แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: ซือซิง SiXing
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-06 01:50:45

บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (2/2)

ภายใต้แสงจากเชิงเทียนข้างโต๊ะไม้ยาว เด็กชายนั่งหลังเหยียดตรงบนเบาะผ้า ปลายพู่กันขยับลงบนกระดาษ ลากติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัดแต่น้ำหนักเส้นยังคงสม่ำเสมอ

โม่ซือเฉินมองดูชื่อของคนทั้งหลายที่เขาคุ้นเคย ไตร่ตรองว่าควรเริ่มขยับหมากตัวใดบนกระดานซึ่งถูกล้างใหม่ หมากตัวใดควรเก็บไว้ หมากตัวไหนควรทำลายตั้งแต่เนิ่น ๆ

ฝันหนึ่งตื่นคือชั่วชีวิตยี่สิบสองปีที่เคยเกิดขึ้นจริง

หลังฟื้นจากพิษไข้ คนแรกที่เขาไปคารวะเต็มพิธีคือท่านย่าจากนั้นตามด้วยท่านอา เวลานั้นคลับคล้ายตนเองยังสลัดความรู้สึกโศกเศร้าคับแค้นใจจากอีกชีวิตหนึ่งไม่พ้น เพราะความโง่เขลาถึงทำสกุลโม่เดือดร้อน เขาทราบเพียงว่านหมิงจวินเป็นผู้ลงดาบสังหารตนตามคำสั่งหวงตี้[1] ทว่าตระกูลของตนต้องประสบพบเจอความยากลำบากอะไรหลังความตายของตน เขามิอาจรับรู้ หากให้คาดเดาจากอุปนิสัยผู้ออกคำสั่ง คิดว่าคงรักษาหน้าและแสดงความอาทรเมตตา ลงโทษเด็กกับสตรีสถานเบา

ถึงเหล่าฟูเหริน[2]และโม่กุ้ยหลันไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหลานชาย ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจนยากมองหน้าพวกนาง หลังจากนั้นถึงเข้าไปสงบสติในหอบรรพชน ใครโน้มน้าวเช่นไรไม่เป็นผล โม่ซือเฉินเพียงอยากใช้เวลากับตนเองเพื่อทบทวนทุกสิ่งให้ถี่ถ้วน กระทั่งบิดามาตามด้วยตัวเองถึงยอมเปิดประตูพบหน้า ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวแต่หวั่นว่าพฤติกรรมอาจผิดสังเกต

โม่ซือเฉินยกยิ้มเย็น อักษรคังบนกระดาษถูกลากยาวไปยังอักษรฟางและเหวิน

บิดาของโม่ซือเฉินหรือหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของสกุลโม่มีนามว่าโม่เทียนฉิน สืบทอดบรรดาศักดิ์คังโหวจากบิดา ส่วนอักษรฟางหมายถึงฟางอี๋เหนียง[3] มารดาของน้องสามโม่เหวิน ผู้ที่มาด้อมๆ มองๆ แอบดูเขากับพี่ใหญ่เมื่อตอนกลางวัน ฟางอี๋เหนียงผู้นี้อย่าได้ดูแคลนว่าเป็นแค่สตรีในห้องหอ รู้จักแค่เอาใจบุรุษและทำงานฝีมือ อสรพิษนางนี้นับว่าร้ายกาจทีเดียว อีกชีวิตหนึ่งของโม่ซือเฉินอนุของบิดาผู้นี้ค่อย ๆ ชักจูงเขาในช่วงเติบใหญ่ให้แตกคอกับโม่หรงอี้ ภายหลังโม่หรงอี้พลัดตกจากหลังม้าจนพิการ ใช้ขาไม่ได้ เป็นนางที่คอยเป่าหูพี่น้องให้หวาดระแวงกันและกัน

โม่หรงอี้ต่างจากน้องชายตรงที่ได้มีเวลาอยู่กับมารดาแท้ ๆ พอจะจดจำถึงความไม่เท่าเทียมของบิดาที่ปฏิบัติต่อมารดาได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบตัวต้นเหตุเช่นฟางอี๋เหนียง

อย่างไรก็ตามยังมีน้ำใจต่อโม่เหวิน หาได้แสดงท่าทีรังเกียจ ต่างกับเขาที่ขาดความอบอุ่นจากมารดา ต่อให้ท่านอาดีเพียงไรยังคงมีเรื่องมากมายทั้งในและนอกเรือนต้องจัดการ ฟางอี๋เหนียงอาศัยช่องว่างตรงนี้ทำดีให้เขาตายใจ

โง่เขลา

เขาช่างโง่เขลาจนน่าขัน โม่ซือเฉินถอนหายใจให้แก่ความเบาปัญญาของตน ถือเสียว่านั่นเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว จำได้ว่าหลังพี่ใหญ่กลับจากจวนท่านลุงช่วงฤดูหนาว บิดาให้พวกเขา

ติดตามไปร่วมงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนของบุตรชายสหายนามเสิ่นเหยา

ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้นับเป็นสหายรักของโม่เทียนฉิน สนิทสนมกันตั้งแต่อายุยังน้อย ใต้เท้าเสิ่นแต่งภรรยาหนึ่งอนุสาม ภรรยาเอกมีบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายคนแรกเกิดจากอนุคนที่สอง เมื่ออนุสามซึ่งแต่งเข้ามาเมื่อปีก่อนให้กำเนิดทายาทชายอีกคนจึงจัดงานยิ่งใหญ่ สั่งอาหารจากหอสุราชื่อดังของเมืองหลวงมารับรองแขกรวมถึงจ้างคณะนางรำจากต่างเมืองมาทำการแสดง

ไม่ทราบว่าฟางอี๋เหนียงเป่าลมข้างหมอนเช่นไร พอถึงวันจริงบิดาถึงให้โม่เหวินติดตามไปด้วยอีกคน

การพบกันระหว่างบุตรอนุจากสกุลโม่และสกุลเสิ่นดูไม่น่าสร้างปัญหา ทว่านั่นนับเป็นหนึ่งในหายนะที่ไม่สมควรปล่อยให้เกิดขึ้น หลายปีให้หลังโม่เหวินกับคุณชายเสิ่นผู้นี้คือผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์พลัดตกม้าของพี่ใหญ่ เสียดายปราศจากหลักฐานเอาผิด ข้อกล่าวหาถูกปัดตก ยังไม่นับอีกหลายเรื่องซึ่งทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้อง

เด็กชายหยิบมีดเล่มเล็กจากลิ้นชักของชั้นไม้ด้านหลัง บรรจงกรีดกระดาษแล้วนำส่วนที่มีอักษรเหวินยื่นไปเหนือเทียน เปลวสีส้มสว่างวาบเมื่อเจอเชื้อเพลิงชั้นดี เขาทิ้งให้มันมอดไหม้ในกระถางกำยานอันว่างเปล่า

*********

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกินมื้อเช้าเรียบร้อย โม่หรงอี้เตรียมตัวพาน้องชายไปฝึกขี่ม้าตามสัญญา ขณะตรงไปยังคอกม้ากลับพบโม่เหวินซึ่งออกมาชะเง้อคอมองพร้อมบ่าวคนสนิท

เหตุการณ์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นทุกประการ

“พี่ใหญ่ พี่รอง” เสียงเรียกค่อนข้างนอบน้อม เด็กชายตรงหน้าอายุ

น้อยกว่าโม่ซือเฉินเพียงสองเดือน “พวกท่านจะไปคอกม้าใช่หรือไม่ ขอข้าไปด้วยคนเถอะ”

“เจ้าไม่ต้องท่องตำราไว้ตอบคำถามท่านพ่อหรือ” โม่ซือเฉินกล่าว คนฟังพลันเม้มริมฝีปากก้มหน้า

การเรียนของโม่เหวินค่อนข้างอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับเขาและพี่ใหญ่ จุดเด่นคือไหวพริบดี รู้จักอ่านสีหน้าคน คนประเภทนี้เมื่อรู้จักประจบสอพลอก็สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก เขายังจำได้อีกว่าน้องสามของตนเจ้าคิดเจ้าแค้นทว่ารู้จักเก็บงำข่มใจ รอเวลาเหมาะสมถึงลงมือ ตอนนี้อีกฝ่ายอายุน้อย

ไร้ประสบการณ์ แผนร้ายส่วนใหญ่จึงเกิดจากฝีมือมารดาอย่างฟางอี๋เหนียง

“ช่างเถอะ ๆ อยากมาก็มา”

“พี่รอง ท่านพูดจริงหรือ”

โม่ซือเฉินหันไปพูดกับพี่ชาย ด้านเด็กหนุ่มผงกศีรษะ ถึงไม่ชอบอนุของบิดาแต่ไม่เคยคิดร้ายต่อโม่เหวิน “เจ้าบอกฟางอี๋เหนียงแล้ว?”

คนถูกถามพยักหน้ารัวเร็ว “เมื่อเช้าข้าได้ยินพวกบ่าวพูดกันว่าพี่ใหญ่กับพี่รองจะไปขี่ม้า ข้าเลยขอท่านแม่แล้วขอรับ”

“เช่นนั้นตามมา”

ตลอดเวลาที่อยู่คอกม้า โม่ซือเฉินไม่ได้สร้างความลำบากใดแก่โม่เหวิน แม้ถูกจับจ้องด้วยสายตาริษยาอยู่เป็นระยะทว่าเขาคร้านกวนอารมณ์ผู้ใด แค่ต้องฝึกขี่กับม้าแคระอายุมากซึ่งแทบไม่ยอมเดินก็น่าเวทนาพอแล้ว พอเจ้าตัวเรียกร้องอยากฝึกกับม้าตัวอื่นเหมือนเขาบ้าง โม่หรงอี้กลับไม่อนุญาต อ้างว่าน้องสามยังขี่ไม่คล่องพร้อมปลอบใจว่าสมัยก่อนตนเองเคยผ่านการฝึกกับม้าตัวเล็กเช่นกัน

ม้ารูปร่างเล็กในจวนท่านลุงดีร้ายยังเป็นม้าศึก สูงท่วมศีรษะบางคนด้วยซ้ำ จะเทียบกับม้าแคระได้อย่างไร

“พี่ใหญ่ ข้าอยากไปจวนท่านลุง ฝึกดาบฝึกธนูเช่นท่านบ้าง” โม่ซือเฉินจงใจพูดเสียงดัง

ดวงตาคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเด็กชายกลับปรากฏความยินดี

“เอาสิ หลังปีใหม่เจ้าลองขอท่านพ่อดู ข้าจะช่วยพูดอีกแรง”

“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่สนับสนุน”

ชีวิตก่อนกว่าจะได้เริ่มฝึกการทหารกับตระกูลฝั่งมารดาเขาก็อายุย่าง

สิบห้าปีแล้ว คิดว่าหลังจากนั้นตนขยับไปจนถึงตำแหน่งแม่ทัพสำเร็จเพราะพึ่งพาพรสวรรค์ถึงเจ็ดส่วน ที่เหลือคือชะตาฟ้าลิขิต

ครานี้มีโอกาสจึงอยากไขว่คว้าให้เร็วหน่อยเพื่อเตรียมตัว

สำหรับเหตุผลที่การฝึกฝนล่าช้าส่วนหนึ่งเป็นเพราะบิดาไม่คิดสนับสนุน โม่เทียนฉินเห็นบุตรคนรองเล่าเรียนเขียนอ่านได้เยี่ยมยอดจึงใคร่ให้ดำเนินรอยตามตนเอง ภายหน้าเป็นขุนนางฝ่ายปกครอง เขาเชิญอาจารย์มาสอนโม่ซือเฉินกับโม่เหวินที่จวน ส่วนบุตรคนโตได้ฝึกกับตระกูลฝั่งภรรยาเพราะทางนั้นส่งผู้อาวุโสมาเจรจากับมารดาของเขา โม่หรงอี้แตกฉานทั้งบุ๋นและบู๊ตั้งแต่เยาว์วัย โม่เหล่าฟูเหรินย่อมอยากส่งเสริมหลานคนโต ตอบตกลงทันที

ถึงโม่เทียนฉินไม่สบอารมณ์ตอนมารดาตัดสินใจแทนกลับไม่คิดโต้แย้ง เรื่องใดไม่หนักหนามักปล่อยผ่าน บิดาเขานิยมชมชอบความสงบมากกว่าการทุ่มเถียง

“เหวอ!” เสียงร้องโวยวายกระตุ้นให้ผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์หันมอง สายตาทุกคู่หันไปยังเจ้าม้าแคระพร้อมเสียงเอะอะ

“น้องสาม” โม่หรงอี้รีบเหวี่ยงขาลงจากหลังม้าก่อนเรียกคนงานดูแลคอกเข้ามาจูงชั่วคราว “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”

“ข้าเจ็บ เจ็บไปหมดเลย ละ เลือดออก…โฮ”

โม่ซือเฉินเลิกคิ้ว มองสองนายบ่าวบนพื้น

โม่เหวินตกจากหลังม้าแคระ โดยมีบ่าวรับไว้ทัน นอกจากเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเลอะดินก็ดูไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร อย่างดีมีรอยถลอกแถวมือเล็กน้อย มิรู้ไยถึงอ้าปากกว้างร้องเสียงดังราวกับโดนผู้อื่นเฆี่ยนตี

บ่าวคนอื่นกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง กระนั้นยังกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองคุณชายสามกลับเรือน

น่าแปลกนัก

โม่ซือเฉินจำได้ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์โม่เหวินตกม้า ที่ผ่านมาทุกสิ่งล้วนเหมือนชีวิตเก่า ไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝันเหนือการควบคุมหรือนี่เป็นเพราะเขาคิดไปฝึกที่จวนท่านลุงเร็วขึ้น ถึงเกิดบางอย่างผิดแผกจากเดิม?

- - - - - - - - - - -

เชิงอรรถ

[1] หวงตี้ หมายถึงฮ่องเต้

[2] ฟูเหริน คือคำเรียกภรรยาเอกขุนนางอย่างให้เกียรติ โดยคำที่คนไทยคุ้นเคยกันคือฮูหยิน เหล่าฟูเหรินหมายถึงนายหญิงผู้สูงวัย

[3] อี๋เหนียง คือคำเรียกอนุภรรยา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 34

    เสิ่นจื่อเหลยนิ่งไปคล้ายกำลังตรึกตรองบางสิ่ง“มีสิ่งใดอยากพูดหรือ”คนโดนถามส่ายหน้าในท้ายที่สุด เห็นเช่นนั้นหลี่หงหมิงเลยไม่เซ้าซี้ เพียงเอ่ยสั้น ๆ “วันนี้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ หากเห็นว่าอะไรไม่ชอบมาพากลพรุ่งนี้บอกข้าก็ยังไม่สาย”“พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเสิ่นจื่อเหลยชำเลืองมองไปยังทิศที่คนสกุลโม่นั่ง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 33

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (2/2)ดวงหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้อยู่ท่ามกลางสหายหลายคนยังโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใดโจวเจินอวี่นับว่าดูเป็นมิตรไร้พิษภัย ไป๋อวี้เสวียนแปลกใจว่าไฉนเด็กหนุ่มซึ่งชะลอการเดินลงจนตีคู่กับตนคล้ายนิ่งอึ้งอยู่หลายอึดใจ ถ้าบอกว่าเป็นอาการตกตะลึงในรูปลักษณ์ของคุณหนูโจวก็ดูไม่เป็น

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 32

    ลูกศรดอกต่อมาถูกโยนลงอย่างแม่นยำราวจับวางในแถวห้า หนนี้ผู้ที่คิดดูถูกเริ่มพากันยิ้มไม่ออก ต่างจากโม่หลิงจูซึ่งตบมือเสียงดังพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเคร้ง!ศรดอกสุดท้ายลงเป้าง่ายดายในแถวที่ห้าอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี“ยอดเยี่ยม!” ผู้ครองอันดับหนึ่งปรบมือเสียงดังพลางเดินเข้ามาหาเขา น้ำเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 31

    ไป๋อวี้เสวียนเคยเป็นคนไม่มั่นใจและค่อนข้างขี้อายเก็บตัว ทว่าการได้กลับมาเมืองหลวงและพำนักข้างกายท่านย่าช่วยปลอบประโลม ขจัดความคิดแง่ลบทีละนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลุดพ้นจากอนุชั่วร้ายกับแม่นมที่ทรยศนางอย่างเลือดเย็น การเติบโตของนางเลยราบรื่น ได้ร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงรู้ ศิลปะ ดนตรี กิริยามารยาท การเข้

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 30

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (1/2)“คุณหนูไป๋” โม่หลิงจูกล่าวทักด้วยความยินดีที่ได้พบคนคุ้นเคย เสิ่นจื่อเหลยได้ยินเช่นนั้นพลันหันไปสบตาไป๋อวี้เสวียนคล้ายขอคำอธิบาย“ข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกัน” คุณหนูสกุลไป๋เอ่ยคล้ายมีแววตาพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าผู้ฟังชั่วอึดใจ เพียงแต่นอกจากโม่ซือเฉินก็ไม่มีผู้ใดสัง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 29

    พี่ชายยกมือป้องแดดให้น้องสาว ไม่ทันเรียกพี่เลี้ยงของโม่หลิงจูให้ส่งร่มมาพลันได้ยินเสียงพรึบพร้อมเงาทาบลงมาเหนือศีรษะร่างเล็กข้างตัว เป็นเสิ่นจื่อเหลยมือไว ฉวยร่มจากบ่าวกางให้เด็กหญิง โม่ซือเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามพบว่าร่มเงาหาได้เผื่อแผ่มาถึงตนหรือโม่เหวิน“ขออภัย ข้ามัวสนทนาจนลืมว่าเจ้าอาจจะร้อน”“ไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status