สายลมพัดผ่านพาแสงเทียนวูบไหว ฟู่เซียงเซียงเงยหน้าขึ้นจากการคัดลอกตำราแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เสียงแมลงกลางคืนเงียบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางนั่งทำงานเพลินจนลืมเวลาอีกแล้ว ในเรือนหลังนี้มีเพียงนาง แม่นมหวงเจียอีและจางลี่ ส่วนบุรุษอีกคนที่ยังหลับใหลนั้น นางไม่อยากนับรวมไปด้วย
ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าแล้วหันมาเก็บสมุดบนโต๊ะให้เรียบร้อย เพราะทำงานเพลินจนดึกดื่นนางจึงไม่ให้แม่นมหวงกับจางลี่อยู่รอปรนนิบัติ สำหรับนางแล้ว ทั้งสองเป็นเสมือนญาติที่เหลืออยู่ ความตายของมารดาพรากความสุขที่เคยมีไปหมดสิ้น ในวัยเพียงสิบขวบ นางเพียรทำทุกวิถีทางให้บิดาหันกลับมาใส่ใจนางเช่นเวลาที่มารดายังอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่า หลังมารดาตายจากครึ่งปี บิดาก็ยกภรรยารองมาเป็นภรรยาเอก รวดเร็วเสียจนนางไม่คาดคิด ในคราวที่มารดายังอยู่ คนเหล่านั้นล้วนเอาใจใส่นาง ให้ความเคารพยำเกรง แต่เมื่อสิ้นมารดา นางกลายเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่าที่บิดาเมตตาเก็บไว้ท้ายจวน
เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกิน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกส่งมาอย่างจำกัด รวมทั้งบ่าวรับใช้ข้างกายก็ไม่มี ยังดีที่บิดาส่งแม่นมหวงมาอยู่เป็นเพื่อนนาง วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า นางร่ำไห้พร่ำเรียกหาบิดาถามหาเหตุผลที่นางต้องมาอยู่ในเรือนท้ายจวนอย่างนี้ นางร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำเกือบสูญเสียการมองเห็น เป็นแม่นมหวงที่ออกไปตามหมอมารักษานาง ทำให้นางรู้จักท่านหมอจูซีห่าว ผ่านการเจ็บป่วยในครั้งนั้น แม้นางไม่เข้าใจบิดาที่ทำกับนางเช่นนี้ แต่นางกลับเข้าใจแจ่มชัดว่า นางต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง และนั้นทำให้นางรู้ว่าการถูกบิดาและมารดาเลี้ยงละเลยไม่ใช่เรื่องไม่ดีนัก เพราะทำให้นางหลบออกไปรับจ้างคัดตำราโดยไม่มีใครมาสนใจได้ รวมทั้งซื้อตัวจางลี่มาเป็นสาวใช้ ครั้งแรกที่ได้พบจางลี่ก็คล้ายกับที่นางพบกับทาสหนุ่มผู้นั้น เด็กสาวขาขวาลีบเล็กไม่มีใครอยากซื้อตัว นางที่มีเงินเก็บอยู่น้อยนิดซื้อตัวจางลี่มาอยู่ด้วยกัน แม่นมหวงได้แต่พร่ำบ่นที่นางใจอ่อนขี้สงสาร แต่สุดท้ายแล้วจางลี่ก็กลายเป็นลูกมือคอยช่วยงานแม่นมเป็นอย่างดี
ฟู่เซียงเซียงเดินมาใกล้ทาสหนุ่มที่ยังนอนนิ่งอยู่ จากบาดแผลและคำยืนยันของท่านหมอจูซีห่าวกล่าวว่าคนผู้นี้รอดตายแน่แล้ว แต่ทำไมยังหลับใหลถึงสามวันสามคืนอย่างนี้นะ คิ้วเรียวงามขมวดมุนแล้วถอนหายใจอย่างหงุดหงิด มืองามยื่นไปหมายดึงเหน็บผ้าห่มให้เรียบร้อย ทว่าดวงตาที่ปิดสนิทกลับลืมตาโพลง เด็กสาวยังไม่ทันตั้งตัวถูกกระชากแขนเหวี่ยงขึ้นที่นอน เพียงพริบตาแผ่นหลังก็กระแทกกับฟูกนอน มือหยาบกระด้างกุมลำคอของนางไว้หมายเอาชีวิต ดวงตาดุดันราวสัตว์ป่าจ้องเขม็ง เพียงส่งเสียงได้ครึ่งคำแรงบีบรัดรอบลำคอก็เพิ่มมากขึ้น สองมือพยายามแกะมือที่กุมลำคอของนาง ร่างเล็กดิ้นรนส่งผลให้สองร่างแนบชิดอย่างไม่รู้ตัว น้ำตาวาวใสสะท้อนแสงเทียนในห้องหลั่งไหลเปื้อนเปรอะแก้มนวลทำให้เจ้าของมือใหญ่นั้นชะงักและค่อยๆ คลายมือออกจากลำคอของเด็กสาว แต่ร่างของเขายังคร่อมร่างนางอยู่
ฟู่เซียงเซียงสำลักจนเจ็บราวทั่วลำคอไม่อาจส่งเสียได้ ไอสังหารจากกายทาสหนุ่มทำให้เด็กสาวสั่นสะท้าน จะขยับตัวก็ทำไม่ได้ ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้จนปลายจมูกปัดผ่านแก้มที่เปื้อนคราบน้ำตา นางเบือนหน้าหลบ รับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดผิวกายคล้ายอีกฝ่ายเพียงสูดดมกลิ่นกายของนาง เขาทำราวกับตนเองเป็นสุนัขตัวหนึ่งดอมดมกลิ่นบนกายจนแน่ใจแล้ว จึงผละออกจากร่างของนาง
เรือนร่างอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมละมุนของสมุนไพรที่ติดกายจนคล้ายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวทำให้ชายหนุ่มได้สติ เขาถอยไปนั่งที่ปลายเตียงในขณะที่เด็กสาวกระถดตัวไปที่หัวเตียง อาจเพราะร่างกายที่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป หรือเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ มือกร้านยกขึ้นกุมขมับข่มความเจ็บปวดที่ทุบตีศีรษะจนต้องเผลอร้องคำราม
ออกมา เสียงร้องเหมือนสัตว์บาดเจ็บทำให้ฟู่เซียงเซียงได้สติผวายื่นมือไปปิดปากอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“อย่าเสียงดังไป ประเดี๋ยวผู้อื่นตื่นตกใจกันหมด”
เรื่องที่นางพาเขาเข้ามามีเพียงแม่นมหวงและจางลี่ที่รู้ หากผู้อื่นรู้เข้าว่าเรือนของนางมีบุรุษอยู่ เห็นทีว่าความสงบสุขที่บ่มเพาะมานานจะหายไปหมดสิ้น
สัมผัสอ่อนนุ่มทำให้ชายหนุ่มสงบลง หลายวันมานี้เขารับรู้ได้ว่ามีมือคู่หนึ่งที่คอยดูแลเขาอยู่ ดวงตาดุดันอ่อนแสงลงและจ้องมองอย่างเปิดเผย
“ปวดหัวหรือ?” เด็กสาวถามแล้วเลื่อนมือขึ้นไปใช้นิ้วโป้งกดจุดที่หางคิ้วทั้งสองข้างแล้วคลึงเบา “ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่ แต่ทั่วกายเจ้าก็มีแต่บาดแผลและรอยฟอกช้ำ น่าจะเจ็บไปทั้งตัวสินะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินยามหลับใหล ‘อดทนหน่อยนะ’ ‘อีกประเดี๋ยวก็หายแล้ว’ ‘เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นนะ’ แม้กระทั่งเสียงหัวเราะพูดคุย เสียงเหล่านั้นแทรกซึมเข้ามาโสตประสาทจนยากจะลบทิ้งได้หมด เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองเด็กสาวที่เขาจำได้ว่า วันนั้นนางสวมเสื้อผ้าด้วยชุดของเด็กหนุ่มและซื้อตัวเขาด้วยเงินเพียงสองตำลึง
“เจ้าหลับไปสามวันสามคืน จู่ๆ ลุกขึ้นเช่นนี้คงมึนศีรษะอยู่บ้าง มาเถิดมานอนตรงนี้” นางพูดแล้วหันไปหยิบหมอนขึ้นให้เขากึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงหัวเตียง เขามองร่างเล็กหมุนตัวไปรินน้ำแล้วเดินกลับมาจ่อที่ริมฝีปากที่แห้งผากจนเป็นขุย
“ค่อยๆ จิบน้ำประเดี๋ยวสำลัก”
ฟู่เซียงเซียงประคองถ้วยน้ำให้อีกฝ่ายได้ดื่มจนหมดถ้วย ริมฝีปากเขาดูชุ่มชื่นขึ้นมาอีกนิดทำให้ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาได้ ทั้งที่เมื่อครู่นางกลัวเขาแทบตาย คราบน้ำตายังคงเปื้อนแก้ม แต่เวลานี้นางกลับเป็นฝ่ายห่วงใยและดูแลเขาอย่างดี
“เจ้าฟื้นมาก็ดี ข้านึกว่าจะได้ทำศพเจ้าเสียแล้ว”
นางหัวเราะเบาๆ แต่เจ็บแปลบที่ลำคอจนต้องยกมือขึ้นแตะตรงที่เจ็บ ทั้งที่ตัวเองเจ็บแต่พูดเสียมากมาย นางนี่ก็ช่างละเลยตัวเองเสียจริง ฟู่เซียงเซียงเงยหน้าขึ้นสบตากับทาสหนุ่ม สีหน้าเขาดูกังวลที่เห็นนางกุมลำคอของตนเอง
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ได้หักคอข้า” นางพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกแต่ไม่กล้าหัวเราะเพราะกลัวเจ็บ “เจ้าคงตกใจสินะ ข้าไม่ตั้งใจจะทำให้เจ้าตกใจ”
ทาสหนุ่มส่ายหน้าไปมา อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่มีเสียง เด็กสาวเอียงคอมองอย่างประหลาดใจ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เจ้าพูดไม่ได้หรือว่าเจ็บคอเหมือนข้า” นางยังไม่แตกฉานเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ท่านหมอจูตรวจดูอาการเบื้องต้น ลิ้นของเขาไม่
น่ามีปัญหาอะไรนี่นะ
“ตอนเช้าจะพาไปหาท่านหมอจูให้ช่วยตรวจดูอาการของเจ้าก็แล้วกัน”
ลมกลางคืนพัดผ่าน ร่างบอบบางสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง แม้สวมเสื้อคลุมอยู่ แต่ผ้าเนื้อหยาบไม่ได้ต้านทานความหนาวเย็นได้มากนัก ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนางอย่างเห็นใจแล้วแสร้งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“เจ้า...จะหลับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีก็เห็นอีกฝ่ายผล็อยหลับไป ฟู่เซียงเซียงระบายลมหายใจเบาๆ แล้วประคองร่างใหญ่โตลงนอนอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของเขาทำเช่นเดียวกับที่ทำมาตลอดสามวันที่ผ่านมา
“ช่างเถอะ อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้าฟื้นแล้ว” นางเหน็บผ้าห่มให้แล้วถอยห่างออกมา “เจอกันตอนเช้านะ ข้าจะเตรียมโจ๊กอร่อยๆ ให้กิน”
เด็กสาวแย้มยิ้มแล้วหมุนตัวไปใช้กรรไกรตัดไส้เทียน ในห้องจึงตกอยู่ในความมืด นางปรับสายตาคู่หนึ่งใช้แสงจันทร์นำทางเดินกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง เพียงแผ่นหลังของเด็กสาวหายลับตาไป คนที่แสร้งหลับอยู่ก็ลืมตาแล้วยันกายขึ้นนั่ง
บัดซบ! เพราะพิษนั้นทำให้เสียงของเขาหายไป สู้กันซึ่งหน้าไม่ได้จึงใช้วิธีต่ำทรามทำให้ตกอยู่ในสภาพนี้ มุมปากแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ความเจ็บปวดที่ได้รับ จะให้พวกมันได้ลิ้มรสเช่นกัน.
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ