ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้
มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรง
ขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถ
ทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง
“ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้”
“แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ”
เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ!
“นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่กำแพงเมืองหลวงด้วย!”
เมื่อจือฮวนสนมคนโปรดของเหลียงอ๋องสั่งการจบ ก็เหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องนองไปด้วยเลือด ฝ่ายขันทีห่าวรับคำสั่งแข็งขัน จากนั้นลูกธนูก็ไม่พลาดเป้าพุ่งเข้าใส่ที่หน้าท้องเหวินซืออี้ ส่วนคนของเซียวหัวเฟิงที่สั่งไว้คุ้มกันที่นี่ ต่างจบชีวิตลงทีละคน โดยไม่อาจช่วยเหลือเจ้าสาวได้
เมื่อธนูปักเข้าร่าง หญิงสาวนั้นสั่นสะท้าน อนิจจานางไม่อาจมีกำลังตีกลองได้อีก นางไม่ได้เจ็บปวดแค่บาดแผล ทว่าลูกธนูอาบยาพิษ หญิงสาวหวีดร้องลั่น ผมบนศีรษะนางค่อยๆ เปลี่ยนสี จากดำขลับกลายเป็นขาวดั่งหิมะ ยามนี้ทั่วร่างเย็นเยียบ ขยับไปทางไหนก็ลำบาก แต่เหวินซืออี้จะอ่อนแออีกไม่ได้ แม้เจ็บเจียนตาย แต่นางอยากใช้ร่างกายและวิญญาณให้เกิดประโยชน์ เหวินซืออี้รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย พาตนเองปีนขึ้นไปบนกำแพงป้อมสังเกตการณ์จนสำเร็จ
ยามนั้นใบหน้า มารดา บิดา และคนที่รักนางฉายขึ้นในห้วงความคิด ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังให้ได้ยิน คือเสียงที่นางคิดถึงเสมอ
“อี้เอ๋อร์... เจ้าเป็นคนหัวอ่อน... จงจำไว้ ความรักคือดาบอาบยาพิษเล่มหนึ่ง หากใช้ไม่เป็น ก็รังแต่จะทำร้ายทั้งเจ้าและคู่ชีวิต”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นของซือฝู... หรืออาจารย์เฉิง”
เขาเป็นคนที่สอนนางหลายสิ่ง คือผู้มากด้วยความรู้ แต่เข้มงวดอย่างน่าเบื่อ ทั้งที่อาจกล่าวได้ว่าเฉิงเซ่าเทียน คือคนที่ทำให้ดรุณีน้อยหัวใจเต้นแรงเมื่อพบหน้า แต่นางเยาว์วัย ทั้งการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ไฉนจะข้ามขั้นไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ จวบจนนางได้พบกับเซียวหัวเฟิงที่เป็นลูกบุญธรรมอีกฝ่าย เขาติดตามเฉิงเซ่าเทียนมาด้วย หัวใจและดวงตาของเหวิน
ซืออี้ผู้โง่เขลาก็ไม่เหลียวแลผู้ใด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นางตัดใจจากเฉิงเซ่าเทียนสำเร็จ!
“ซือฝู ท่านจะสั่งสอนสิ่งใดศิษย์ผู้นี้อีกหรือ”
เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นอบอุ่น และส่งเสริมให้นางมีพลังเสมอ ผิดแต่เหวินซืออี้ไม่ชอบมอง เป็นเพราะลึกๆ นางกลัวตนจะหลงรักอีกฝ่าย
“ชาตินี้ศิษย์ปัญญาทึบ ซือฝูสั่งสอนสิ่งใด ก็ไม่เข้าหัวสักอย่าง สุดท้ายยังทำให้หลายชีวิตต้องจากไปอย่างทรมาน... ซือฝู เหตุใดท่านถึงไม่อบรมศิษย์ให้หนักกว่านี้ ให้ข้าเรียนแค่เขียนอักษร และวาดภาพ เห็นหรือไม่ผลลัพธ์ออกมาเช่นไร สุดท้ายก็ไม่อาจมีไหวพริบมากพอที่จะทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ทั้งหมดที่ท่านลงแรงไป มิเท่าส่งเสริมให้ข้ามาตายอย่างไร้ค่าหรอกหรือ”
นางตัดพ้อ แต่เขาก็ยังยิ้มกลับมาให้เช่นเดิม
“เดินทางไกลครั้งนี้ ศิษย์กลัวหรือเกิน... ซือฝู อย่าลืมเขียนชื่อสิบสามไว้ที่กับรุ่นพี่ในสำนักศึกษา ยามนี้เหวินซืออี้ขอล่วงหน้าไปก่อน...”
หญิงสาวพร่ำเพ้อได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องหนาวเหน็บทั้งร่าง และไม่ทันทำสิ่งใดต่อ ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งปักที่ลำคอนาง เลือดสดๆ ไหลทะลึก ความเจ็บปวดทวีคูณกว่าเดิม นางหายใจไม่ออก และขยับร่างส่วนบนไม่ได้
“บัดซบ ชีวิตของเหวินซืออี้... ต้องมาสิ้นลงในเวลานี้ ข้าอายุยังน้อย และเด็กในท้องยังต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ”
ร่างเหวินซืออี้โอนเอนไปมา และไร้กำลังทรงตัวได้อีก
ยามนั้นนางมองไปยังศัตรูของตน เป็นศัตรูที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปสร้างความแค้นให้พวกเขาตั้งแต่เมื่อใด
ทั้งพระสนมจือ ขันทีห่าว และอีกหลายชีวิตที่ยืนหัวเราะเมื่อเห็นนางได้รับความทุกข์ทรมาน
เหวินซืออี้พยายามกลั้นน้ำตา และไม่มีวันที่นางจะไม่ร้องไห้ หรือขอชีวิตจากพวกมัน!
“หึ... อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ได้ใช้ชีวิตนี้ เป็นประโยชน์ต่อสกุลเหวินบ้าง ข้อความสุดท้ายนี้ หวังว่าข้าจะรักษาชีวิตคนที่ข้ารักไว้ได้สักคน หากชาติหน้ามีจริง... ข้าไม่ขอเกิดเป็นเหวินซืออี้แต่ขอให้ข้ามากด้วยวาสนา มีปัญหาหลักแหลม มากด้วยไหวพริบ และได้มีทายาทเป็นของตนสักคน”
ชั่วอึดใจ ร่างงดงามในชุดเจ้าสาวก็ล่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ยามนั้น เลือดไม่ได้ไหลแค่จากศีรษะ หากเบื้องล่าง ก้อนเนื้อเล็กๆ ในท้องก็จบชีวิตไปพร้อมเหวินซืออี้
และฝ่ายนางกลั่นแกล้งเขาคืน เรื่องนี้คงกล่าวได้เช่นนั้น “น้องหญิง... เจ้ากำลังท้าทายข้า” เขาบอกอย่างนั้น แล้วร่วมมือกับเหวินมู่ถังพานางลงไปแช่น้ำพุร้อน ที่อุ่นกำลังดี ยามนี้นางถูกอุ้มและหันหน้าเผชิญกับเซี่ยสิงหาวโดยที่ความแข็งขันอยู่ในกลีบสวาท ด้านหลังเป็นเหวินมู่ถังที่อุ้มนางเอาไว้ เขาสอดแขนไว้ใต้ข้อพับขาทั้งสองข้างของนาง ดังนั้นเนินเนื้อสาวจึงประจักษ์ตรงหน้าเซี่ยเหวินถัง และเขากำลังเสือกแก่นกายเข้าออกด้วยความสำราญใจ ส่วนทางด้านหลัง จมูกกับปากของเหวินมู่ถังก็ไม่หยุดที่จะเล่นสนุกกับผิวกายนาง ดังนั้นอวี้เพ่ยเอ๋อร์จึงเดี๋ยวครางเดี๋ยวส่งคำสบถอย่างลืมตัว “หาวต้าเกอ ทะ ท่าน... อยากพ่นน้ำใส่ข้าหรือไม่ ทั้งข้างในนั้น ที่ใบหน้า แล้วก็แตกล้นปาก” เซี่ยสิงหาวไม่ตอบ หากเป็นเหวินมู่ถังที่ตำหนินางว่า “คนมักมาก... ยามที่ข้าทิ่มแทงเพ่ยเอ๋อร์ ไฉนถึงสำออย และร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเป็นเขา ใต้เท้าเซี่ย เจ้ากับครวญครางร้องขอให้เขาทำสิ่งต่างๆ ไม่หยุดปาก” อวี้เพ่ยเอ๋อร์อับอาย และต้องยอมรับแต่โดยดีว่า ของลับเหวินมู่ถังใหญ่เกินไป อีกทั้งเขาใช้แรงราวกับม้
อวี้เพ่ยเอ๋อร์กำลังหัวหมุน เมื่อนางลงจากม้าตัวโตได้ก็ถูกจับจูงมือมายังบ่อน้ำพุร้อน คราแรกเซี่ยสิงหาวจะอุ้มนาง แต่หญิงสาวอยากเดินชมบรรยากาศไปด้วย และยามนี้เป็นเวลาเท่าใด ฟ้ามืดแล้วแต่มีแสงสว่างจากดวงจันทร์นำทาง และนางภาวนาว่า ขอไม่ให้มีผู้ใดมาพบเห็นนาง ด้วยกำลังถูกคนตัวสูงที่แสนหล่อเหลาเอาอกเอาใจสารพัด มือเขาสัมผัสเรือนร่างนางอย่างสิเน่หา จมูกก็ซุกไซ้ซอกคอ ติ่งหู ก้าวไปได้อีกเล็กน้อย ก็รั้งเอวนางไว้แล้วบดเบียดริมฝีปาก พร้อมกับสิ่งลิ้นสากร้อนเข้าไปกวาดข้างใน อวี้เพ่ยเอ๋อร์ร้อนฉ่า นางครางเสียงหวาน และบีบท่อนแขนกำยำของเขาบอกให้รู้ว่า นางก็ปรารถนาจะปรนนิบัติเขาเช่นกัน ซึ่งปกติเขาไม่ได้หวานกับนางเช่นนี้ ไม่มีการเล้าโลมที่ชวนให้สั่นสะท้าน หากยามนี้เซี่ยสิงหาวเปลี่ยนไป เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มที่พบหญิงสาวถูกใจ และกำลังจะมีครั้งแรกกับนาง บุรุษรูปงามตังสูง ใบหน้าอ่อนกว่าวัยมาก ยามนี้หากนางบอกว่ากำลังคลั่งเขา ก็คงไม่เกินเลยสักนิด โอ้ มือเขา ปากนุ่มนิ่ม แล้วก็ท่อนลำที่ผงาดล้ำนั้น ทำให้นางสะท้านไปทั้งร่าง เซี่ยสิงหาวไม่สนใจเสื้อผ้าของตน เขาถอดมันออก และ
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ถูกส่งตัวออกจากพิธีบรวงสรวงโดยเป็นคำสั่งของม่านกุ้ยหนิง ไม่มีคนของนางติดตามมา อันที่จริงหญิงสาวห่วงเหลียวจูและฉีหนวน อย่างไรพวกนางก็ให้ความช่วยเหลืออวี้เพ่ยเอ๋อร์ในช่วงที่อยู่จวนเซี่ยเป็นอย่างดี ในช่วงที่กำลังจะถูกคลุมศีรษะและจับขึ้นรถม้า นางได้เห็นเหลียวจูพอดี ฝ่ายนั้นได้ส่งสัญญาณบางอย่างมา ซึ่งแปลความหมายได้ว่า แม่บ้านกับสาวใช้จะปลอดภัยแน่นอน รถม้าเคลื่อนออกมาไกล ด้วยถูกผ้าคลุมศีรษะเอาไว้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์จึงยากคาดเดาได้ว่าตนอยู่ที่ใด เวลาก็ไม่แน่ชัด หากประเมินว่าตะวันคงตกดินแล้ว กระทั่งนางถูกพาตัวลงจากรถม้า สถานที่แห่งนั้นวังเวง เงียบ ทั้งมีอากาศเย็นชื้น ฝ่ายนางไม่อาจคาดเดาสิ่งใด จิตใจหวั่นวิตก นางเมื่อยทั้งตัว และยังหิว เรื่องที่เกิดขึ้นมันช่วยไม่ได้ที่จะทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์ปลงต่อชีวิต “แม่นาง มีสิ่งใดต้องการสั่งเสียหรือไม่” เสียงที่ดังขึ้น แม้จะชวนให้ขวัญเสีย แต่อวี้เพ่ยเอ๋อร์ผ่านหลายสิ่งมาในเวลาจำกัด เรียกได้ว่าหากต้องสิ้นลมหายใจตอนนี้ก็คงไม่เสียดาย อีกอย่างชายพวกนี้ มองอย่างไรก็ประเมินได้ว่า เป็นเพียงลูกน้องชั้นปลายแถว คงทำได้แค่ขู่เท่า
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่รู้จักอ๋องเสอ คนผู้นี้คือม่านเสอ และจู่ๆ ก็ก้าวตามติดนาง นับแต่หญิงสาวแยกตัวมาหามุมสงบๆ พักใจ พอจะกลับเข้าไปพื้นที่งาน เขากางมือทั้งสองข้างแสดงท่าทางอยากขัดขวางนางเอาไว้ “เป็นเจ้านั่นเอง นึกไม่ถึงว่าจะงดงามเช่นนี้” “ขออภัยด้วย ข้าต้องเข้าไปรอสามีด้านใน ไม่สะดวกคุยกับผู้ใดทั้งสิ้น” “เหลวไหล ข้าคนนี้ กำลังจะเป็นสามีใหม่ให้เจ้า เยี่ยงนี้ยังจะเสนอหน้าไปที่อื่นได้หรือ” ม่านเสอกล่าวอย่างนั้น และพออวี้เพ่ยเอ๋อร์มองไปเบื้องหลังต้น เห็นว่าแม่บ้านเหลียวถูกจับตัวไว้ อีกทั้งใบหน้านางมีรอยแดงปื้นใหญ่ คนพวกนี้ใช้กำลังทำร้ายคนของนาง แสดงความป่าเถื่อนยิ่งนัก “อย่าทำเรื่องให้ใหญ่โตเลย ข้ามาพิธีบรวงสรวงในนามของสามี และไม่คิดก่อเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น” “หึๆ ๆ เจ้าคงเป็นคนเมืองอื่น ถึงไม่รู้ว่างานนี้ มีการจับคู่ สร้างกระโจมไว้ให้พลอดรัก และต่อขาเติมแขนให้เด็กๆ เกิดมาไวๆ แคว้นซีฉางนิยมให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ดังนั้นการจัดงานขึ้นก็เพื่อส่งเสริมเรื่องนี้” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่ได้ศึกษาพิธีบรวงสรวงให้ละเอียด แต่นางพอจะคาดเดาได้ว่า การมีกระโจมใหญ่น้
อวิ๋นเพ่ยเอ๋อร์นึกว่าตนฝันไป ภาพเสียง เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระคนเสียวซ่าน และนางทำลงไปอย่างเต็มใจ ทั้งยังส่งเสียงหวานๆ เรียกสามีบ้าง สลับมือปราบเหวินบ้าง ซึ่งทั้งสองคนต่างมอบความสุขให้นางอย่างล้นทะลัก ทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นเพียงการสุขสมภายนอก ไม่มีการสอดใส่ ด้วยนางยังไม่พร้อมที่จะกระทำเรื่องซึ่งดูเกินเลยไปสักหน่อย ถึงอย่างนั้นนางก็กลืนน้ำของบุรุษทั้งสองคนที่ไหลทะลักราวกับเขื่อนแตกด้วยความเร่าร้อน ซึ่งคนทั้งคู่ต่างพึงใจที่นางยอมปรนนิบัติพวกเขาแบบพร้อมกัน โดยไร้ความลำเอียง ตอนนี้นางตรวจสอบตนเองทั้งเรื่องเสื้อผ้า และสิ่งของที่จะใช้มอบให้คนสำคัญสำหรับงานบรวงสรวงประจำปีที่อยู่นอกเมืองเรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆ รู้สึกว่าตนกลัวหลายสิ่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น คงเพราะการที่เซี่ยสิงหาวบอกว่า นางกำลังตกเป็นเป้าของคนไม่หวังดี และหวังยืมมือทำลายชื่อเสียงเขา พวกนั้นก็คือคนสกุลม่าน “ผู้น้อยตกอยู่ในอันตรายอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ” นางถาม ใจคอเหมือนจะหล่นหายไปในตอนนั้น “อย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร และจ้าวรั่วรั่วตัวจริง ได้จากไปแล้ว ส่วนคร
เหวินมู่ถังได้พบเรื่องที่เป็นเบาะแสให้เขาต้องตามสืบ คนผู้นั้นเขาเคยพบหน้า และอีกฝ่ายแสดงท่าทางมีพิรุธ กระทั่งตามไปอย่างใกล้ชิด จึงเห็นว่าเป็นชิงถง ชายที่ใช้ฉากหน้าปิดบังว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา หากแท้จริงคือโจรชั่ว และมือสังหารที่รับจ้างงานทั่วไป ฝ่ายชิงถงไม่รู้ว่าตนถูกติดตาม เขารออยู่ประตูด้านข้างเรือนนอกสกุลเซี่ย ก่อนหน้านั้นให้คนที่เป็นหูเป็นตาในจวนเซี่ย กระทั่งรู้ว่า อวี้เพ่ยเอ๋อร์ออกมาเยี่ยมแม่เล็กของเซี่ยสิงหาว ตามคำสั่งอีกฝ่าย เขารออยู่สักพักใหญ่ ก็เตรียมเข้าไปข้างใน ด้วยการปลอมตัวเป็นคนงาน กระทั่งได้พบอวี้เพ่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ห้องรับรองเพียงลำพัง “เสี่ยวเอ๋อร์!” น้ำเสียงชิงถงทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์หัวใจหล่นหาย นางไม่อาจทราบความต้องการอีกฝ่าย และตั้งแต่เขาใช้มีดแทงเข้าที่หัวไหล่นาง ความเชื่อใจได้หายไป “พี่ถง... ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงสร้างความลำบากแก่ข้าถึงเพียงนี้” “หลายวันที่ผ่านมา เจ้ามีเรื่องใดแจ้งแก่ข้าบ้าง” ชิงถงไม่ได้สนใจนาง