‘ข้าควรดีใจหรือไม่ที่มีค่าตัวถึงสองตำลึง’
แต่ปลายนิ้วที่ป้ายเนื้อยามาทาแผลให้เขานั้น ทำให้ชายหนุ่มยอมทำตัวโง่งมเพื่อให้นางทำทายาด้วยรอยยิ้มภูมิใจในความเก่งกาจของตน นางอายุเท่าไหร่กันนะ ปีหน้าจะปักปิ่นใช่ไหม เช่นนั้นนางก็อายุสิบสี่สินะ นางเป็นบุตรสาวเสนาบดีฟู่ แต่เหตุใดความเป็นอยู่แร้นแค้นเช่นนี้กัน เขาที่ไม่เคยสนใจเรื่องผู้อื่นกลับรู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวผู้นี้นัก
“คุณหนู!” จางลี่ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นฟู่เซียงเซียงก้มๆ เงยๆ ทายาให้อี้เฉิน นางรีบวางห่อผ้าที่ใส่กระดาษและหมึกวางบนโต๊ะแล้วแย่งตลับยามาถือเสียเอง
“เจ้ากลับมาแล้ว วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฟู่เซียงเซียงยิ้มขบขันเพราะรู้ว่าจางลี่เป็นห่วงเรื่องใด
“คุณหนูไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวบุรุษนะเจ้าคะ” จางลี่กระทืบเท้าเร่า ๆ ทำไมคุณหนูของนางช่างทำเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้นะ
“แต่เขาเป็นคนเจ็บของข้านะ” หากนางใส่ใจเรื่องเหล่านี้คงไม่เลือกศึกษาวิชาแพทย์หรอก “เจ้าดูสิ บาดแผลของเขาดีขึ้นมากแล้ว อย่างนี้ท่านหมอจูจะต้องรับข้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน”
“คุณหนูจะเป็นหมอจริงๆหรือเจ้าคะ”
“ทำไมล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าว่าการเป็นหมอหญิงก็เป็นอีกหนทางที่เราจะมีรายได้เลยนะ”
“แต่คุณหนูเป็นสตรี...”
“เพราะเป็นผู้หญิงนะสิถึงเป็นเรื่องดี คนเจ็บคนป่วยที่เป็นผู้หญิงไม่กล้าเจอหมอผู้ชาย ถ้าข้าได้เป็นหมอหญิง พวกนางก็ต้องยอมเสียเงินให้ข้าแน่นอน”
ชายหนุ่มฟังเสียงหัวเราะหวานใสดุจระฆังเงินด้วยดวงตาเหม่อลอย เหตุใดเขาต้องสนใจนางมากถึงเพียงนี้ หรือเพราะพิษในร่างยังขับออกไปไม่หมด เห็นที่ต้องเดินลมปราณขับพิษออกจากร่างแล้วกระมัง.
เด็กสาววัยสิบสี่สวมชุดแบบบัณฑิตหนุ่มแต่ดวงหน้าหวานสวยดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นสตรี แม่นมหวงมองแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ดูอย่างไรก็เป็นหญิง
“วันนี้ข้าจะไปเรียนฝังเข็มกับท่านหมอจู จางลี่ช่วยเอาตำราที่ข้าคัดลอกไว้ไปส่งร้านหนังสือก็แล้วกัน”
“คุณหนูจะไปคนเดียวหรือเจ้าคะ” จางลี่อดเป็นห่วงไม่ได้ “ข้าส่งหนังสือแล้วตามไปพบคุณหนูที่โรงหมอดีกว่านะเจ้าคะ”
“เจ้าก็ต้องหอบงานไปที่โรงหมออีกนะสิ เจ้าเอากลับมาบ้านนี่แหละ” ฟู่เซียงเซียงหัวเราะเสียงใส “ข้าไปไหนมาไหนคนเดียวจนชินแล้ว เหตุใดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่”
นางพึมพำแล้วหันไปหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ของตน เป็นจังหวะเดียวกับที่ทาสหนุ่มเดินเข้ามาหลังจากหาบน้ำใส่ตุ่มแล้ว
“อี้เฉิน! ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องทำงานพวกนี้ รอให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยทำก็ได้” ฟู่เซียงเซียงพูดพลางเดินวนรอบตัวทาสหนุ่ม “ดูดีขึ้นจริงๆ แสดงว่าการรักษาของข้ายอดเยี่ยมเลยสินะ”
‘นั้นเป็นเพราะข้าเดินลมปราณขับพิษออกต่างหากล่ะ’
เขาถูกเรียกด้วยชื่ออี้เฉินจนชิน ทำเพียงผงกศีรษะยอมรับคำพูดของเด็กสาวที่สูงยังไม่ถึงปลายคาง ในสายตาของเขา นางดูผอมเกินไป ตัวเล็กเกินไป ส่วนที่ควรมีก็ราบเรียบจนมองแทบไม่เห็น แต่กลับไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย
“คุณหนูจะไปโรงหมอก็ให้อี้เฉินติดตามไปด้วยสิเจ้าคะ” แม่นมหวงเสนอแล้วยิ้มออกมา แม้ไม่ค่อยไว้ใจทาสหนุ่มผู้นี้ แต่ให้คุณหนูไปไหนมาไหนเพียงลำพังก็ไม่ดีนัก
ฟู่เซียงเซียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วจ้องหน้าอี้เฉิน นางเผลอกัดริมฝีปากครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม “เจ้าหายดีแน่แล้วหรือ? ออกไปข้างนอกได้ไหม”
ทาสหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ เขาเองก็อยากสำรวจด้านนอกเช่นกัน
“ดี เช่นนั้นเจ้าไป...เอ่อ...เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ฟู่เซียงเซียงหันไปถามแม่นมหวง “เรามีเสื้อผ้าชุดใหม่ให้อี้เฉินใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ “อี้เฉินรูปร่างสูงใหญ่ เสื้อผ้าสำเร็จที่ซื้อมาดูแล้วไม่พอดี ข้าเย็บให้ใหม่แล้ว จางลี่ไปเอามาให้อี้เฉินสิ”
จางลี่พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินลากขาเร็วๆ ไปหยิบเสื้อผ้าผู้ชายออกมาหนึ่งชุดแล้วยื่นให้อี้เฉินที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นใบ้ ฟู่เซียง เซียงโบกมือไล่ให้เขารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ชายหนุ่มรับเสื้อชุดนั้นแล้วเดินผลุบหายไปด้านหลัง หลายวันมานี้ หลังจากฟื้นแล้วก็อาศัยหลับนอนที่ห้องเก็บฟืน
“คุณหนู...” จางลี่จับมือฟู่เซียงเซียง “ข้าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหาท่านที่โรงหมอนะเจ้าคะ”
“เจ้ากลับมาก็อยู่ช่วยงานกับแม่นมหวงนี่แหละ วันนี้ท่านหมอจูจะสอนข้าฝังเข็ม ข้าคงไม่ได้กลับเร็วนัก”
“ท่านหมอจูรับคุณหนูเป็นศิษย์แล้วหรือเจ้าคะ” จางลี่ถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ท่านหมอจูต้องรับข้าเป็นศิษย์อยู่แล้ว” ถ้อยคำของนางเรียกเสียงหัวเราะจากจางลี่และแม่นมหวง เพียงไม่ถึงครึ่งเค่ออี้เฉินก็เดินกลับมา จางลี่ถึงกับอ้าปากค้างแล้วก้มหน้าลงซ่อมแก้มที่แดงเรื่อ
“ตอนนี้ข้ามีเงินแค่ซื้อชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เอาไว้ข้าเป็นหมอที่เก่งกาจมีรายได้มากกว่านี้ จะซื้อเสื้อผ้าไหมให้ทุกคนได้ใส่กัน”
ฟู่เซียงเซียงฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าให้อี้เฉินเดินตามนางไป โดยปกติหากไม่ต้องขนสมุนไพรไปนางมักเดินไปเอง บางครั้งจางลี่ก็ไปเป็นเพื่อน แต่คราวนี้มีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินตามหลัง นางคิดว่าอี้เฉินยังบาดเจ็บอยู่จึงเดินช้าลง ในขณะที่ทาสหนุ่มเกรงว่าตนเองจะเดินนำหน้าจึงรักษาความเร็วไม่ให้ใกล้นางเกินไปนัก
“ไม่ต้องกลัวนะ ท่านหมอจูใจดีมาก” ฟู่เซียงเซียงในชุดเด็กหนุ่มหันมาคุยกับอี้เฉิน “เจ้าลองดูก่อนก็ได้ ถ้าอยากทำงานที่โรงหมอกับท่านหมอจู ข้าจะช่วยพูดให้ท่านหมอจูรับเจ้าไว้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ยังไม่ทันจะอ้าปากส่งเสียง เด็กสาวก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“แต่ถ้าเจ้ามีที่ที่อยากไป หรือมีครอบครัวที่ต้องการกลับไปหา ข้าก็ไม่ห้ามเช่นกัน” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าเจ้าจะไป อย่างไรก็รอให้บาดแผลหายดีเสียก่อน ถึงร่างกายเจ้าจะฟื้นฟูได้รวดเร็วแต่บาดแผลก็ยังไม่สมานกัน หากเคลื่อนไหวมากก็อาจปริแตกได้อีก อย่างไรก็ทนอีกสักหน่อยเถอะนะ”
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น บางครางนางก็ไม่เหมือนเด็กอายุสิบสี่เอาเสียเลย บางครั้งนางก็ไร้เดียงสาราวเด็กน้อย เขาได้แต่เดินตามนางไปเงียบๆ จนถึงโรงหมอแห่งหนึ่ง ดูท่าทางนางมาที่นี่เป็นประจำจึงคุ้นเคยกับทุกคนดี เพียงแค่สายตาของผู้อื่นที่มองมาทางเขาไม่สู้ดีนัก ซึ่งเขาชาชินกับสายตาเช่นนี้แล้ว
“มาแล้วหรือเซียงเซียง” ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบใบหน้าดูอ่อนโยนเปี่ยมเมตตาเอ่ยกับเด็กสาวด้วยรอยยิ้มพลางปรายตามองผู้ติดตาม “นี่นะหรือเจ้าก้อนเงินสองตำลึงของเจ้า”
“พี่ลี่เฉี่ยวอย่าล้อคนของข้าสิ” ฟู่เซียงเซียงขึงตาใส่แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วนไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของนาง
“เรียกข้าศิษย์พี่ได้แล้ว”
“จริงด้วย! คารวะศิษย์พี่!”
“ใครรับเจ้าเป็นศิษย์กัน” เสียงหมอจูซีห่าวดังก่อนที่เจ้าของโรงหมอจะเดินมาถึง ในมือถือพัดด้ามหนึ่ง พอเห็นหน้าทะเล้นของว่าที่ลูกศิษย์คนใหม่ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “ยกน้ำชา”
“เจ้าค่ะ อาจารย์!”
แม้ฐานะการเงินไม่ดีนัก แต่ฟู่เซียงเซียงเตรียมใบชาชั้นเลิศไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ นางรีบร้อนจะไปชงชา แต่เสื้อที่สวมไม่พอดีตัวนัก นางเกือบสะดุดล้มหน้าคะมำ ทว่ามือใหญ่ของอี้เฉินคว้าเอวนางไว้ได้ทัน ฟู่เซียงเซียงเป่าปากโล่งอก เมื่อยืนได้มั่นคงแล้วก็หันมายิ้มให้แล้วเดินเร็วๆ หายไปเตรียมน้ำชา
แม้มุมปากจะยกยิ้มแต่สายของลี่เฉี่ยวไม่ค่อยพอใจนัก จึงอดตำหนิไม่ได้
“เจ้าเป็นทาส และนางก็เป็นหญิง คราวหน้าคราวหลังอย่างทำเช่นนี้อีก”
‘แล้วจะปล่อยให้นางล้มหน้าคว่ำไปหรือไร?’
“นั้นสิ ใครจะรักข้ากันเล่า” “เซียงเซียง” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ “ท่านไม่ได้หลับเลยสินะ มานอนตรงนี้สิ หลับสักประเดี๋ยวดีไหม” นางตบที่ตักหมายให้เขานอนหนุนตักนางเหมือนที่นางเคยนอนหนุนตักมารดา “ข้าไม่กล้าหลับ” “ข้านอนมาพอแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง” “สัญญา?” “ได้ข้าสัญญา” นางหัวเราะแต่เสียงยังแหบอยู่ สายตามองเลยไปยังดอกไม้ในแจกันที่มุมห้อง แสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นางรู้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่จางหายไปเช่นในฝันที่ผ่านมา ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงนอนบนตักของนาง เงยหน้ามองใบหน้าของคนรักแล้วค่อยๆ หลับตาอย่างอ่อนล้า “อี้เฉิน” “อืม...” “ตอนที่ข้าหลับ ข้าฝันถึงท่าน แต่มันน่ากลัวมาก ในฝันข้าไม่ตื่นและท่านกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์เข่นฆ่าผู้คนจนแผ่นดินชโลมด้วยโลหิต...อี้เฉิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย” ฉินตงหยางลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่นางก้มมองเขาเช่นกัน พลางตัดสินใจว่าบางเรื่องอย่าให้นางรู้เลยดีกว่า ช่วงที่นางหลับ เขาก็แทบกลายเป็นปีศาจจริงๆ สั่งส
แม้เจนจัดในสนามรบ แต่เมื่อเห็นคนรักบาดเจ็บ เขากลับเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า...คนรัก...สวรรค์นี่เขารักนางแล้วจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่เพียงความรู้สึกอยากยึดครองนางไว้เพียงผู้เดียว แต่ทุกข์และสุขไปพร้อมกับนาง “ร่างกายของนางจะค่อยๆ เย็นลงไปเรื่อยๆ ไต๋อ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ระหว่างนี้ท่านต้องทำให้ร่างกายนางอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”“ทำอย่างไร” เขาถามอย่างงุนงงไม่สนใจที่จูลี่เฉี่ยวไม่ได้เรียกฟู่เซียงเซียงว่าพระชายา“กระหม่อมจะใช้สมุนไพรขับไอเย็นให้นาง เอ่อ...ไต๋อ๋องถ่ายลมปราณกระตุ้นให้เลือดลมไหวเวียนเป็นปกติ จะช่วยประคองชีพจรของนางได้อีกทาง”“ได้” เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะตัวเองช่วยนางได้บ้าง เขายื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าที่หลับใหลแล้วพึมพำเบาๆในลำคอ“ห้ามลืมสัญญาของเรานะ เซียงเซียง”….. “เด็กขี้เซาตื่นได้แล้ว” “ลูกอยากนอนอย่างนี้ทุกวันทุกคืน นอนหนุนตักท่านแม่แล้วลูกไม่ฝันร้าย” “เจ้าฝันอะไร เล่นซุกซนจนเก็บไปฝันอีกละสิ” “ลูกไม่ได้ซุกซนนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งจ้องใบหน้าของมารดา “ต้องเรียกสนใจใฝ่รู้ต่างหาก” มารดาหัวเราะเสียงใส
“เหนื่อยรึ ให้ข้าอุ้มไหม” “ไม่ต้อง” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงใส “ข้าดีใจที่ท่านกลับมาเยี่ยมบ้านกับข้า” “ท่านพี่” ฉินตงหยางแก้คำพูดของนางให้ “ท่านพี่” น้ำเสียงเจือเขินอายทำให้คนฟังคันหัวใจยุบยิบจนอยากจะจูบนางเสียตรงนั้น ทว่าเพียงแค่โน้มหน้าลง คนตัวเล็กก็รู้ทันรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน “ที่นี่...ไม่ได้...” “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดติดตามมาเสียหน่อย”“รวมถึงองครักษ์เงาด้วยรึ” นางแลบลิ้นใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ชอบยั่วเย้าให้ครวญคราง ยิ่งนางพยายามกลั้นเสียงร้องเท่าไร เขายิ่งกลั่นแกล้งหนักมือขึ้นเท่านั้น ฉินตงหยางยิ้มกริ่ม นึกถึงเรื่องที่ชีอันฟานพูดคุยกับเขา เสียงไต๋อ๋องกับพระชายาที่ดังออกมานอกห้องหอนั้นทำเอาบรรดาองครักษ์หน้าหนาถึงหน้าแดงตัวเกร็ง ราวกับถูกทดสอบความอดกลั้นกันเลยทีเดียว “อีกไม่นานเราจะเดินทางกลับแคว้นฉินกันแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่ต้องสะสางที่นี่อีกหรือไม่” “ฟังดูเหมือนข้าเป็นคนมีชอบสร้างปัญหา” นางขมวดคิ้ว “แค่อยากล่ำลาพี่ลี่เฉี่ยวกับท่านหมอจู” เดิมทีฟู่เซียงเซียงคิดว่าเขาคงไม่พอใ
“ระหว่างรอข้า เจ้ากินอะไรหรือยัง” เขาถามพลางค่อยๆ ถอดเครื่องประดับออกจากศีรษะนาง “ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา ประเดี๋ยวข้าไปอาบน้ำสักครู่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนเสียหน่อย” “ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่งหรือไม่” ฟู่เซียงเซียงกระเง้ากระงอด หารู้ไม่ว่าถูกปลดสายรัดเอวและถอดชุดบนตัวนางออกที่ละชิ้นแล้ว “น้องหญิงใจร้อนยิ่งนัก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี อาจเพราะสุราที่ดื่มหรือเพราะความงามเย้ายวนเบื้องหน้า อาภรณ์หนาหนักถูกถอดออกไปเหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดขับเน้นผิวกายขาวผุดผ่องราวหิมะแรกของเหมันต์ แม้รู้สึกประหม่าแต่ก็ยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าบ่าวออก ปลายนิ้วแตะต้องผิวกายของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสตัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายนี้ ก็อดปวดใจไม่ได้ ชายผู้นี้ต้องแบกรับเรื่องหนักหนาไว้มากมายเพียงใด “ไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว รับรู้ได้ว่านางห่วงใยเขามากเพียงใด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใดมาก่อน เขาจับมือเล็กที่ทาบอยู่บนรอยแผลบนแผ่นอก “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านบาดเ
“อะ...อะไรกัน...พวกเจ้าอย่ามาขู่ให้ข้ากลัวนะ!” แน่ล่ะ นางย่อมได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เมื่อถูกสะกิดก็อดคิดไม่ได้ “วิธีทรมานคนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของไต๋อ๋อง หากฮูหยินต้องการพลีกายสร้างความบันเทิงให้ไต๋อ๋อง ข้าเองคงไม่อาจขัดขวางความปรารถนาของฮูหยินได้” ชีอันฟานพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ไต๋อ๋องเพิ่งได้มีดปีกจักจั่นมา ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ใด มิทราบว่าฮูหยินจะยอมเป็นของเล่นให้ไต๋อ๋องได้ทดลองใช้มีดแร่ผิวหนังออกที่ละชั้นหรือไม่” “พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” ฟู่ซินอี๋กลัวจนตัวสั่น นึกถึงคำเตือนของบิดาที่ไม่ให้ยุ่งกับฟู่เซียงเซียง หรือว่าไต๋อ๋องจะเป็นพวกวิปริต “คนที่บ้าน่าจะเป็นฮูหยินเสียมากกว่า ท่านควรรู้ว่าตนเองอยู่ตำแหน่งใด อะไรควรทำไม่ควรทำ สตรีที่ยอมทิ้งสามีเพื่อมาเกาะบุรุษอื่นหวังได้ฐานะตำแหน่งสูงส่งควรเรียกหญิงบ้าได้หรือไม่ คนสติดีที่ไหนจะทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเช่นนี้” ชีอันฟานถึงกับต้องหันมามองสาวใช้ของฟู่เซียงเซียงเต็มตา เขารู้ว่าขาขวาของจางลี่พิการลีบเล็ก หากไม่สังเกตจะไม่รู้ว่าเวลาเดินนั้น นางเดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้
“เจ้าไม่ทำหรอก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “เจ้าไม่มีวันใช้วิชาแพทย์ทำร้ายใคร ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้” เห็นนางนิ่งงันไปเขาก็ยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าอยู่กับข้า และวิธีที่ดีที่สุดคือแต่งงาน ส่วนตำแหน่งชายาอะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองได้ว่าจะมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวไม่มีหญิงใดอีก” “ท่านแน่ใจหรือ?” นางถามอย่างไม่เชื่อนัก “แค่เจ้าคนเดียวข้าจะเหลือตาไว้มองใครได้อีก ซุกซนถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องได้แทบทุกวัน หากข้าไม่ส่งคนคอยคุ้มครองเจ้า คิดหรือว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายถึงเพียงนี้” “ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย” นางลืมตัวหัวเราะออกมาแล้วก็เจ็บแก้มทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมไว้ “อดทนอีกนิดนะเซียงเซียง ข้าต้องการให้เจ้าแต่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถูกใครครหา แต่งงานแล้วเดินทางกลับแคว้นฉิน ที่นั้นจะเป็นบ้านของเรา เจ้าอยากเพาะปลูกกุหลาบ ขายเครื่องประทินผิวหรือทำโรงหมอรักษาคนก็ตามใจเจ้า” “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะแต่งข้าเ