Masukสามวันก่อนหน้า...
บิดาของเสวียนหนิงอันมิชอบการเดินทางเข้าเมืองหลวงนัก แต่ครั้งนี้นับว่ายังพอยอมรับได้ เนื่องจากพระชายาคนงามเสวียนซือชิง รวมทั้งบุตรสาวและบุตรชายร่วมทางมาด้วย เดิมทีจวนของตวนอ๋องเฉินฟาหยางเงียบเหงาไร้ผู้คนเยี่ยมเยียน ทว่าช่วงเวลานี้กลับมีหลายชีวิตเดินเข้าออกจนพ่อบ้านชราหวังอู่แทบเป็นลมเพราะความเหนื่อยวันละหลายครั้ง
เหล่าขุนนางล้วนทราบดีว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมิค่อยชอบเมืองหลวง แต่จำต้องแวะเวียนมาเพราะบุตรชายอายุห้าขวบเศษแล้ว สมควรแก่เวลาที่ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง การเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้จึงมีเป้าหมายสำคัญ นั่นคือการคัดเลือกบัณฑิตมากความสามารถในด้านต่าง ๆ มารับหน้าที่อาจารย์ของคุณชายน้อยเฉินหราน
มีข่าวลือว่าองค์ฮ่องเต้เหวินจวินพยายามเหนี่ยวรั้งพระอนุชาให้อยู่ในเมืองหลวง อ้างเหตุผลนานัปการ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจอีกครา โดยมิลืมกำชับว่าหลังจากบุตรชายอ่านเขียนคล่องแคล่วแล้วก็ให้เข้าร่วมศึกษากับเหล่าองค์ชายในวังหลวง เรื่องราวทุกอย่างดูราบรื่นจนกระทั่งเสวียนหนิงอันทราบอีกเป้าหมายสำคัญของบิดา
‘ถึงเวลาออกเรือนแล้ว ต่างเมืองไม่มีบุรุษใดคู่ควร…’
เสวียนหนิงอันผ่านพิธีปักปิ่นได้ปีกว่า แต่กลับไม่มีบุรุษใดในเมืองที่นางอาศัยอยู่หาญกล้าเข้ามาทำความรู้จัก อย่างมากที่สุดก็ทำเพียงแอบมอง ทุ่มเทเงินจำนวนมากซื้อข้าวของในร้านค้าที่นางดูแล เพื่อที่จะได้ยลโฉมคุณหนูเสวียนให้นานสักหน่อย ทว่าทุกครั้งที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางปรากฏตัว เหล่าคุณชายก็จะหายไปในชั่วพริบตา
เหล่าคุณชายล้วนหวาดกลัวบิดาของเสวียนหนิงอัน…
หากจะมีบุรุษใดคู่ควรและหวาดกลัวตวนอ๋องน้อยลงสักสามส่วนก็ย่อมต้องเป็นคุณชายสกุลดังที่รั้งตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวง เฉินฟาหยางหวงบุตรสาวอย่างมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่ว ยามถึงเวลาที่นางต้องออกเรือนเขาจึงคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ถึงขั้นละวางนิสัยรักความสงบ เปิดโอกาสให้เหล่าขุนนางชั้นสูงพาบุตรชายแวะเวียนเข้ามาสนทนาถึงในจวน
ทว่าทำเช่นนั้นได้ไม่นานตวนอ๋องก็หมดความอดทนเพราะมิได้อิงแอบพระชายาคนงามได้บ่อยตามใจปรารถนา หลังจากผ่านไปได้หลายวันเขาจึงทำตามคำแนะนำขององค์ชายรัชทายาทเหวินอวิ๋นฝู จัดงานเลี้ยงก่อนออกจากเมืองหลวง ถือโอกาสคัดเลือกบุรุษที่เหมาะสมกับเสวียนหนิงอันด้วยตนเองอีกครั้ง
งานเลี้ยงอำลาในวันนี้จึงเกิดขึ้น ทุกอย่างในจวนดูสับสนวุ่นวาย ส่วนโฉมงามในวัยสิบหกปีที่ทราบถึงจุดประสงค์ของงานก็ขุ่นเคืองบิดาอย่างมาก ถึงขั้นมิยอมออกจากห้องเลยทีเดียว
เสวียนหนิงอันบอกกับมารดาว่ายังมิอยากแต่งงาน อยากอยู่ตำหนักเยว่ฉีนอกเมืองต่อไปเรื่อย ๆ นึกไม่ถึงว่านอกจากท่านแม่จะไม่ตามใจแล้ว ยังเตือนให้นางเชื่อฟังคำของบิดาให้มาก แต่สิ่งที่ทำให้นางเงียบงันไม่โต้แย้งกลับเป็นคำถามง่าย ๆ
‘หรือว่ายังปักใจรักคนผู้นั้น…’
เสวียนหนิงอันส่ายหน้าแรง ๆ ปฏิเสธพัลวัน ทว่ามารดาย่อมทราบถึงความรู้สึกของบุตรสาวดี จึงตักเตือนอย่างอ่อนโยนและถนอมน้ำใจที่สุด กล่าวถึงความไม่เหมาะสมหลายประการ แน่นอนว่านางแสร้งรับฟัง แสดงทีท่าว่าเข้าใจ ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับต่อต้านรุนแรง และพอได้อยู่ตามลำพังก็พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนที่ตำหนักเยว่ฉี
เขาคนนั้นปรากฏตัวในพิธีปักปิ่นของนาง...
เดิมทีคิดว่าตนแค่ติดเขามาก เพราะตั้งแต่จำความได้ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มก็อยู่ในความทรงจำของนางแล้ว เสวียนหนิงอันจำได้ดีว่านางร้องไห้จนตาบวมเมื่อทราบว่าเขาต้องอยู่ดูแลกิจการในเมืองหลวง ไม่สามารถตามนางกลับไปยังต่างเมืองได้ มือเรียวเล็กยึดแขนเสื้อสีขาวไว้แน่นแทบขาด จนเขาต้องสัญญาว่าจะแวะไปเยี่ยมที่ตำหนักเยว่ฉีบ่อย ๆ นางจึงไม่ร้องไห้อีก
เขาทำตามสัญญา แวะเวียนไปเยี่ยมนางปีละครั้ง แต่ละครั้งเห็นหน้าไม่เกินสามวันก็ต้องจากลา ยามนางอายุได้สิบปี เขาก็ถูกครอบครัวกดดันให้แต่งงาน ทำหน้าที่บุตรชายที่ดีของตระกูล
เขาไม่ได้มาเยี่ยมนางอีก…
เสวียนหนิงอันหัวเราะตนเองทั้งน้ำตาเมื่อทราบเรื่องว่าเขาต้องเข้าพิธีวิวาห์ นางเติบโตมากกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน ความคิดอ่านย่อมไม่ธรรมดา หลังจากไตร่ตรองไม่นานก็สรุปได้ว่าความรู้สึกที่มีเป็นเพียงการยึดติดกับความทรงจำ ในเมื่อเขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว นางก็ไม่ควรเปลืองหัวใจหรือสมองคิดถึงบุรุษที่มีเจ้าของ
นางไม่เห็นเขานานถึงห้าปี ทั้งยังไม่สนใจข้าวของที่ส่งมาให้ในทุก ๆ วันเกิด ทว่าพอเห็นหน้าเขาไกล ๆ อีกครั้งในวันปักปิ่นเมื่อปีก่อน เสวียนหนิงอันกลับตระหนักได้ในทันทีว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทุกความรู้สึกยังคงเหมือนเดิม
ไม่สิ รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าต่างหาก
สายตาของเขายามมองมาทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าตนเป็นเพียงขี้ผึ้งก้อนหนึ่งที่ถูกความร้อนค่อย ๆ เผาไหม้อย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งความปรานี นอกจากนั้นหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอกลับรู้สึกคล้ายถูกบีบรัดอย่างน่าประหลาด และในยามที่เขาหรี่ตามองมาก่อนค่อย ๆ เบือนหน้าหนี นางก็พลันรู้สึกชาวาบทั้งร่างกายและหัวใจ
เขาเปลี่ยนไปเพราะความสูญเสีย…
เสวียนหนิงอันอยากเข้าไปพูดคุย แสดงความเสียใจเรื่องภรรยาและบุตรของเขาหลังจากพิธีจบลง ทว่าท่านป้าเสี่ยวผิงกลับแจ้งว่าเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว นางจึงไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก ไม่ได้ปลอบใจเขาเหมือนที่เขาเคยปลอบใจนาง ไม่ได้ออดอ้อนให้ได้หัวเราะอารมณ์ดี
ยามนั้นนางไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ได้คิดวางแผนครอบครองเป็นเจ้าของ มีเพียงความห่วงใยมอบให้เพียงเท่านั้น ในช่วงเวลานั้นเสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
เสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจจนกระทั่งทราบเรื่องว่าบิดาต้องการให้หมั้นหมายและออกเรือน แผนการร้ายกาจจึงผุดขึ้นมาในสมองอันชาญฉลาดของนาง
‘คุณหนูเจ้าคะ… มาแล้วเจ้าค่ะ’
หลี่จินหมิง มองสาวใช้ตรงหน้าอย่างมิเข้าใจนัก นางกล่าวว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมีธุระสำคัญต้องเจรจาเป็นการด่วน แต่สถานที่นัดพบกลับเป็นสวนท้ายจวน มิใช่ห้องหนังสือเช่นที่ผ่านมา ซ้ำก่อนหน้านี้ไม่นานพ่อบ้านหวังอู่ได้แจ้งว่า ตวนอ๋องเฉินฟาหยางยังสนทนากับพระชายาเสวียนอยู่ในเรือนใหญ่ และจะออกมาพบปะแขกในอีกหนึ่งเค่อ
หรือว่าโรครำคาญผู้คนกำเริบ?
หลี่จินหมิงเปลี่ยนไปมาก ไม่เหลือคราบของบุรุษร่าเริงยิ้มง่าย เนื่องจากภรรยาผูกผมหมดวาสนาต่อกันเมื่อราวสองปีก่อน นางจากไปพร้อมกับลูกชายฝาแฝดในครรภ์ พรากความสุขในชีวิตเขาไปด้วย รอยยิ้มจึงไม่มีหลงเหลือ คำพูดหวานหูที่กล่าวเป็นประจำก็ไม่มีแล้ว แม้เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างมากอยู่ดี
ภรรยาผู้ล่วงลับร่างกายอ่อนแอ หลี่จินหมิงจึงไม่เคยกดดันนางเรื่องการตั้งครรภ์ สามปีแรกที่อยู่ด้วยกันเขาตั้งใจดูแลและมอบความสุขให้ภรรยาเท่าที่สามีคนหนึ่งจะทำได้ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่บุตรชายที่ดีของสกุลหลี่ ดูแลกิจการของครอบครัวอย่างขยันขันแข็ง หลี่จินหมิงเชื่อว่าทุกอย่างสมบูรณ์ดี แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาทำพลาด ดูแลภรรยาได้ไม่ดีพอ
นางถูกมารดาผู้ให้กำเนิดของเขากดดันเรื่องทายาทสืบสกุลทุกวันที่เขาก้าวขาออกจากเรือน กว่าจะทราบเรื่องนางก็เลิกดื่มน้ำแกงเลี่ยงบุตรและตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว
หลี่จินหมิงทราบเรื่องจากสาวใช้คนสนิทของภรรยาว่านางถูกดุด่าให้เสียใจอย่างไรบ้าง เขาจึงโขกศีรษะต่อหน้าบิดา ขอแยกไปอยู่บ้านใกล้ตลาดฝั่งตะวันออก อ้างเรื่องความสะดวกในการเดินทางไปยังร้านค้าสกุลหลี่ แต่ความจริงแล้วเขาทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้นางสบายใจ
เขาอยู่กับภรรยาทุกวัน… จนกระทั่งวันที่นางและลูกจากไป
‘ท่านพี่อย่าโทษตนเอง เป็นข้าที่ตัดสินใจว่าจะตั้งครรภ์’
หลี่จินหมิงแค่นหัวเราะ เขาจะไม่โทษตนเองได้อย่างไร ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งในแปดของบุรุษสกุลหลี่ล้วนให้กำเนิดทารกแฝด สองในสิบส่วนมารดามักจะไม่รอด ภรรยาของเขาเดิมทีก็มิได้แข็งแรง ต้องลมเย็นเพียงเล็กน้อยก็ป่วยไปสองเดือน ทว่านางก็ยังดื้อดึงจนเกิดความสูญเสียที่ยากเกินกว่าจะกอบกู้ และความสูญเสียนั้นทำให้หลี่จินหมิงมิใช่คนเดิม
คุณชายหลี่ผู้เข้าใจทุกคนไปเสียทุกอย่าง... ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่นัดพบในห้องหนังสือเล่า” น้ำเสียงเฉื่อยชาดังขึ้นท่ามกลางความมืด เขาหรี่ตามองร่างอวบของสาวใช้ที่สั่นสะท้านคล้ายมีชนักปักหลัง คิ้วเรียวขมวดมุ่นแทบชนกัน เริ่มสงสัยแล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลอันใดในสวนท้ายจวน
“ห้องหนังสือมีฝุ่นเยอะเจ้าค่ะ” คำตอบของนางนับว่าเป็นความเท็จโดยแท้ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางรักการอ่าน ทั้งยังใส่ใจเรื่องความสะอาดอย่างมาก ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้แน่
หรือว่ามีคนวางแผนลอบทำร้าย?
หลี่จินหมิงกวาดตามองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าผ่านไปได้ครู่เดียวก็นึกขบขันตนเองในใจ ว่าเหตุใดจึงกังวลเรื่องความปลอดภัยเสียได้ จวนแห่งนี้แม้เจ้าของมิค่อยได้แวะเวียนมา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง ตวนอ๋องเฉินฟาหยางน่ากลัวเพียงใด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนทราบดี
ทว่าก่อนถึงทางเลี้ยวไปยังสวนที่เขาเคยนั่งเล่นเมื่อสิบกว่าปีก่อน สาวใช้ตรงหน้ากลับเปลี่ยนทิศทาง หลี่จินหมิงพยายามนึกว่าปลายทางคือเรือนของผู้ใดและทันทีที่เห็นแสงไฟอยู่ไกล ๆ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าถูกลวงเสียแล้ว
“ท่านอา...”
หลี่จินหมิงหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง เห็นดวงตากลมโตสุกสกาวที่คุ้นเคย ทว่ายังมิทันเอ่ยทักก็สัมผัสได้ว่ามีผงหอมประเภทหนึ่งลอยมากระทบกับใบหน้า ภาพเลือนรางที่เห็นคือสาวงามกำลังห่อปากเล็กน้อย บอกชัดว่าเมื่อครู่เป็นผู้เป่าเครื่องหอมที่ทำให้รู้สึกมึนเมา เขาอยากถามว่านี่คือเรื่องตลกอันใดแน่ แต่กลับพบว่าตนเองขยับตัวลำบาก พูดกล่าวอันใดมิได้สักคำ ทั้งสองขายังหมดแรงแทบทรุด โชคดีที่มีวงแขนเรียวเล็กโอบกอดไว้
“พาเขาไปที่ห้อง...”
น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นราวกับมิได้กระทำเรื่องใดผิด หลี่จินหมิงอยากดุนางมิให้ทำเรื่องน่าปวดหัว แต่กลับมีเพียงลมอุ่นร้อนออกจากริมฝีปาก และพอตรองดูให้ดีเขากลับมิรู้ว่าต้องดุนางอย่างไร
หลี่จินหมิงมิเคยดุนางแม้เพียงครึ่งคำ
เขามิใช่บุรุษรูปร่างผอมบาง แต่กลับถูกสตรีตัวเล็กและสาวใช้ประคองกึ่งลากไปจนถึงเรือนที่อยู่ไม่ไกลได้ หลี่จินหมิงเห็นว่าในห้องยังพอมีแสงสว่าง เขาจึงหมายใจว่าจะมองหน้าของนางให้ชัดสักหน่อย แต่ยังมิทันถึงประตู เปลือกตาก็พลันหนักอึ้ง สุดท้ายก็ปิดสนิทและได้ยินเพียงบทสนทนาสั้น ๆ ก่อนหมดสติไป
“แน่ใจหรือเจ้าคะคุณหนู”
“หากต้องแต่งงาน ข้าย่อมเลือกบุรุษที่ข้ารัก”
“แต่เขามิได้รักคุณหนูนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ต้องลองดูว่าข้าจะทำให้เขารักได้หรือไม่”
หลี่จินหมิงจำบทสนทนาระหว่างนางกับสาวใช้ได้อย่างแม่นยำ เสียงหวานเศร้ายังคงติดหูมิจางหาย กระทั่งยามได้สติเพราะเสียงถีบประตูที่ตามมาด้วยเสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่า เขาก็ยังมิลืมเลือนโดยง่าย จวบจนถูกหมัดทรงพลังต่อยจนหน้าหัน ประโยคท้าทายนั่นก็ยังตราตรึงในสมองดังเดิม
เสวียนหนิงอัน เหตุใดเจ้าจึงร้ายกาจยิ่งนัก?!
ลูกค้าประจำของร้านซิงเยียนทยอยออกจากร้านในช่วงปลายยามอู่[1]เนื่องจากทราบดีว่าในทุก ๆ สิบห้าวันร้านจะเปิดเพียงครึ่งวันและปิดในช่วงบ่ายเพื่อตรวจรับสินค้าจากต่างเมือง ส่วนลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ทราบก็ยังคงเลือกดูสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เสวียนหนิงอันที่เข้ามาสืบความเองก็เช่นกันนางมั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้ มิใช่เพราะสวมเสื้อผ้าธรรมดาหรือทำผมต่างไปจากเดิม แต่เป็นเพราะหมวกที่สวมอยู่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า ช่วยพรางตัวให้พ้นจากสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดีเสวียนหนิงอันคิดผิด…เจ้าของร่างสูงเอ่ยลาลูกค้าสตรีอย่างมีมารยาท ก่อนเบือนหน้าหนีเหล่าแม่สื่อที่ขยันแวะเวียนมาบ่อยจนน่ารำคาญ แต่กระนั้นพวกนางกลับมิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบกุมขมับ แต่เป็นสาวงามในวัยสิบหกปีที่แสร้งทำเป็นเลือกสินค้าอยู่ต่างหากเล่าหลี่จินหมิงอยากตรงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนนาง แล้วพากลับบ้านเพื่อลงโทษให้หลาบจำ แต่สายตาสอดรู้สอดเห็นในร้านนั้น
“แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…”“พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง”“ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ” เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือน”“เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ”“เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ”“หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…”“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข
บาดแผลเล็ก ๆ ของเสวียนหนิงอันจางลงจนแทบมองไม่เห็น แม้ก่อนหน้าจะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจหากต้นแขนของตนต้องมีตำหนิ แต่ความจริงแล้วนางใส่ใจอย่างมาก ช่วงแรกถึงขั้นตรวจเกือบทุกสองเค่อเพื่อดูว่าแผลแห้งแล้วหรือยัง จนกระทั่งถูกขู่ว่ามองมากไปแผลอาจหายช้า เสวียนหนิงอันจึงได้ยอมปล่อยวางคนขู่ให้กลัวก็มิใช่ใครอื่น เป็นหลี่จินหมิงหรือท่านอาใจร้ายของนางนั่นเอง นอกจากจะไม่ให้มองแผลบ่อย ๆ แล้ว เขายังยืนยันว่าต้องทาขี้ผึ้งให้ตรงเวลาและขอเป็นคนดูแลด้วยตนเองเสวียนหนิงอันปฏิเสธ ทว่าคนหน้าไม่อายกลับไม่ยอมรับฟัง นางจึงต้องยกเอาเรื่องที่ถูกหยิกแก้มจนช้ำมาต่อรอง ขอร้องว่าหากยอมให้เจียอีช่วยดูแลแทนแล้วนางจะไม่โกรธเขาอีก หลังจากเจรจาอยู่นานเขาก็ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ลืมเตือนว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ หากครบเจ็ดวันแล้วก็ต้องมาให้ตรวจดูอีกครั้งเมื่อครบกำหนดเสวียนหนิงอันจึงสวมเสื้อคลุมตัวสวยเพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินไปยังห้องหนังสือเพื่อให้เขาตรวจสอบดูว่าผิวของนางไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ“ท่านอาเจ้าคะ…”เสวียนหนิงอันเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดประตูห้องหนังสือและสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งตรวจบัญชี นางเห็นเขายกม
ยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆแรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วยยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธเสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทั
ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเองตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอนเสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน
บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครองตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อยหลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งใ







