่ตกลงไปกองบนพื้นขึ้นมาห่มให้นางใหม่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาจากไปอย่างเงียบ ๆ
“ว่าอย่างไร” เพราะสหายก็มีวรยุทธ์เช่นกัน เขาจึงต้องเรียกคนของตนมาสนทนาไกลจากจวนฟ่าน
“พวกเราได้อิ๋งหั่วฉง[2]มาแล้วขอรับ”
“คืนนี้ปลายยามซวี (19.00-20.59) เจ้านำมันไปปล่อยที่ท้ายจวนฟ่าน บริเวณป่าไผ่ ให้ปล่อยเพียงส่วนหนึ่งที่เหลือขังไว้ก่อน”
“ขอรับ”
“แล้วให้ปล่อยยามที่มีสาวใช้เดินผ่านไป เรื่องนี้จะได้ดังไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว” ในเมืองหลวงนั้นหาดูอิ๋งหั่วฉงได้ยากยิ่ง ดังนั้นหากใครมาเห็นย่อมดีใจ
“ขอรับ”
“หากมีสิ่งใดเพิ่มเติมข้าจะส่งสัญญาณเรียกเจ้า ไปได้”
“ขอรับ” เมื่อองครักษ์เงาของตนเร้นกายหายไปแล้ว เขาก็ใช้วิชาตัวเบากลับไปที่จวนฟ่านเช่นกัน
คล้อยหลังผู้เป็นนายไม่นานนักองครักษ์ที่ช่วงหลัง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเร้นกายปกป้องท่านอ๋องน้อยอย่างเดียว ก็ปรากฏกายขึ้น
“พวกท่านว่าเหตุใดท่านอ๋องน้อยถึงให้พวกเราไปจับอิ๋งหั่วฉงมามากมายเช่นนั้น”
“เจ้าก็ถามไม่คิดจำไม่ได้หรือที่จือหม่ากับจือหมิงต้องนำไข่มุกเลือดไปเยือนเมืองลู่หลิงเพื่อไปหาอดีตช่างหลวงมากฝีมือผู้นั้นแล้วรีบเร่งนำปิ่นอันนั้นกลับมาภายในสองวัน” เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่รีบเร่งยิ่งนัก หากไม่ใช่ยอดฝีมือ มีหรือช่างผู้นั้นจะสามารถทำปิ่นได้ภายในหนึ่งวัน
“ข้าจำได้แล้วที่ต้องเสียม้าไปเกือบสิบตัวใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง”
“เรื่องอิ๋งหั่วฉงนี่ก็เช่นกัน คงหวังจะเอาใจคุณหนูฟ่าน”
“ท่านอ๋องน้อยจะเกี้ยวพาสตรีทั้งที จะธรรมดาสามัญได้อย่างไร”
“พวกเจ้าก็ทำใจเถิด ท่านอ๋องน้อยคงจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะได้ตบแต่งกับคุณหนูฟ่าน”
“ข้าว่าคุณหนูฟ่านยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ากำลังถูกท่านอ๋องน้อยหมายหัว เอ่อ...ข้าหมายถึงหมายตา”
“นินทาท่านอ๋องน้อยกันอีกแล้ว ประเดี๋ยวท่านอ๋องน้อยทรงทราบก็โดนลงโทษอีกหรอก” เป็นจือไห่ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาองครักษ์แซ่จือตักเตือน
“ขอโทษขอรับ” บุรุษแซ่จือทั้งหลายเอ่ยเสียงอ่อยพลางเร้นกายหายไปหมด
“เจ้าพวกนี้ไม่เข็ดหลาบกันเลย ท่านอ๋องน้อยจะเกี้ยวพาสตรีทั้งทีก็ทุ่มเทให้เหลือเกิน” เห็นแววกลัว เอ่อ...เกรงใจพระชายามาแต่ไกล
[1] หมีแพนด้า
[2] หิ่งห้อย
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว