เข้าสู่ระบบปัจจุบัน
ต้นยามอิ๋น[1]แล้ว ทว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งยังคงเดินวนไปมาราวกับแมลงตัวเล็กที่ถูกขังไว้ในถ้วยชา ครอบปิดไว้บนโต๊ะไม้สลักลายสวยงาม ไร้หนทางหลบซ่อนหลีกหนี หัวคิ้วของเขาแทบชนกัน ริมฝีปากเม้มอยู่เนือง ๆ ราวกับมีปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดทำความเข้าใจ
หลี่จินหมิงยามนี้ยากจะควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องใดก็มิสามารถทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกของตนได้ ความสูญเสียทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่มีสีหน้าเรียบเฉยและหนักแน่นดุจเขาไท่ซาน แต่สามวันที่ผ่านมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ
‘หึ! ไม่นึกว่าเจ้าโตมาจะเป็นสตรีเช่นนี้ สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแล้วจริง ๆ’
เขามิแน่ใจว่า ‘ภรรยาลับ’ จะตีความหมายไปในทางใด เข้าใจว่าประโยคที่หลุดออกจากปากเป็นเพราะความผิดหวังที่นางมีนิสัยต่างไปจากเดิม หรือมองลึกทะลุทะลวงและเห็นว่า ‘ท่านอา’ กำลังคิดถึงเรื่องผิดบาป ในยามเห็นดวงตาหวานซึ้งที่ซ่อนความกระวนกระวายไว้แทบมิได้
ความดื้อรั้นทว่าเย้ายวนของนางทำให้เขามิสบายใจ กลัวว่าจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตวนอ๋องสูงศักดิ์ ถึงขั้นกล่าวโทษสวรรค์ว่ากลั่นแกล้งให้ต้องเผชิญกับความงามที่ต้านทานได้ยากยิ่ง
เสวียนหนิงอันเติบโตแล้วงดงามมากเกินไป
“ไม่ได้ เจ้าจะลืมคำพูดของตนไม่ได้!”
หลังจากถูกวางยาชีวิตของหลี่จินหมิงก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เขาจำได้ดีว่าถูกศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ทำร้ายร่างกาย ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกระชากคอเสื้อแทบขาด ก่อนเหวี่ยงหมัดที่หนักไม่ต่างจากวันวานกระแทกกับโหนกแก้มเต็มแรง ชั่วพริบตานั้นเองที่หลี่จินหมิงฟื้นคืนสติราวแปดส่วน อีกสองส่วนยังมึนงงเพราะหมัดที่คุ้นเคย แม้ปากอยากถามว่าหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าการใช้กำลังมิได้แล้วหรือ แต่พอเห็นเรือนร่างบอบบางสวมเพียงเสื้อตัวในนั่งหันหลังร้องไห้สะอึกสะอื้นกับมารดาอยู่ไม่ไกล เขาจึงเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที
หลี่จินหมิงถูกเจ้าตัวเล็กเล่นงานเสียแล้ว!
หลังจากทบทวนอยู่ชั่วขณะ เขาก็บอกกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางว่ามิได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ทั้งยังเรียกร้องให้ตามหมอหลวงมาตรวจดูร่างกาย ทว่าเสียงหัวเราะและคำตอบที่เย็นชากลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ
‘ข้ารู้ว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น’
‘แล้วเหตุใดท่านจึงต่อยข้าเล่า!’
‘เพราะเจ้ามันโง่งม! รู้อยู่แก่ใจดีว่านางรู้สึกกับเจ้าเช่นไร นางมากเล่ห์แสนกลมากมายเพียงใด แล้วไยยังไม่รู้จักระมัดระวัง ปล่อยให้ตนเองตกหลุมพรางนางได้อีกเล่า!’
หลี่จินหมิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ที่แท้ศิษย์พี่ลงมือเพราะเขามิรู้จักระวังตัว แต่เรื่องนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวได้อยู่หรือ มิใช่ว่าเสวียนหนิงอันนิสัยเจ้าเล่ห์มากแผนการเหมือนบิดาของนางหรอกหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หลี่จินหมิงจึงไม่คิดอีก
ต่อให้มิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วอย่างไร นางเป็นสตรีย่อมมิอาจชิดใกล้กับบุรุษ แม้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องเกินเลย แต่เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเขานั้นไม่เรียบร้อย ตัวนางเองก็ไม่เรียบร้อย
ทว่าทุกอย่างกลับเรียบร้อยสมใจเสวียนหนิงอัน
ตวนอ๋องเหยียดยิ้มไม่น่ามอง กล่าวโทษว่านางกลายเป็นสตรีที่เอาแต่ใจเช่นนี้ก็เพราะในวัยเด็กถูกตามใจมากเกินไป หลี่จินหมิงหลับตาคิดภาพตาม พบว่ามีความเป็นไปได้ว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเขาคือตัวต้นเหตุ
หากเขารู้จักดุด่าหรือว่ากล่าวตักเตือนนางบ้าง ยามนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งกังวลเพราะถูกลวงให้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ
‘ต้องปราบนางให้หายดื้อ แน่นอนว่าเจ้าต้องร่วมมือด้วย’
‘ท่านจะให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าอันใดอีก’
ข้อเสนอของตวนอ๋องฟังดูแล้วมิใช่เรื่องลำบาก เพียงต้องทำให้นางตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่มีนั้นเป็นเพียงความลุ่มหลงและต้องการเอาชนะ หาใช่ความรักลึกซึ้งแต่อย่างใดไม่ หลี่จินหมิงเห็นด้วยว่าสมควรให้บทเรียนแก่นางจึงยอมทำตามคำขอร้องที่แฝงการบังคับถึงเก้าส่วนของตวนอ๋องอย่างเต็มใจ
เต็มใจอยู่กระมัง?
เขาคิดว่าการกดดันคุณหนูที่มิเคยสัมผัสกับความลำบากมาก่อนให้ยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องง่าย จึงยอมลงนามในหนังสือสัญญาของตวนอ๋อง เนื้อความในหนังสือฉบับนั้นสั้นกระชับ มีใจความว่าหากนางเข้าใจความรู้สึกของตนเองแล้วว่ามิได้รักใคร่ในเชิงชู้สาวก็ค่อยอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัดในทันที
‘เป็นเพราะข้าตามใจนางมากไป…’
‘เรื่องเก่าไม่ต้องพูดแล้ว การแต่งงานในครั้งนี้ให้ถือว่าเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง หากนางตระหนักได้ว่าตนมิได้รักใคร่ไยดีกับเจ้าจริง ยามนั้นค่อยเฉลยทุกอย่างต่อนาง’
‘เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านเลี้ยงดูนางมิเคยให้ลำบาก ย่อมกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย’
‘เจ้าอย่าประมาทนางจนเกินไป หนิงเอ๋อร์อยากได้อันใดก็มิเคยพลาด เรียกได้ว่าไม่เคยยอมแพ้ ทั้งยังชอบแสดงละคร กล่าวถ้อยคำบิดเบือนโกหก…’ เขาจำได้ว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางกระแอมเบา ๆ เพราะตนเองก็เคยโกหกมามาก ‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
‘มากความ ยุ่งยากยิ่งนัก!’
‘ยุ่งยากอย่างไรก็ต้องทำ นั่นหนิงเอ๋อร์นะ หรือว่าเจ้าไม่เอ็นดูนาง ไม่เห็นว่านางเป็นหลานสาวตัวเล็กของเจ้าแล้ว’
เมื่อถูกถามเช่นนี้หลี่จินหมิงก็พูดไม่ออก ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว พลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมพิธีปักปิ่น
เดิมทีก็ว่าจะไม่ไปแต่พอได้ฟังวาจากระทบกระเทียบขององค์ชายรัชทายาท ว่าเขาเป็นบุรุษที่ไม่รักษาสัญญาที่ว่าจะไปเยี่ยมนางอยู่บ่อย ๆ กอปรกับมีความทุกข์ในใจ ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อให้ผ่อนคลายมากสักหน่อย เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมพิธีโดยมิได้แจ้งตำหนักเยว่ฉีล่วงหน้า
เพียงแวบแรกที่เห็นเจ้าตัวเล็ก หลี่จินหมิงก็พลันรู้สึกว่าหัวใจห่อเหี่ยวนั้นคล้ายถูกแมวข่วนจนคันยุบยิบ เขาลอบสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียด ใบหน้าของนางอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหวานซึ้งแฝงความดื้อรั้นไม่ต่างจากบิดาผู้ให้กำเนิด กลีบปากสีดอกเหมยกุ้ยดูอวบอิ่มและหวานฉ่ำ จมูกโด่งน่าหยิกรั้นขึ้นเล็กน้อยนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวที่คล้ายกับมารดา
หลี่จินหมิงคาดเดาว่าผิวของนางต้องงดงามอย่างมาก เพราะทั้งตวนอ๋องและพระชายาล้วนแต่มีผิวขาว นึกไม่ถึงว่าจะประเมินเรื่องนี้ต่ำไป
เขาชะงักไปชั่วครู่ในยามที่นางยกแขนโบกมือ เผยผิวบริเวณข้อมือและแขนเรียวสวย เอ่ยเรียกชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะอายุราวยี่สิบปีที่อยู่ไม่ไกล ทว่าหลี่จินหมิงมิได้สนใจผู้มาใหม่ เขาถูกผิวพรรณงดงามและขาวดุจเรืองแสงได้สะกดเอาไว้ในพริบตา
หลี่จินหมิงชอบสตรีที่มีผิวพรรณดี แต่กับเสวียนหนิงอันต้องใช้คำว่าผิวพรรณงดงามอย่างมาก
ทว่าเรื่องเหล่านี้สมควรคิดอยู่หรือ นางเป็นหลานสาวของเขามิใช่หรือ ถึงจะไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ก็เคยอุ้มชูดูแล ถึงจะมิได้เจอกันนานกว่าห้าปี แต่ก็เคยหยอกล้อเอาอกเอาใจ การมองนางอย่างที่บุรุษลอบมองสตรีนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยแท้
หลี่จินหมิงพยายามเตือนสติตนเองอยู่นาน เดินห่างจากนางให้มากที่สุด แต่ทันทีที่ดวงหน้าหวานผินมองมาและยิ้มให้กับเขา ดวงตาสองคู่ประสานกัน ร่างกายของหลี่จินหมิงก็พลันเครียดแข็ง เลือดในกายสูบฉีดทั่วร่าง รีบสาวเท้าออกจากตำหนักเยว่ฉีและตรงเข้ารักษาความคิดอกุศลกับเหล่าสาวงามในหอหยวนเซียวทันที มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าค่ำคืนอันยาวนานนั้นเขาจินตนาการถึงใบหน้าของสตรีใด
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา






![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
