“สัญญานี้เริ่มตั้งแต่เมื่อใดเพคะ”หยวนเพ่ยเปิดคำถามทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่จวนหวาง ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถามนางทันที เพียงจูงมือนางไปยังห้องนอน เขาดึงสลักที่เป็นกลไกออกเล็กน้อย เมื่อช่องที่อยู่ตรงหัวนอนเปิดออก ชายหนุ่มจึงหยิบกล่องใบหนึ่งมา หยวนเพ่ยจำได้ว่าเป็นกล่องที่หวงตี้พระราชทานให้เขาในวันเสกสมรส เม
หนึ่งเดือนก่อนออกเดินทาง หยวนเพ่ยรู้สึกตัวเมื่อใกล้ยามเหม่า (05.00 น.- 6.59 น.) นับว่าสายกว่าเวลาที่นางตื่นปกติเกือบชั่วยาม นางลุกขึ้นนั่ง เรือนผมยาวสยายถึงเอว เรือนกายเปลือยเปล่า เนินอกอิ่มมีรอยจูบจางๆ ตีตราความเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังรู้สึกมวนมุนในท้องจนต้องเอามือแตะเบาๆนับว่าการเดินทางต
“ถวายบังคมหวงไท่โฮ่ว ถวายบังคมเฉากุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ / เพคะ”“ลุกขึ้นเถอะ”หวงไท่โฮ่วแย้มยิ้มเมื่อหยวนเพ่ยและฉู่หวางย่อกายคารวะนาง ก่อนที่ฉู่หวางจะค่อยๆ ประคองหยวนเพ่ยให้ลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นใบหน้าแดงเรื่อน้อยๆ ของชายาน้อยแห่งตำหนักฉู่หวาง ก็อดสบเนตรกับเชียนอิงที่กำลังอุ้มองค์ชายน้อย อมยิ้มเอ็นดูมิได้“
หลังจากที่ทุกคนออกไปกันหมด คืนความเป็นส่วนตัวให้แก่ไท่โฮ่วและหยวนเพ่ย ขณะเดียวกันน้ำเมล็ดบ๊วยก็ยกมาพอดีพร้อมกับน้ำผึ้งหนึ่งถ้วยไว้เติมปรับรสชาติตามใจชอบ เด็กสาวกลั้นใจดื่มจนหมดถ้วยก็พบว่ารสชาติไม่ได้แย่เท่าที่คิด รสเปรี้ยวฝาดของเมล็ดบ๊วยคั่ว พอมีรสหวานของน้ำผึ้งเข้าไปก็กินง่ายขึ้น ผ่านไปครึ่งเค่อ อา
เนื่องจากในช่วงเย็น หยวนเพ่ยได้ให้คนส่งหนังสือลาไปยังวังเพื่อแจ้งให้เสนาบดีทุกกรมกองทราบว่า ฉู่หวางขอลาหยุด 7 วันเนื่องจากมีอาการไข้หวัด ยังความงุนงงสงสัยให้แก่เหล่าขุนนางเป็นอย่างยิ่ง ด้วยฉู่หวางเป็นบุรุษที่สุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉู่หวางเพิ่งอภิเษกชายาคนงามได้ไม่กี่เดือน ย่อมอย
เนื่องจากฉู่หวางหายดีแล้ว เขาจึงขอให้หยวนเพ่ยหยุดพักผ่อนอยู่ในจวน ส่วนตัวเขาจะไปเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่วเพียงลำพัง เด็กสาวจึงมีเวลาพักจนกว่าฉู่หวางจะกลับมา กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น เขาก็ส่งคนมาแจ้งว่าจะอยู่เสวยมื้อเย็นเป็นเพื่อนหวงไท่โฮ่ว ให้นางกินข้าวก่อนได้เลย ซึ่งหยวนเพ่ยเองก็เข้าใจ เพราะมีบางครั้งที่เข
ในยามฟ้าโปร่งของฤดูร้อน รถม้าหรูหราขนาดใหญ่สองคันเคลื่อนออกจากประตูจูเชว่ ซึ่งหนึ่งในสี่ประตูเมืองใหญ่ของฉางอัน ออกนอกตัวเมืองฉางอัน เข้าสู่พนาสณฑ์ทิวป่าที่ร่มรื่นสองข้างทาง มีชายหนุ่มรูปงามบังคับรถม้าคนละคันด้วยความเร็วสม่ำเสมอ คล้ายดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางหลังจากรถม้าเริ่มผ่านทิวป่าได้ครึ่งทา
“ใต้เท้าฟู่ นี่คือของที่ท่านไหว้วานให้ข้านำมาจากบ้านของท่านตามที่เขียนไว้ในจดหมายหรือไม่”เมื่อมาถึงโถงรับแขก ฉู่หวางเป็นฝ่ายเปิดประเด็นโดยการนำห่อผ้าที่ห่อกล่องใบหนึ่งมอบให้แก่ฟู่ถิงเฟิง อีกฝ่ายเพียงแกะห่อออกดูก็พยักหน้า“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นกล่องที่ใส่สมุดบัญชีของกระหม่อมจริงๆ”“สมุดบัญชี?” หยวนหลี่เ
แต่แล้วในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันประสูติของรัชทายาท กลับทำให้พระองค์แปลกใจเหลือประมาณการแสดงของซินฉีไม่ได้เป็นการร่ายรำดื่มเดี่ยวใต้จันทร์ของหลี่ไป๋ กลับเป็นเพลง เจียเหรินฉู่ (ลำนำสาวงาม) ซึ่งเป็นเพลงของหลี่เหยินเหนียน นักดนตรีสมัยฮั่นตะวันตกที่แต่งเพื่อชมโฉมของฟูเหริน[1]พระองค์หนึ่ง“นางคือโฉมงามแห่ง
ฝ่ายงานราชพิธีของวังหลวงแบ่งออกเป็นหลายกองได้แก่ กองตำราอักษร กองสังคีต กองอาคันตุกะ และกองพิธีเฉลิมฉลอง ซึ่งยามที่ราชนิกุลหนุ่มทั้งสองพระองค์เดินผ่าน มักได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและเสียงขับร้องไพเราะหวานแว่วไปทั่วบริเวณ จื่อหยวนและจื่อซินมาหยุดที่เรือนของกองพิธีเฉลิมฉลอง ที่นั่นมีหญิงสาวส
กาลเวลาผันผ่านตามฤดูกาลทั้งสี่ ยามวสันต์บุปผาบานสะพรั่ง เปลี่ยนเป็นคิมหันต์ตะวันสาดแสงแรงกล้า พอเข้าเดือนสารทใบเฟิงแดงส้มก็ร่วงหล่นปูลาดพื้นวิจิตรตระการ จากนั้นจึงผันผ่านเปลี่ยนเป็นเหมันต์ปกคลุมไปด้วยหิมะทุกแดนดิน ไม่นานก็ผ่านไปสิบห้าหนาว เหล่าทารกตัวน้อยที่เดิมเคยนอนขดนิ่งอยู่ในเปลรอการ
ณ เรือนหลังเล็กของจวนฉู่หวางแห่งฉางอันที่ใช้เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักผ่อนคลายอิริยาบถของเจ้าของจวน บัดนี้มีของเล่นเด็กทั้งชายหญิงวางเรียงรายอยู่บนพื้นไม้ที่ปูด้วยผ้าผืนนุ่ม ทั้งตุ๊กตาเสือสีแดงปักลวดลายสดใส ม้าโยกตัวน้อยสีเหลืองสด ตุ๊กตาผ้าเด็กผู้หญิงหลากหลายขนาดและสีสัน และทองคำหีบเล็กที่เป็นของเล่น
หยวนเพ่ยได้ฟังข้อหาใหม่เช่นนี้ยิ่งงุนงงหนัก “เขาไปล่วงเกินฝ่าบาทตอนไหนหรือเพคะ”“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า” เขาชี้มาทางนาง“หม่อมฉัน? ผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่หรูเหริน เทียบเท่ากับตำแหน่งพระสนมขั้นไฉเหรินลำดับห้า ถ้านับตามยศแล้วหม่อมฉันย่อมต่ำชั้นกว่า หม่อมฉันจะคารวะเขาก่อนย่อมไม่แปลกเพคะ และที่เขาแตะ
หวงตี้จูงมือหยวนเพ่ยเข้ามายังสวนด้านใน สร้างความแตกตื่นให้แก่นางกำนัลที่พบเห็นไม่น้อย หยวนเพ่ยเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรง หนึ่ง ด้วยนางกำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด สอง อีกฝ่ายเป็นถึงหวงตี้ ตอนนี้สถานการณ์ในจวนก็ย่ำแย่พอแล้ว ถ้าเกิดนางเผลอพลั้งมือซัดหวงตี้สลบเหมือนตอนสยบท่านข่านด้วยขากวาง เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างไม่มั่นคงและทุกข์ทรมานที่สุดนับตั้งแต่หยวนเพ่ยรู้จักวิธีหายใจ รายงานอาการบาดเจ็บของฉู่หวางที่ถูกส่งมาสัปดาห์ละสองฉบับนั้น แต่ละครั้งล้วนเป็นรายงานที่ไม่อาจนับได้เต็มปากว่าเป็นข่าวดี ถึงแม้เขาจะพ้นขีดอันตราย แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะส่งตัวกลับมายังซีหนิงได้ ทำให้หยวนเ
หยวนเพ่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่มีหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลานช่วยประคอง และมีหยวนหลี่ผู้เป็นมารดาบีบมือบุตรสาวไว้แน่น แล้วเอ่ยเบาๆ“ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน”หญิงสาวได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า นางสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย“เรื่องเป็นมาอย่างไร”อู่จี๋หอบหายใจครู่หนึ่งจึงกัดฟันเอ่ยต่อ“เมื่อวั
สองเดือนหลังจากนั้น หยวนเพ่ยก็ได้รับข่าวดีว่าทัพของฉู่หวางได้รับชัยชนะ บัดนี้อยู่ในค่ายของซีซย่า คาดว่าอีกสามวันถึงจะเดินทางกลับสู่ซีหนิงหญิงสาวที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ให้เบาใจ นางในตอนนี้อายุครรภ์เจ็ดเดือน แต่ครรภ์กลับใหญ่โตอุ้ยอ้ายยิ่ง จะนั่งก็ลำบาก จะยืนก็ปวดขา ขนาดหยวนหลี่ผู้เป็นมารดายังอดทักไม