ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว
ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์”
ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย”
“พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่”
ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง
“เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจะเป็นอย่างที่พี่วิวอยากให้เป็น ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่หว่า เอ็งก็ไม่ได้มีผู้หญิงที่ไหนซุกซ่อนอยู่ เมียเป็นตัวเป็นตนก็ไม่มี เมียเก็บเมียเล็กเมียน้อยก็ไม่มี ก็มีแต่ที่นี่ เสียวเสร็จแล้วก็แยกทาง แล้วเอ็งจะกลัวอะไรวะ เป็นหมอวัวได้เมียเป็นว่าที่หมอวัวเหมือนกันก็ดีอยู่แล้ว ประเภทผัวหาบเมียคอน ทำงานส่งเสริมกันจะได้เฮงๆ รวยๆ และเอ็งก็จะได้มีโมเมนต์หวานๆ ในฟาร์มม้า ฟาร์มหมู คอกวัว อูย… บนกองฟางนี่ ข้าอยากสุดๆ”
ไวทย์มองเพื่อนที่ทำท่ากอดตัวเองสั่นสะท้านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะกดเลือกเพลงบนจอมอนิเตอร์ไปด้วย ไม่สนใจว่าเขาจะโกรธมากแค่ไหน ก็แหงล่ะ เขาไม่เคยโกรธปัถย์ได้สักครั้ง เพราะคำหยอกเย้าของเพื่อนนั้นคือรู้ใจ
เขากับปัถย์เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมจนแยกย้ายกันเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เขาสอบติดสัตวแพทย์ ส่วนปัถย์สอบติดบริหาร แต่ไปๆ มาๆ เขากลับโคจรมาพบกับปัถย์อีกครั้ง เมื่อปัถย์เป็นทายาทของฟาร์มปศุสัตว์ที่เขาดูแลอยู่ รวมทั้งฟาร์มวัวของปูรณ์ด้วย
ความสนิทสนมนั้นไม่แค่แต่ปัถย์กับปูรณ์ แต่เขาสนิทสนมไปถึงพ่อแม่ของทั้งสองคนด้วย เพราะพ่อแม่ของปัถย์รู้จักกับพ่อแม่เขามานานหลายปี แต่ท่านกลับเห็นแย้งกับสิ่งที่พ่อแม่เขาคิด พวกท่านตามใจไม่ว่าลูกจะเลือกเรียนอะไร ผิดกับพ่อแม่ของเขา ท่านไม่พอใจที่เขาเลือกเรียนสัตวแพทย์ ท่านอยากให้เขาเรียนหมอรักษาคนมากกว่า เพราะเรียนหนักพอกัน จบมาทำงานพ่อแม่ก็มีหน้ามีตา แต่เขาไม่ชอบ เขาอยากเป็นหมอรักษาสัตว์ เขาชอบอยู่กับสัตว์ สัตว์ไม่พูดมากให้น่ารำคาญ แล้วก็ไม่นินทาว่าร้ายใครด้วย
แต่ก็นั่นแหละจะมีพ่อแม่ที่ไหนที่จะยินดีเมื่อลูกไม่ยอมสานต่อกิจการโรงแรม 5 ดาวของครอบครัว ซึ่งตรงนี้พ่อกับแม่ของปัถย์ก็ทราบเรื่อง เพราะท่านปรับทุกข์ให้กันฟังเสมอ
แต่พ่อแม่ของปัถย์กลับคิดต่าง ท่านมักเอ่ยชมเขาเสมอว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรงมีอุดมการณ์แน่วแน่ ทั้งที่ต้องขัดใจพ่อแม่ เพราะอาชีพที่เขาเลือก เมื่อจบออกมาก็อาจหางานยากเพราะเป็นงานที่กินอุดมการณ์ เงินเดือนไม่ได้สูง เพราะเหตุนี้ท่านจึงรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกชาย ดังนั้นเมื่อเรียนจบท่านจึงเสนอให้เขามาเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของครอบครัวทันที รวมทั้งยังแนะนำเขาให้กับฟาร์มของปูรณ์อีกด้วย
แต่เขาก็ทำสิ่งขัดใจพ่อแม่มากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของปูรณ์กับปัถย์แล้วนั้น เขายังอุทิศตัวให้กับสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เพราะอำเภอที่เขาอยู่ยังถือว่ามีป่าไม้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าจึงมีมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งเข้ามาว่ามีสัตว์ป่าบาดเจ็บ หากเขาสะดวกหรืออยู่ใกล้ก็จะรีบไปโดยด่วน เรื่องลำบากไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนเขาก็ไม่เคยท้อเพราะถือว่านั่นคือสิ่งที่เขาเลือกทางเดินเอง แต่ตอนนี้เรื่องที่สร้างความหนักใจสุดๆ กลับเป็นเรื่องของครอบครัว
เพราะจู่ๆ ‘วิเวียน’ พี่สาวของเขาก็พาลูกติดของสามีมาฝากให้ฝึกงาน โดยบอกว่า ‘หนูหน่อย’ เด็กสาววัย 18 ปีนั้นกำลังจะเข้าเรียนต่อในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ทั้งวิเวียนและ ‘พี่โน้ต’ สามีจึงอยากให้ลูกได้เรียนรู้งานจริงๆ ก่อนจะเริ่มเรียน ก็เลยส่งให้มาอยู่กับเขา หวังว่าการทำงานจริงจะทำให้ลูกสาวมีความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น และอาจตอบตัวเองได้ว่าชอบหรือไม่ชอบการเป็นหมอรักษาสัตว์กันแน่ เพราะหากไม่ชอบจะได้เปลี่ยนใจทัน เขาจึงจำใจรับหนูหน่อยมาอยู่ด้วยเพราะเลี่ยงคำขอร้องของวิเวียนไม่ได้
สุดท้ายจึงต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่แบบนี้ เพราะหนูหน่อยไม่ใช่เด็กสาวขี้ริ้วหรือเป็นเด็กวัยกำลังโต แต่หนูหน่อยโตเกินตัวโตมากๆ ทั้งโตและมโหฬาร จนเขาแทบจะอดใจไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังต้องอยู่ใกล้ชิดกับหนูหน่อยทั้งวันทั้งคืน แค่สัปดาห์ที่ผ่านมา สติสตังเขาก็ปั่นป่วนไปหมด จะหลับจะตื่นก็เห็นแต่ริมฝีปากเผยอน้อยๆ เต้าล้นทรวง ความอวบอัด เอิ่ม… น่ากิน น่าลงลิ้นเลียไล้ไปทุกสัดส่วน
คุณปูรณ์พาหล่อนก้าวเดินเข้ากระโจม ด้านในนั้นมีเตียงนอนสีขาวสะอาดตาถูกจัดเตรียมไว้ไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นตอนส่งตัวน้ำว้าเข้าหอ หมอนสองใบวางเคียงกัน บนเตียงมีกลีบกุหลาบสีชมพูตกแต่งเป็นรูปหัวใจจนทั่วทั้งห้องมีแต่กลิ่นกุหลาบ เจ้าบ่าวหล่อที่สุด ค่อยๆ วางหล่อนบนที่นอนก่อนที่เขาจะทาบทับลงมา และทำท่าจะ... “คุณปูรณ์คะ... แขกยังอยู่เลยนะคะ” หล่อนเอียงหน้าหลบจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ “อยู่แล้วยังไง เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเข้าหอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าจะทำอะไรกัน” จมูกโด่งซุกไซ้ข้างแก้ม ใบหู ไรผม ต้นคอ พร้อมริมฝีปากพูดแนบชิดจนหล่อนเริ่มหายใจติดขัด คุณปูรณ์กำลังปลุกอารมณ์หล่อน และหล่อนก็ร้อนง่ายเหลือเกิน “วันนี้เอื้อมเป็นของฉันจริงๆ แล้วนะ และฉันก็เป็นของเอื้อม เป็นของเอื้อมคนเดียวตลอดไป เข้าหอกันนะทูนหัว ไม่เช้าไม่ออก” ปูรณ์ยิ้มกับเจ้าของใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้ เพราะแปลว่าหล่อนยินยอม ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงบนกลีบปากบอบบางก่อนจะละเลียดปลายลิ้นเข้าชอนชิมความหวาน จากนั้นก็ไม่มีพื้นที่ใดทั่วทั้งร่างกายของเอื้อมดาวที่ร
สายตาร้อนแรงราวกับเป็นเอื้อมดาวคนละคนมองตรงไปยังกายแกร่งที่เดินไปนั่งพิงแผ่นหลังหน้าก้อนฟางอัดแน่นจนเป็นโซฟาตัวยาวบุเบาะนวมนุ่ม ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่หล่อน มือก็สาวความแข็งแกร่งรอคอย เอื้อมดาวรู้หน้าที่ดี หล่อนคลานเข้าหา ลีลาไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตาก็จองมองสิ่งนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความร้อนรุ่มรุนแรงของหล่อนให้บรรเทา สิ่งที่จะสอดแทรกสู่ร่างกายและทำให้หล่อนไม่ทรมาน แต่เมื่อมือน้อยๆ ไขว่คว้าได้ คุณปูรณ์กลับรั้งร่างหล่อนขึ้นมาจูบ “คุณปูรณ์ขา... ซี้ด... ขอหนูนะคะ หนูอยากได้ ซี้ด... ขอหนู... คุณปูรณ์ขา...” “อืม... ใจเย็นๆ นะเอื้อมจ๋า... ฉันยังเล็มหญ้าอ่อนไม่อิ่มเลย” เอื้อมดาวมองเขาฉงน เขาจะกินหล่อนต่อ... ยังไง และเขาก็บอกวิธีการกิน แต่หล่อนไม่กล้า แม้จะอยากจนกอหญ้าเต้นระริกคันยิบ “มาเถอะเอื้อมจ๋า... เอามาให้ฉันกิน” “มัน... เอ่อ... จะดีเหรอคะ หนู...” “เอื้อมรู้ว่ามันจะดี มาเถอะ ฉันหิว...” คำว่า ‘หิว’ มาพร้อมกับคุณปูรณ์แหงนศีรษะพาดไว้ที่เบาะนุ่ม ปลายลิ้นที่แลบออกมาส่ายร่อนอยู่เหนือริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เห็นคือเขายิ้มกว้าง ดวงตาคมเข้มมีแววสนุกเหล่ตาไปข้างซ้ายข้างขวาคล้ายจะให้หล่อนมองตาม และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หล่อนตื่นตะลึง มือป้องปิดริมฝีปากที่พร้อมจะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะทั่วบริเวณคือสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดย่อมท่ามกลางบรรยากาศของโรงนา มีเวทีขนาดเล็กอยู่สุดทางเดิน มีภาพของหล่อนกับเขาในหลากอิริยาบถประดับไปทั่ว “อยู่ที่นี่ด้วยกันนะเอื้อม อ้อมกอดนี้และหัวใจดวงนี้เป็นของเอื้อมจริงๆ” “คุณปูรณ์ล้อหนูเล่นหรือเปล่าคะ หรือหนูฝัน” เอื้อมดาวขยับยุกยิกเหมือนจะหยิกตัวเอง ทำให้ปูรณ์ยิ่งขำ เขากอดรัดร่างหอมกรุ่นแน่นขึ้น จดจมูกที่หน้าผากและเรือนผมนุ่ม อยากกอดรัดหล่อนแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากให้เอื้อมดาวห่างหายไปไหน ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่มีร่างเล็กๆ นี้นอนแนบข้าง ไม่เคยมีค่ำคืนใดที่ว่างเว้น เรียกได้ว่าแค่ขอให้มีโอกาส เขาก็พร้อมจะพาเอื้อมดาวโลดแล่น และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หล่อนขอไปหาฟ้ารุ่งที่ร้าน เขาก็แทบจะขาดใจ แล้วเดือนหน้าหล่อนต้องไปเรียน เขาไม่ต้องตามไปเฝ้ากันเลยเหรอ เวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักมันมีอานุภาพร้า
แม่เปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้พ่อลาออกจากงานที่ฟาร์มแล้วมาเปิดร้านวัสดุการเกษตร เพียงเพราะเพื่อนนินทาว่าพ่อเลี้ยงแม่เหมือนเมียเก็บ วันวันอยู่แต่ไร่แต่ฟาร์ม เพราะว่าแม่อายุห่างจากพ่อมาก แม่จึงร่ำร้องให้พ่อตามใจ เพราะอยากประกาศให้เพื่อนฝูงรู้กันให้ทั่วว่าแม่เป็นเมียของพ่อ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยที่แม่ไม่คำนึงถึงความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน “พ่อรักแม่มากเลยนะคะ” “ใช่ พ่อรักแม่มาก แต่แม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” “คะ...” “เพราะเอื้อมไงละ เอื้อมทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เอื้อมดาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ตอนนั้นแม่เพิ่งสิบแปด ยังเด็กมาก มีลูกก็ไม่อยากจะเลี้ยงด้วยซ้ำ อยากแต่งตัวสวยๆ อยากให้คนมองอย่างชื่นชม แต่เอื้อมไม่เหมือนแม่นะ เอื้อมเป็นผู้ใหญ่กว่าแม่มาก เอื้อมเข้มแข็งและแม่มั่นใจว่าเอื้อมจะทำได้ดีกว่าแม่ ที่สำคัญคุณปูรณ์เขาไม่ได้เห็นเอื้อมเป็นเมียเก็บ เชื่อแม่” .. เอื้อมดาวกลับเข้ามาที่ฟาร์มช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านพัก คนงานก็มาบอกว่าคุณปูรณ์ให้หล่อนไปพบที่โรงนาหลังเก่าที่กำลังปรับปรุงไว้ส
แกร๊ก... ฟ้ารุ่งผินมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประทินผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนต้องรีบแต่งหน้าให้เสร็จเร็วไว เพราะใกล้เวลาเปิดร้านเต็มที ทว่าคนที่เดินเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้ฟ้ารุ่งหงุดหงิด “แกจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ” คำพูดห้วนจากน้ำเสียงหวานๆ ของแม่ทำให้เอื้อมดาวเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาร้อนผ่าว คงไม่มีวันที่จะพูดจาดีๆ กันอีกแล้ว แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบเดือน จนแน่ใจว่าไอ้เสี่ยโบ้จะไม่มาวุ่นวายกับแม่กับหล่อนอีก คุณปูรณ์จึงอนุญาตให้แม่กลับมาดูแลร้านได้ และคุณปูรณ์ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแม่ เขาแค่ยั่วหล่อนเล่น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนกับแม่ก็ยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นก็แทบเป็นคนไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่เคยพูดกับหล่อนอีกเลย แต่หล่อนล่ะ หล่อนจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เหรอ อยู่แบบไม่มีแม่ แม้แม่จะไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูก แต่แม่ก็เป็นแม่ของหล่อนเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ “แม่ยังโกรธหนูอยู่เหรอคะ” ฟ้ารุ่งชะงักมือท
เอื้อมดาวล่องลอยไปกับความปรารถนาเพราะทุกจุดสัมผัสบนร่างกายถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน จนหล่อนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายยิ่งบดเบียดเสียดสีดอกไม้งามที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำหวานกับความแข็งแกร่งของเขา จนในที่สุด ทุกอย่างก็ถูกสอดใส่ ทั้งๆ ที่หล่อนและเขายังสวมใส่เสื้อผ้าครบ นั่นทำให้เอื้อมดาวได้อีกประสบการณ์ความเสียวที่เพียงแหวกช่องทาง ทุกอย่างก็สอดใส่เข้าหากันได้ “อ่ะ...” หล่อนชะงักร่าง เพราะสิ่งที่หล่อนนั่งทับให้สอดแทรกเข้าสู่ร่างกาย ใหญ่จนหล่อนไม่กล้าทิ้งตัวนั่งลงไปตรงๆ “เจ็บเหรอ” “ไม่ค่ะ หนู... หนูแค่ตกใจ... เอ่อ... คุณปูรณ์ใหญ่” หล่อนตอบแต่เขากลับหัวเราะ “คุณปูรณ์หัวเราะอะไรคะ” “ก็หัวเราะคนพูดตรง” “เอ่อ... ไม่ดีเหรอคะ หนู... ไม่ควรพูดเหรอคะ” “ไม่ใช่ไม่ควร ควรมากเลยละ เพราะยิ่งพูด... ฉันก็ยิ่งแข็ง” “ว้าย! คุณปูรณ์...” เอื้อมดาวผวาเพราะสิ่งที่แข็งเด้งสวนขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือแกร่งที่ขยับโขยกสะโพกของหล่อนเร็วรี่ จนเสียงร้องตกใจกลายเป็นเสียงครวญครางไม่ขาดปาก จากนั้นเสียงของเขาเสียงของหล่อนก็สอดประสาน เ