เสียงการเคลื่อนไหวในครัวทำให้รู้ว่าคนในเรือนตื่นนอนกันแล้ว หากไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหนักเขาคงลุกขึ้นมาฝึกเพลงยุทธ์เช่นที่เคยทำมา ทว่าการตื่นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยหยอกล้อและกลิ่นอาหารหอมกรุ่น เป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความเป็นและความตายมานานนับสิบปีเช่นเขา
“โจ๊กปลา” ฟู่เซียงเซียงเอ่ยกับแม่นมหวงที่รับหน้าที่ดูแลอาหารการกินในเรือน แต่เดิมนั้นต้องรอโรงครัวส่งอาหารมาให้ แต่ละมื้อที่ได้มานอกจากอาหารเย็นชืดบางครั้งยังเน่าบูดอีกด้วย หลังจากนางเก็บเงินได้เล็กน้อยก็ให้ช่างมาซ่อมแซมห้องครัวเล็ก แม่นมหวงลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ทั้งสามชีวิตจึงได้กินอาหารอร่อยและอุ่นท้อง
“คนเพิ่งฟื้นร่างกายกินโจ๊กปลาดีที่สุด โรยขิงเยอะๆ ด้วยจะยิ่งช่วยบำรุงร่างกาย” เพราะแม่นมหวงไม่ยอมให้ฟู่เซียงเซียงทำอาหารด้วยตนเอง นางจึงได้แต่ยืนใกล้ๆ คอยบอกว่าต้องการสิ่งใด
“ทาสผู้นั้นฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
จางลี่ถามพลางมองเลยไปยังด้านใน เขาหลับไปตั้งหลายวัน คุณหนูต้องคอยดูแลด้วยตนเอง ถ้าตื่นฟื้นแล้วก็ดี คุณหนูของนางจะได้ไม่ต้องลำบาก พูดถึงชายหนุ่มแล้ว ฟู่เซียงเซียงเผลอยกมือขึ้นแตะลำคอตนเอง เขาใช้มือเพียงข้างเดียวก็แทบหักคอนางได้แล้ว เมื่อคืนนางรีบทายาบริเวณที่เจ็บ เช้านี้ยังเห็นเป็นรอยจางๆ จึงใช้ผ้าพันคอปกปิดเพื่อให้ไม่แม่นมหวงและจางลี่กลัวจนเกินไป
“แล้วคุณหนูจะเรียกเขาว่าอะไรดีเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยถามทั้งที่สองมือยังคงทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว นอกจากโจ๊กปลาหอมกรุ่นแล้วยังมีผัดผักจานใหญ่ ทั้งสามกินอาหารพร้อมกันไม่แบ่งแยกนายบ่าวมานานแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใบ้หรือบาดเจ็บจนพูดไม่ได้ เอาไว้กินอาหารแล้วค่อยลองถามเขาดูว่าชื่ออะไร”
“เช่นนั้นข้าไปตามเขานะเจ้าคะ เป็นทาสอะไรตื่นสายกว่าเจ้านาย อุ๊ย!” จางลี่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีคนที่ถูกพูดถึงก็ก้าวมายืนอยู่ตรงกรอบประตูห้องครัวแล้ว รู้ว่าทาสหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะตัวโตราวกับภูเขาเช่นนี้
“เจ้าลุกขึ้นไหวแล้วหรือ?” ฟู่เซียงเซียงเอ่ยถามแล้วกวาดตามองไปทั่วร่าง เขาเปลือยแผ่นอกแต่มีผ้าพันแผลพันอยู่ ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าเนื้อหยาบที่นางให้จางลี่ไปหาซื้อเสื้อผ้ามาให้เขา แต่ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าจะตัวเล็กกว่าคนไปสักหน่อย มันดูตึงรัดไปทุกสัดส่วน
อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าแทนคำตอบ เด็กสาวเข้าใจไปเองว่าเขาไม่สามารถพูดได้จึงไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ
“ด้านหลังมีห้องน้ำและบ่อน้ำ เจ้าไปล้างหน้าล้างตาที่นั้นได้ เสร็จแล้วมากินข้าวกัน” นางพูดอย่างเรียบง่ายไม่ได้ย้ำชัดถึงฐานะของแต่ละฝ่าย คนตัวสูงใหญ่ผงกศีรษะรับคำแล้วหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ
“คนผู้นั้นจะไม่ทำอันตรายเราจริงๆหรือเจ้าคะ” จางลี่ยังคงกังวลอยู่ แรกทีเดียวก็แอบดีใจที่จะมีผู้ชายมาทำงานหนักในเรือนบ้าง แต่ท่าทางดุดันก้าวร้าวตลอดจนไอสังหารที่ชวนให้หนาวยะเยือกนี้ทำให้นางไม่มั่นใจว่าการมีทาสหนุ่มในเรือนจะเป็นเรื่องดี
“เขาเคยทำสิ่งใดมาก่อนที่คุณหนูจะซื้อเขามาหรือเจ้าคะ”
“เจ้านี่ก็ช่างมีแต่คำถามเสียจริง” แม่นมหวงดุจางลี่ แต่ในใจก็เป็นกังวลเรื่องเดียวกัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะเลี้ยงคนเพิ่มไหวรึ” นางหัวเราะเสียงใส “เขาหายดีเมื่อไหร่ ข้าก็จะคืนสัญญาให้เขา”
“คุณหนูไม่เสียดายเงินสองตำลึงหรือเจ้าคะ” จางลี่อดเสียดายแทนไม่ได้ คุณหนูต้องอดหลับอดนอนนั่งคัดลอกตำราและยังต้องไปช่วยงานท่านหมอจู กว่าจะได้เงินแต่ละอีแปะไม่ได้ง่ายเลย
“ก็นับว่าคุ้มอยู่ เพราะเขาทำให้ข้าได้ฝึกเย็บแผลบนผิวหนังมนุษย์เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ขนาดท่านหมอจูยังเอ่ยชมเลย”
“คุณหนู!”
แม่นมหวงและสาวใช้จางลี่ส่งเสียงพร้อมกัน ไม่คิดว่าคุณหนูจะกล้าลงมือกับคนเป็นๆ เช่นนี้ คำพูดเมื่อครู่อาจฟังดูไม่ดีนัก ฟู่เซียง เซียงได้แต่รำพึงในใจ แต่แผลของเขาลึกมาก หากไม่เย็บแผลก็เกรงว่าจะไม่หายดี นางจึงเสี่ยงวัดดวงลองทำกับมนุษย์เป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้นางก็ฝึกฝนมาตลอด ส่วนยาชานั้นก็ปรุงขึ้นตามสูตรลับของท่านหมอจู ทำให้การรักษาครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
จางลี่ยกถาดอาหารออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ลานบ้าน แต่เดิมเคยปลูกดอกไม้งดงามแต่ตอนนี้กลายเป็นแปลงผักขนาดเล็ก รวมทั้งแปลงสมุนไพรที่ฟู่เซียงเซียงสรรหามาเพาะปลูก เล้าไก่อยู่ด้านหนึ่งของลานบ้าน สระบัวขนาดเล็กก็กลายเป็นที่เลี้ยงปลาและเลี้ยงบัวให้นางได้เก็บเกสรบัวมาทำชา หากไม่คิดว่านี้คือจวนของเสนาบดีฟู่ บริเวณเรือนหลังนี้ไม่ต่างจากบ้านของชาวบ้านในชานเมืองนัก
“พวกเรากินข้าวพร้อมหน้ากัน เจ้าก็มานั่งข้างข้านี่ก็ได้”
ฟู่เซียงเซียงใช้มือตบที่เก้าอี้ยาวที่ว่างด้านข้างนาง เรียกให้เขามานั่งข้างกันอย่างไม่ถือสา ชายหนุ่มเพียงผงกศีรษะรับแล้วเดินมาอย่างว่าง่าย จางลี่ยกชามโจ๊กปลาให้คุณหนูแล้วจึงยกอีกชามให้คนเจ็บ เห็นนางไม่ถือสา ชายหนุ่มจึงนั่งลงที่วางข้างๆ ทั้งนายบ่าวกินข้าวพร้อมกัน อาหารเรียบง่ายแต่เน้นอิ่มท้อง
“เจ้าเพิ่งฟื้น ค่อยๆ กินประเดี๋ยวกระเพาะจะไม่รับอาหาร”
นางเตือนแล้วลงมือกินโจ๊กในชามของตน “ฝีมือแม่นมหวงยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีรสคาวของปลาเลยสักนิด”
“คุณหนูก็พูดเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหวงยิ้มน้อยๆ แม้ความเป็นอยู่ไม่สมฐานะบุตรสาวเสนาบดีฟู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่เป็นอยู่นี้มีความสุขไม่น้อย ยามว่างนอกจากช่วยตากสมุนไพรให้คุณหนูแล้ว นางยังปักผ้าและให้จางลี่นำไปขายที่ร้านผ้าในเมือง
“ก็อร่อยจริงๆนี่” นางยิ้มแล้วหันไปมองทางชายหนุ่มที่นั่งกินอยู่ข้างๆ “ข้าชื่อฟู่เซียงเซียง นี่แม่นมหวงเจียอีและนี่ก็จางลี่”
ชายหนุ่มผงกศีรษะให้อีกครั้ง สายตาของเขาหยุดที่ผ้าพันคอของฟู่เซียงเซียง นางเห็นสายตาของเขาแล้ว นางก็ทำท่าทีเป็นจัดผ้าพันคอให้เข้าที่เพื่อปกปิดร่องรอย
“แล้วเจ้าเล่า ชื่ออะไร”
เขาอ้าปากแต่ไม่มีเสียง จางลี่เห็นเข้าก็ทำตาโตแล้วชิงพูดขึ้น
“เจ้าเป็นใบ้ พูดไม่ได้หรือ?” สาวใช้มีสีหน้าสงสารและเห็นใจมากขึ้น “ท่าทางเจ้าจะลำบากมากกว่าข้าเสียอีก”
“คุณหนูซื้อทาสใบ้มาหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพูดได้หรือไม่ได้ สภาพยังกับซากศพไม่ต้องทำศพเจ้าก็นับว่าดีแล้ว” ฟู่เซียงเซียงไหวไหล่เล็กน้อย “พูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ต้องมีชื่อเรียก...”
เด็กสาวกวาดตามองอีกครั้งแล้วคลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มของนางใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ให้ความรู้สึกงดงามและอ่อนหวานจนหัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะ น่าแปลก เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับหญิงใดมาก่อน
“ถ้าเช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่า...”
ดวงตาคมปลาบตวัดมองไปยังทิศทางของฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ ท่าทางระวังภัยของเขาทำให้ฟู่เซียงเซียงขมวดคิ้ว นางคงไม่ได้ซื้อมือสังหารเข้ามาในบ้านหรอกนะ
“ไม่คิดว่าเรือนของคุณหนูใหญ่จะมีบ่าวชายอยู่ด้วย”
เสียงใสเอ่ยทักทายแต่ไม่กล้าก้าวเข้ามาใกล้นัก สายตาของชายผู้นั้นดุดันราวกับคมมีดจนรู้สึกเสียวสันหลัง แต่กระนั้นฟู่ซินอี๋ที่เป็นคุณหนูรองก็ยังต้องฝืนเชิดปลายคางขึ้นด้วยท่าที่หยิ่งยโส
“คุณหนูใหญ่รับบ่าวชายมาอยู่ร่วมชายคาแต่ไม่แจ้งพ่อบ้าน หรือว่าจะไม่ได้เป็นแค่บ่าว...”
“บ่าวอะไรกัน” ฟู่เซียงเซียงแย้มยิ้ม “ข้าแค่ซื้อสุนัขมาเลี้ยงต้องรายงานพ่อบ้านด้วยรึ อีกอย่างข้ายังเป็นคุณหนูใหญ่สกุลฟู่ เกรงว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรายงานผู้ใดกระมัง”
‘สุนัข’
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ