LOGINสายตาของเขายามมองมาทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าตนเป็นเพียงขี้ผึ้งก้อนหนึ่งที่ถูกความร้อนค่อย ๆ เผาไหม้อย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งความปรานี นอกจากนั้นหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอกลับรู้สึกคล้ายถูกบีบรัดอย่างน่าประหลาด และในยามที่เขาหรี่ตามองมาก่อนค่อย ๆ เบือนหน้าหนี นางก็พลันรู้สึกชาวาบทั้งร่างกายและหัวใจ
เขาเปลี่ยนไปเพราะความสูญเสีย…
เสวียนหนิงอันอยากเข้าไปพูดคุย แสดงความเสียใจเรื่องภรรยาและบุตรของเขาหลังจากพิธีจบลง ทว่าท่านป้าเสี่ยวผิงกลับแจ้งว่าเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว นางจึงไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก ไม่ได้ปลอบใจเขาเหมือนที่เขาเคยปลอบใจนาง ไม่ได้ออดอ้อนให้ได้หัวเราะอารมณ์ดี
ยามนั้นนางไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ได้คิดวางแผนครอบครองเป็นเจ้าของ มีเพียงความห่วงใยมอบให้เพียงเท่านั้น ในช่วงเวลานั้นเสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
เสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจจนกระทั่งทราบเรื่องว่าบิดาต้องการให้หมั้นหมายและออกเรือน แผนการร้ายกาจจึงผุดขึ้นมาในสมองอันชาญฉลาดของนาง
‘คุณหนูเจ้าคะ… มาแล้วเจ้าค่ะ’
หลี่จินหมิง มองสาวใช้ตรงหน้าอย่างมิเข้าใจนัก นางกล่าวว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมีธุระสำคัญต้องเจรจาเป็นการด่วน แต่สถานที่นัดพบกลับเป็นสวนท้ายจวน มิใช่ห้องหนังสือเช่นที่ผ่านมา ซ้ำก่อนหน้านี้ไม่นานพ่อบ้านหวังอู่ได้แจ้งว่า ตวนอ๋องเฉินฟาหยางยังสนทนากับพระชายาเสวียนอยู่ในเรือนใหญ่ และจะออกมาพบปะแขกในอีกหนึ่งเค่อ
หรือว่าโรครำคาญผู้คนกำเริบ?
หลี่จินหมิงเปลี่ยนไปมาก ไม่เหลือคราบของบุรุษร่าเริงยิ้มง่าย เนื่องจากภรรยาผูกผมหมดวาสนาต่อกันเมื่อราวสองปีก่อน นางจากไปพร้อมกับลูกชายฝาแฝดในครรภ์ พรากความสุขในชีวิตเขาไปด้วย รอยยิ้มจึงไม่มีหลงเหลือ คำพูดหวานหูที่กล่าวเป็นประจำก็ไม่มีแล้ว แม้เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างมากอยู่ดี
ภรรยาผู้ล่วงลับร่างกายอ่อนแอ หลี่จินหมิงจึงไม่เคยกดดันนางเรื่องการตั้งครรภ์ สามปีแรกที่อยู่ด้วยกันเขาตั้งใจดูแลและมอบความสุขให้ภรรยาเท่าที่สามีคนหนึ่งจะทำได้ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่บุตรชายที่ดีของสกุลหลี่ ดูแลกิจการของครอบครัวอย่างขยันขันแข็ง หลี่จินหมิงเชื่อว่าทุกอย่างสมบูรณ์ดี แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาทำพลาด ดูแลภรรยาได้ไม่ดีพอ
นางถูกมารดาผู้ให้กำเนิดของเขากดดันเรื่องทายาทสืบสกุลทุกวันที่เขาก้าวขาออกจากเรือน กว่าจะทราบเรื่องนางก็เลิกดื่มน้ำแกงเลี่ยงบุตรและตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว
หลี่จินหมิงทราบเรื่องจากสาวใช้คนสนิทของภรรยาว่านางถูกดุด่าให้เสียใจอย่างไรบ้าง เขาจึงโขกศีรษะต่อหน้าบิดา ขอแยกไปอยู่บ้านใกล้ตลาดฝั่งตะวันออก อ้างเรื่องความสะดวกในการเดินทางไปยังร้านค้าสกุลหลี่ แต่ความจริงแล้วเขาทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้นางสบายใจ
เขาอยู่กับภรรยาทุกวัน… จนกระทั่งวันที่นางและลูกจากไป
‘ท่านพี่อย่าโทษตนเอง เป็นข้าที่ตัดสินใจว่าจะตั้งครรภ์’
หลี่จินหมิงแค่นหัวเราะ เขาจะไม่โทษตนเองได้อย่างไร ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งในแปดของบุรุษสกุลหลี่ล้วนให้กำเนิดทารกแฝด สองในสิบส่วนมารดามักจะไม่รอด ภรรยาของเขาเดิมทีก็มิได้แข็งแรง ต้องลมเย็นเพียงเล็กน้อยก็ป่วยไปสองเดือน ทว่านางก็ยังดื้อดึงจนเกิดความสูญเสียที่ยากเกินกว่าจะกอบกู้ และความสูญเสียนั้นทำให้หลี่จินหมิงมิใช่คนเดิม
คุณชายหลี่ผู้เข้าใจทุกคนไปเสียทุกอย่าง... ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่นัดพบในห้องหนังสือเล่า” น้ำเสียงเฉื่อยชาดังขึ้นท่ามกลางความมืด เขาหรี่ตามองร่างอวบของสาวใช้ที่สั่นสะท้านคล้ายมีชนักปักหลัง คิ้วเรียวขมวดมุ่นแทบชนกัน เริ่มสงสัยแล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลอันใดในสวนท้ายจวน
“ห้องหนังสือมีฝุ่นเยอะเจ้าค่ะ” คำตอบของนางนับว่าเป็นความเท็จโดยแท้ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางรักการอ่าน ทั้งยังใส่ใจเรื่องความสะอาดอย่างมาก ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้แน่
หรือว่ามีคนวางแผนลอบทำร้าย?
หลี่จินหมิงกวาดตามองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าผ่านไปได้ครู่เดียวก็นึกขบขันตนเองในใจ ว่าเหตุใดจึงกังวลเรื่องความปลอดภัยเสียได้ จวนแห่งนี้แม้เจ้าของมิค่อยได้แวะเวียนมา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง ตวนอ๋องเฉินฟาหยางน่ากลัวเพียงใด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนทราบดี
ทว่าก่อนถึงทางเลี้ยวไปยังสวนที่เขาเคยนั่งเล่นเมื่อสิบกว่าปีก่อน สาวใช้ตรงหน้ากลับเปลี่ยนทิศทาง หลี่จินหมิงพยายามนึกว่าปลายทางคือเรือนของผู้ใดและทันทีที่เห็นแสงไฟอยู่ไกล ๆ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าถูกลวงเสียแล้ว
“ท่านอา...”
หลี่จินหมิงหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง เห็นดวงตากลมโตสุกสกาวที่คุ้นเคย ทว่ายังมิทันเอ่ยทักก็สัมผัสได้ว่ามีผงหอมประเภทหนึ่งลอยมากระทบกับใบหน้า ภาพเลือนรางที่เห็นคือสาวงามกำลังห่อปากเล็กน้อย บอกชัดว่าเมื่อครู่เป็นผู้เป่าเครื่องหอมที่ทำให้รู้สึกมึนเมา เขาอยากถามว่านี่คือเรื่องตลกอันใดแน่ แต่กลับพบว่าตนเองขยับตัวลำบาก พูดกล่าวอันใดมิได้สักคำ ทั้งสองขายังหมดแรงแทบทรุด โชคดีที่มีวงแขนเรียวเล็กโอบกอดไว้
“พาเขาไปที่ห้อง...”
น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นราวกับมิได้กระทำเรื่องใดผิด หลี่จินหมิงอยากดุนางมิให้ทำเรื่องน่าปวดหัว แต่กลับมีเพียงลมอุ่นร้อนออกจากริมฝีปาก และพอตรองดูให้ดีเขากลับมิรู้ว่าต้องดุนางอย่างไร
หลี่จินหมิงมิเคยดุนางแม้เพียงครึ่งคำ
เขามิใช่บุรุษรูปร่างผอมบาง แต่กลับถูกสตรีตัวเล็กและสาวใช้ประคองกึ่งลากไปจนถึงเรือนที่อยู่ไม่ไกลได้ หลี่จินหมิงเห็นว่าในห้องยังพอมีแสงสว่าง เขาจึงหมายใจว่าจะมองหน้าของนางให้ชัดสักหน่อย แต่ยังมิทันถึงประตู เปลือกตาก็พลันหนักอึ้ง สุดท้ายก็ปิดสนิทและได้ยินเพียงบทสนทนาสั้น ๆ ก่อนหมดสติไป
“แน่ใจหรือเจ้าคะคุณหนู”
“หากต้องแต่งงาน ข้าย่อมเลือกบุรุษที่ข้ารัก”
“แต่เขามิได้รักคุณหนูนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ต้องลองดูว่าข้าจะทำให้เขารักได้หรือไม่”
หลี่จินหมิงจำบทสนทนาระหว่างนางกับสาวใช้ได้อย่างแม่นยำ เสียงหวานเศร้ายังคงติดหูมิจางหาย กระทั่งยามได้สติเพราะเสียงถีบประตูที่ตามมาด้วยเสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่า เขาก็ยังมิลืมเลือนโดยง่าย จวบจนถูกหมัดทรงพลังต่อยจนหน้าหัน ประโยคท้าทายนั่นก็ยังตราตรึงในสมองดังเดิม
เสวียนหนิงอัน เหตุใดเจ้าจึงร้ายกาจยิ่งนัก?!
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา







