“ทำไมต้องเป็นชาเหรอคะอาปราบต์”
น้ำเสียงของภารัชชาติดหงุดหงิดใจ เธอมาปรึกษาปราบต์หรืออาปราบต์น้องชายพ่อ เขาเป็นผู้ใหญ่ในนาวารีรักษ์คนเดียวที่เธอไว้ใจและเชื่อใจ
คนในตระกูลนาวารีรักษ์ส่วนใหญ่ ล้วนแต่รังเกียจเธอกับแม่ทั้งนั้น แทบไม่นับเป็นญาติร่วมสายเลือดเสียด้วยซ้ำไป
อย่างที่บอกว่าพอใกล้ถึงวันวิวาห์ อาการของเธอก็ยิ่งออกชัดมากขึ้น วันนี้ภารัชชาจึงเดินทางมาหาอาปราบต์ถึงบริษัท
เธอกระสับกระส่ายนอนไม่หลับทั้งคืน พรุ่งนี้ต้องไปลองชุดแต่งงานพร้อมเจอหน้าชายที่อยากเลี่ยงมากที่สุดอีก
“เพราะชาเป็นลูกสาวอีกคนของเจ้าสัวชาญชัยไง ถึงจะเป็นลูกสาวของเมียรอง แต่ก็ไม่ได้น้อยหน้าใครนะ” อาปราบต์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงาน ปิดแฟ้มเอกสารเพื่อช่วยรับฟังเธอ
“แต่ผู้หญิงที่เพียบพร้อม คนที่ศีลเสมอกับคุณหมอไป๋ มีตั้งเยอะนะคะอา”
“แล้วหลานสาวอาคนนี้ไม่เพียบพร้อมตรงไหน”
อาปราบต์เอ็นดูภารัชชาเหมือนลูกสาวแท้ๆ อาจจะเป็นเพราะเคยมีเบื้องหลังบางอย่างกับแม่ของเธอมาก่อน เขาจึงคิดว่าถ้าได้ภารัชชาเป็นลูกสาวจริงๆ ก็คงดี
ร่างบางที่นั่งบนโซฟาไม่ตอบ แต่ใบหน้าสวยสดงอง้ำแง่งอนที่ทุกอย่างไม่เคยได้ดั่งใจ
หากเหลียนฮวากรุ๊ปคือเส้นชัยของหมอไป๋ เป้าหมายสูงสุดของแม่เธอคือการได้ครอบครองนาวารีรักษ์ ความฝันที่ผลักดันให้ลูกสาวแบกรับไว้เต็มบ่า
“แล้วทำไมเราดูไม่ชอบหมอไป๋ขนาดนั้นล่ะ” อาปราบต์ลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมหลังโต๊ะทำงานมานั่งที่โซฟาเดียวกัน
“เพราะเขาดูจะเกลียดที่ชาเป็นลูกเมียน้อยค่ะ”
“คนเราก็มักจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เคยเจอ... คุณหมิงก็มีภรรยารองกับลูกชายเหมือนกัน ชารู้ใช่มั้ยว่ามันเป็นยังไง”
“เข้าใจค่ะ เขาถึงได้เหมารวมชาไปด้วยอีกคน”
พูดถึงแล้วใจเธอมันก็เจ็บชาขึ้นมา เธอไม่เคยอยากได้สมบัติของนาวารีรักษ์เลยสักอย่าง มีแต่ปรางสิตาเท่านั้นที่โลภและใช้ลูกสาวเป็นบันไดไต่ความสำเร็จ
“อยากให้อาช่วยคุยเรื่องนี้กับพี่ชาญให้มั้ย” อาปราบต์ลอบถอนหายใจปลงๆ สีหน้าดูวิตกกังวลกลัวเธอจะรับมือไม่ไหว
“ไม่เป็นไรค่ะ ชาตัดสินใจที่จะแต่งเองค่ะอาปราบต์”
“เพราะความฝันของปรางสิตาจะได้เป็นจริงใช่มั้ยล่ะ”
ภารัชชาเม้มปากเข้าหากัน เธอหลุบมองมือที่กุมประสานไว้ ก่อนจะระบายลมหายใจที่อึดอัดทิ้งออกมา
เธอกลายเป็นคนขยาดความรัก เพียงเพราะพบเห็นประสบการณ์ความรักที่ไม่ดีจากคนใกล้ตัว และเธอกลัวจะเจอผู้ชายแบบพ่อตัวเองมากที่สุดเลย
“พี่ชาญชัยน่าจะฝากชาไว้คุณหมิง คงจะกลัวที่เป็นลูกเมียรองแล้วจะน้อยหน้าเมียหลวงเขา”
“แม่จะไม่ยอมแพ้คุณหญิงชมขวัญจริงๆ ใช่มั้ย”
“อาเตือนแล้วปรางสิตาก็ไม่ฟัง อาเตือนแล้วจริงๆ”
อาปราบต์ถอนหายใจอย่างละเหี่ยใจ สงสารหลานสาวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่มีอำนาจบาตรใหญ่เท่าตัวพี่ชาย อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่ายด้วย
หลายอย่างมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน...
“แต่ชากลัวค่ะอา... ใครๆ ก็บอกว่าหมอไป๋เป็นมาเฟีย” เธอพูดขึ้น ความกลัวมันเกาะกุมใจจนเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว
“อาได้ยินมาว่าหมอไป๋เป็นแพทย์ฝีมือดี เคร่งครัดในหน้าที่มากถึงได้โดนคนขนานนามว่าหมอมาเฟียต่างหาก”
“แล้วเขาได้ทำผิดกฎหมายหรือเปล่าคะอาปราบต์”
“ตระกูลซ่งร่ำรวยจากธุรกิจค้าขายบนดินไม่ใช่ใต้ดิน”
อาปราบต์อธิบายด้วยน้ำเสียงใจเย็น มีรอยยิ้มติดเอ็นดูเธอที่คงจะมโนเพ้อพกในจินตนาการไปไกล คิดว่าซ่งไป๋อาจจะเป็นหมอที่ทำงานให้มาเฟียหรือทำสิ่งผิดกฎหมายแน่ๆ
“แล้วทำไมถึงเรียกว่าหมอมาเฟียล่ะคะ”
“เพราะเป็นคนของตระกูลซ่งที่มีอำนาจมากไง”
“อ่า ก็อาจจะจริงอย่างที่อาพูดนะคะ”
ภารัชชาจิตใจห่อเหี่ยวหนักกว่าเก่า ตอนนี้เธอทั้งซึมและเศร้าจนแทบจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากทุกคืน
“แต่ชากลัวว่าถ้าแต่งแล้วอยู่ด้วยกัน ชีวิตชาจะไม่มีทางสงบสุข เขาคงจะหาเรื่องชาไม่เว้นวันแน่ๆ เพราะไม่ชอบชาค่ะ” เธอพูดต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวลใจ
หมอไป๋ไม่ได้ชอบพลอเธอนัก ตรงกันข้ามเขาเกลียดการที่มีเธออยู่ใกล้ด้วยซ้ำ เกลียดแบบโจ่งแจ้งจนใจบางไปหมด แต่ต้องทำใจดีสู้เสือร้ายไม่ให้เหยียบซ้ำเธอไปมากกว่านี้
“ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข... อาว่าลองพูดจากันดีๆ หรือยอมอ่อนข้อให้กันหน่อยก็ได้”
“แล้วชาต้องพูดยังไงเหรอคะที่บอกว่าดีๆ น่ะอาปราบต์”
“ผู้ชายแพ้ลูกอ้อนของผู้หญิงอยู่แล้ว”
“อาจะให้ชาไปอ้อนเขาเหรอ”
“ถ้าต้องทำเพื่ออยู่รอด อาก็คิดว่าชาไม่ควรดื้อนะ”
ภารัชชาส่ายหน้ารัวทันที ไม่มีทางที่เธอจะพูดจาคะขา หรือออดอ้อนออเซาะหมอไป๋แน่นอน มีหวังได้คลื่นไส้อาเจียนสำรอกหมดไส้หมดพุงกันพอดี
“ลองขอให้เขาที่เป็นสามีเมตตาเราดูนะชา... สามีก็คือสามีนะครับ สุดท้ายก็เพื่อความอยู่อย่างสงบของเราเอง”
คนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านคงแนะนำได้เพียงเท่านี้ ยังไงวิวาห์หวานจอมปลอมนี้ก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี
ร่างระหงองเอวล้วนงดงามงุดหน้าน้อยๆ เธอสูดลมหายใจเข้าขณะที่ครุ่นคิดสิ่งที่อีกฝ่ายพูดด้วย และมันก็คงจริง จะใช้ชีวิตให้สงบสุขในเรือนหอรักปลอมเปลือกที่ไม่มีอยู่จริงให้ได้
ทางเดียวคือขอให้สามีจอมปลอมเมตตาดูสักครั้ง...
“ถ้ามีอะไรก็บอกอา อาพร้อมจะช่วยชาเสมอ” อาปราบต์ก็ยังคงแสนดีที่หนึ่ง แค่มีคนรับฟังเธอระบายก็สบายใจแล้ว
“รู้มั้ยชาอยากเกิดเป็นลูกสาวของอาจริงๆ เลยค่ะ”
“จริงเหรอ อาจะมีลูกสาวน่ารักแบบชาเลยนะเนี่ย”
“จริงสิคะ อาปราบต์ใจดีกับชาที่สุดเลยค่ะ”
ภารัชชายิ้มกว้างแต่ก็แอบเบะปากจะร้องไห้ เธอขยับตัวเข้าไปสวมกอดคนเป็นอาเหมือนคนหาที่พึ่งพาทางจิตใจ แต่บ่อยครั้งก็ได้ยินคนพูดกันไปทั่วว่าเธอหน้าคล้ายอาตัวเอง
“อาก็คิดว่าชา... เป็นลูกสาวของอาเหมือนกัน”
เช้ามาที่หมอไป๋และภารัชชานั่งและยืนกันคนละมุม ร่างสูงยืนชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ส่วนภรรยาป้ายแดงนั่งดื่มเพียวมัทฉะในยามเช้าบนโต๊ะอาหารจะว่ามองหน้ากันไม่ติดก็ใช่ เมื่อคืนนอนกอดกันกลมไม่พอ ตอนตื่นเธอยังพบว่าตัวเองมุดเข้าไปซุกอกอุ่นของหมอไป๋อีกอายแค่ไหนก็ต้องเก็บอาการ หน้าต้องหนาให้พอต่อกรกับเขาเข้าไว้“ถ้วยฟู”“มาว~”เจ้าถ้วยฟูส่งเสียงร้องครืนคราง ก่อนจะเดินมาคลอเคลียที่ต้นขาของภารัชชา หมอไป๋ได้ยินเสียงแมวร้องก็หันมอง พลันขมวดคิ้วเครียดที่เห็นแมวน้อยเดินนวยนาดข้างเธอ“ตัวอะไร” เขามองแมวสามสีตัวอวบอ้วนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ก็แฝงความไม่พอใจอยู่ในนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงมาเดินเพ่นพ่านในบ้าน“จระเข้มั้งคะคุณไป๋”“กวนประสาทเหรอ”“คุณก็เห็นว่าน้องเป็นแมว จะถามทำไมคะว่าตัวอะไร” เธอก้มตัวลงไปอุ้มถ้วยฟูขึ้นมานั่งตักหมอไป๋มองแล้วเบ้หน้าเล็กน้อย พลางยกกาแฟรสเข้มขึ้นมาดื่มก่อนไปทำงาน แมวเธอตัวอวบอ้วนจนตักเธอจะรองรับน้ำหนักไม่ไหวอยู่แล้ว“แมวหรือหมูตัวใหญ่ขนาดนั้น”“ถ้วยฟูไม่อ้วนสักหน่อยค่ะ”“แน่ใจเหรอว่าไม่อ้วน”“น้องแค่จ้ำม่ำเฉยๆ เองคุณไป๋”ภารัชชามองตาขวางใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเอามือป้องหูถ้วยฟูไม
ร่างบางพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ เธอข่มตาในความมืดให้หลับไม่ลง จนได้ยินเสียงหมอไป๋ถอนหายใจเป็นระยะเขาก็คงรำคาญเธอเต็มที เล่นพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา พาลให้เขานอนไม่หลับด้วยอีกคน แต่เมื่อภารัชชาเริ่มตัวสั่นแล้วกระเถิบจนแผ่นหลังชิดหลังหมอไป๋ เขาก็ผงกหัวแล้วเอี้ยวลำคอหันมองทันที“จะยุกยิกอีกนานมั้ย” หมอไป๋ขมวดคิ้วหัวเสีย พรุ่งนี้เขามีผ่าตัดช่วงเก้าโมงแต่ปาไปตีสองแล้วยังไม่ได้นอนเลย“ขอแค่เปิดไฟดวงเดียวได้มั้ยคะ”“เธอเป็นเด็กหรือไง ถึงนอนแบบปิดไฟไม่ได้”“ฉันก็แค่... กลัวความมืด”ภารัชชาตอบกลับไม่เต็มเสียง เธอมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ในหัวมีแต่ภาพจินตนาการน่ากลัวจนข่มตาหลับไม่ลง ซ่งไป๋เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมอย่างที่ใครเขาพูดนั่นแหละเลือดเย็นได้แม้กระทั่งคนที่กลัวความมืด...“ในห้องนี้ไม่มีแสงลอดเข้ามาเลยนี่คะ คุณไป๋ปิดทั้งม่าน... ปิดไฟในห้องทั้งหมดเลย”“ฉันนอนไม่หลับถ้าไฟแยงตา”“ถ้างั้นให้ฉันไปนอนข้างนอกก็ได้ คุณจะได้ไม่หัวเสียด้วยค่ะ”หมอไป๋ยันกายลุกขึ้นนั่ง พลางลอบระบายลมหายใจทิ้ง ใช่ว่าเขาอยากจะรั้งเธอไว้สักหน่อย แต่ตัวเขาก็มีเหตุผลให้ต้องคุ้นเคยกับคนที่เกลียดเหมือนกันซ่งไป๋เป็นคนไม่คุ้น
ภารัชชานั่งข้างซ่งไป๋บนรถโรลส์รอยซ์คันหรู สารถีกรกำลังขับพาทั้งคู่ตรงไปยังเพนส์เฮ้าส์ส่วนตัวของหมอไป๋ มูลค่าร่วมสี่ร้อยกว่าล้านเป็นมุมที่เขาหวงความเป็นส่วนตัวมากแต่หมอไป๋เป็นคนเสนอเอง จัดให้เพนส์เฮ้าส์เป็นเรือนหอเพราะไม่อยากเจียดเงินในส่วนนี้ แค่ค่าสินสอดที่ต้องประเคนให้แม่ลูกคู่นี้ก็มากเกินพออีกอย่างการที่ภารัชชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเขา เขาจะได้จัดการเธอได้ง่ายมากขึ้น เวลาพยศทีจะได้กำราบง่ายไม่ต้องใช้แรงเยอะปึกศีรษะเล็กที่สัปหงกอยู่ซบลงบนไหล่กว้าง ใบหน้าสวยสดดูเหนื่อยล้าจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทิ้งหัวบนไหล่หมอไป๋“นี่เธอ”ใบหน้าหล่อเหลาทมึงตึง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันศีรษะเธอให้ออกห่างภารัชชาปรือตาขึ้นมอง หมอไป๋เลยหันหน้าหนีแสร้งว่าไม่ได้ดันหัวเธอออกแต่อย่างใด เธอหลับตาลงกลับเข้าสู่อาการสัปหงกอีกครั้ง และก็เผลอไปพิงไหล่เขาอย่างไม่รู้ตัวอีกแล้ว“ภารัช...”“อื้อ”หมอไป๋ลืมคำพูดที่จะต่อว่าไปชั่วขณะ หลุบตามองใบหน้าสวยสดที่ครางครืนในลำคอ ปมที่หว่างคิ้วเริ่มคลายออกราวกับสบายตัวที่ได้นั่งซบไหล่อยู่“ภาระ”ใบหน้าหล่อคมเบือนหนีออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เธอได้ซบอิงไหล่เขาระหว่างรถขับเคลื่อนไปบนถน
ภารัชชาควงแขนสามีร่วมดื่มฉลองกับเพื่อนเขาสักพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะให้หมอไป๋ได้อยู่พูดคุยกับเพื่อนๆ เขาแทน ไม่อยากยืนฝืนยิ้มในหมู่คนที่เธอเองก็ไม่ได้สนิทสนมดีกระทั่งหมุนตัวกลับมาแล้วเห็นปรางสิตายืนข้างอาปราบต์ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวันก็เผยรอยยิ้มกว้างในทันทีเธอกลายเป็นเด็กน้อยวัยแปดขวบ จ้องจะวิ่งเข้าหาแม่ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ถึงแม้อายุอานามจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วก็ตาม แต่ข้างในตัวภารัชชายังมีเด็กน้อยหนึ่งคนอยู่ด้วยตลอดเวลาเด็กน้อยที่รอคอยความเมตตาและความรักจากผู้ให้กำเนิด...“แม่กับอาปราบต์ยังไม่กลับอีกเหรอ” ร่างระหงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าปรางสิตา แต่คนเป็นแม่กับทำหน้าระอาเต็มกลืน อาปราบต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเป็นคนพูดกับเธอแทน“อาขอให้แม่อยู่ลาเราก่อนน่ะ จะเข้าเรือนหอทั้งทีคงมีอะไรให้ร่ำลากันหน่อย”“ร่ำลาอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเชือดสัตว์นะคุณ”“แต่หลานกำลังจะเข้าเรือนหอ เธอควรให้พรลูกหน่อยนะสิตา”ปรางสิตาถอนหายใจพรืดยาว เธอก็แค่ไม่รู้จะอยู่ปั้นหน้าให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อเจ้าสัวชาญชัยอวยพรในพิธีงานจบก็ขอตัวกลับพร้อมภรรยาหลวง แต่อาปราบต์กลับรั้งปรางสิตาให้อยู่รอเจอภารัชชาหลังจ
AFTER PARTY คือช่วงเวลาปลดปล่อยความสนุกหลังพิธีวิวาห์สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ ทุกคนต่างก็มารวมตัวสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของทางฝั่งของหมอไป๋มากกว่าภารัชชามีเพื่อนรักเพียงคนเดียวแค่อิงธารา ส่วนอีกคนก็คือรุ่นพี่คนสนิทอย่างสิบทิศที่มาร่วมยินดี ทั้งสามนั่งร่วมดื่มเฉลิงฉลองกันที่โต๊ะ ส่วนเพื่อนร่วมงานหมอไป๋จัดเต็มอยู่หน้าเวทีกันหมดแล้วหากไม่ได้บอกว่าเป็นหมอรักษาคนไข้ ภารัชชาก็นึกว่าเหล่ากองทัพแพทย์เป็นนักเต้นมืออาชีพ แต่ละคนเท้าไฟมีหัวใจรักดนตรีกันทุกคน“แกดื่มเยอะเกินไปแล้วนะอิง พี่สิบช่วยปรามหน่อยสิคะ” ภารัชชาหันไปทำเสียงอ้อนให้สิบทิศช่วยสิบทิศเป็นรุ่นพี่สายรหัสเธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชายร่างสูงโปร่งผิวพรรณดีสวมแว่นสายตาทรงกลม เป็นหนุ่มตี๋ที่มีสาวสวยมารุมขายขนมจีบกันให้เพียบ แต่คงทำได้แค่มองเพราะรุ่นพี่เธอมีแฟนสาวแล้ว“เดี๋ยวพี่ดูอิงให้เองครับ น้องชาไปช่วยคุณไป๋เถอะ”“ยัยชาฉันโคตรยินดีกับแกเลยนะเว้ย... เพื่อนร้าก”อิงธาราอยู่ในอาการมึนเมา โยกตัวมาโอบกอดเพื่อนรักแล้วโคลงตัวไปมา ทำภารัชชาหลุดยิ้มอย่างเอ็นดูเพื่อนตัวเอง“ฉันรู้แล้ว แต่แกช่วยตั้งสติหน่อยเถอะน่า”“ดูแลตัว
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่หลับตาลงเพียงครู่เดียวตื่นขึ้นมาอีกวัน ภารัชชาก็อยู่ท่ามกลางงานแต่งสุดอลังการสมฐานะสะใภ้หมื่นล้านตระกูลซ่งภายในงานประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ โคมไฟคริสตัลห้อยระย้าเล่นแสงส่องประกายระยิบระยิบ แขกเหรื่อคนสำคัญทั้งจากวงการแพทย์และแวดวงธุรกิจ ต่างก็มาร่วมยินดีปรีดากับทั้งคู่ในครั้งนี้ควันสีขาวของทีมงานที่จัดเตรียมไว้พ่นตามทาง ขณะที่ร่างระหงในชุดเจ้าสาวเดินผ่าน ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของแขกผู้มีเกียรติ เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราวเพื่อร่วมแสดงความยินดีร่างบางระหงสวมชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ กำลังก้าวเดินไปบนเวทีที่ปลายทางคือเจ้าบ่าวของงานซ่งไป๋หล่อเหลาเอาการ เขาอยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีสุภาพเซททรงผมเปิดหน้าผาก แต่งแต้มเครื่องสำอางแค่เล็กน้อยก็โดดเด่นเป็นประจักษ์แก่สายตา ราวกับมีไฟออร่าสาดส่องไปที่เขาโดยไม่ต้องพึ่งไฟของงานเลยทุกฝีก้าวที่ภารัชชานั้นก้าวเดิน เป็นดั่งขั้นบันไดไปสู่ขุมนรก โดยที่มีผู้คุมขังวิญญาณให้โดนจองจำคือสามีจอมปลอมอย่างซ่งไป๋“ยิ้ม” เขาพูดผ่านไรฟัน แต่หน้ายังเปื้อนยิ้มอยู่ภารัชชาไม่ยิ้มเลยตั้งแต่เปิดประตูเดินออกมา เธอรู้ว่าปรางส