Masukบ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครอง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อย
หลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งให้สาวใช้จัดการปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย
เย็นวันนั้นนางมาขอพบเพื่อกล่าวคำขอบคุณ บนเรือนร่างสวมอาภรณ์สีกลีบบัว เพิ่มความงามมากขึ้นหลายส่วน ความจริงแล้วงามถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองให้หัวใจเต้นแรงไปมากกว่าเดิม ทว่าเสียงหวานออดอ้อนเรียกขานว่าท่านอา กลับทำให้เขาต้องยอมสบตากับนางอย่างเสียมิได้
‘ท่านอาโกรธมากเลยหรือเจ้าคะ…’
‘แล้วควรโกรธหรือไม่’
‘หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว จากนี้จะพยายามปรับปรุงให้ท่านอาพอใจเจ้าค่ะ’
‘เช่นนั้นก็อยู่เงียบ ๆ อย่าก่อเรื่องกวนใจ ช่วงนี้งานที่ร้านยุ่งนัก ข้าไม่อยากปวดหัวเพิ่มเติมเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง’
หลี่จินหมิงเกลียดตนเองที่ไม่สามารถดุด่านางได้อย่างที่ตั้งใจ เขาอธิบายอย่างใจเย็นว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ก่อนโบกมือไล่นางโดยอ้างว่ามีงานบัญชีต้องสะสาง แต่ความจริงแล้วเขากลับทำเพียงนั่งสงบอารมณ์นานหลายชั่วยาม บอกกับตนเองซ้ำ ๆ ว่าเขาสมควรปฏิบัติตัวต่อนางอย่างไร
ห้ามใจอ่อน… ใจดีด้วยก็มิได้
‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
เดิมทีหลี่จินหมิงขบขันกับคำเตือนของตวนอ๋องอย่างมาก ต่อให้เคยชื่นชมนางในใจว่างดงามเมื่อปีก่อนแล้วอย่างไร เขาจะทนกับเสน่ห์อันเย้ายวนใจของสาวงามมิได้เลยหรือ นางจะมีเสน่ห์ล้นเหลือกว่าเหล่านางคณิกาในหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอยู่อีกหรือ
เขาขบขันจนกระทั่งเห็นใบหน้างดงามชัดเจนในคืนวิวาห์…
“ซุนหยา พวกนางมีเรื่องตื่นเต้นอันใดกัน”
หลี่จินหมิงกลับถึงบ้านในต้นยามโหย่ว[1] เห็นเหล่าสาวใช้วัยไม่เกินสิบห้าปีหัวเราะร่าเริงก็อดสอบถามมิได้ ทั้งหัวใจยังประหวัดคิดไปถึงสาวงามที่มิได้พบหน้านานเจ็ดวันแล้ว
“ฮูหยินน้อยกำลังซื้อพวกนางอยู่เจ้าค่ะ”
“ซื้อ? นางไม่มีเงินติดตัวมาสักตำลึงแล้วจะซื้อผู้ใดได้เล่า”
ตวนอ๋องจริงจังกับการดัดนิสัยของบุตรสาวเป็นอย่างมาก แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ให้มาเพราะกลัวว่าจะใช้เงินแก้ไขปัญหาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ พอคิดแล้วหลี่จินหมิงก็รู้สึกว่านั่นออกจะโหดร้ายมากไปสักหน่อยและในเมื่อตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ควรดูแลตามใจบ้างมิใช่หรือ
ไม่ได้! ใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!
“ฮูหยินน้อยมอบเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้แล้วให้กับพวกนางเจ้าค่ะ หากนางใดสวมใส่ไม่ได้ก็มอบเครื่องประดับให้แทนเจ้าค่ะ” ซุนหยาพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก นางไม่ได้ไปเลือกเสื้อผ้ากับสาวน้อยเจียอี ด้วยทราบดีว่าไม่มีอันใดที่ตนสวมใส่ได้ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยจะนำปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวามามอบให้ถึงในโรงครัว
‘ข้ามีทรัพย์สินติดตัวมาไม่มาก หวังว่าท่านป้าคงไม่รังเกียจ’
แม้ปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวาจะไม่ใช่ของใหม่ แต่มองดูแล้วอย่างไรก็เป็นของราคาแพง ซุนหยาจึงรับมาโดยไม่พูดอันใดอีก นางไม่ได้เห็นแก่ของมีราคา แต่ทนสายตาที่ทอประกายวาววับอย่างมีความหวังของฮูหยินน้อยไม่ได้จริง ๆ
“มอบของเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าลืมกำชับพวกนางว่าห้ามก่อเรื่อง”
“เจ้าค่ะ… นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินน้อยแจ้งว่าต้องการส่งจดหมายให้กับท่านหมอสกุลหวงเจ้าค่ะ นายท่านอนุญาตหรือไม่เจ้าคะ”
“นางไม่สบายเช่นนั้นหรือ! นางปวดหัวหรือปวดท้องเล่า!” หลี่จินหมิงตกใจจนแทบคุมสติมิอยู่
“ฮูหยินน้อยมิได้แจ้งเจ้าค่ะ กล่าวแค่เพียงว่าหากนายท่านไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“หึ! เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด”
เมื่อได้ยินว่านางต้องการพบหมอ หลี่จินหมิงก็รีบรุดไปยังเรือนเล็กทันที ยามนั้นท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว แต่เขาไม่ใส่ใจเรื่องความเหมาะสม อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา คงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าทำเรื่องอันไม่สมควร
หลังจากเดินกึ่งวิ่งอยู่ไม่นาน หลี่จินหมิงก็พบว่าตนเองอยู่หน้าเรือนเล็กที่มีแสงตะเกียงส่องสว่างมาจากด้านในแล้ว เขามองสาวใช้เจียอีที่เดินออกมาพร้อมกับถาดอาหาร ข้าวในถ้วยพร่องไปเพียงครึ่ง ส่วนกับข้าวสองอย่างยังเต็มจาน
เสวียนหนิงอันเลือกกินอย่างมาก เขาลืมเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
“นางกินเพียงเท่านี้ทุกวันเลยหรือ”
“ไม่ทุกวันเจ้าค่ะ วันไหนอาหารรสจัดฮูหยินน้อยจะกินได้สักหกส่วน แต่วันนี้พ่อครัวทำอาหารจืดชืด…”
เจียอีไม่กล้าพูดต่อ พ่อครัวที่มาใหม่เป็นใบ้ ทำอาหารได้ไม่ถูกปากฮูหยินน้อยนัก นางไม่แน่ใจว่าเหตุใดพ่อครัวเดิมรวมทั้งสาวใช้เกินกว่าครึ่งถึงได้ถูกส่งตัวไปยังจวนของท่านเสนาบดีชรา บิดาของนายท่านสกุลหลี่ แต่ให้เดาคงไม่พ้นเรื่องที่นายท่านแต่งภรรยาอายุน้อยเข้าบ้าน
“นางชอบกินขนม หากวันใดกินข้าวได้น้อยก็จัดหาขนมมาให้เยอะหน่อย ยามค่ำหิวขึ้นมาจะได้ไม่อาละวาด”
“เจ้าค่ะนายท่าน แต่วันนี้ฮูหยินน้อยดื่มน้ำเต้าหู้แล้ว คงไม่หิว…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” หลี่จินหมิงจำได้ว่านางแพ้ถั่วเหลือง พอได้ยินเจียอีกล่าวเช่นนั้นก็ผลุนผลันเข้าไปในเรือนเล็กทันที
“หนิงเอ๋อร์!” เขาได้ยินเสียงหวานอุทานอย่างตกใจดังมาจากด้านหลัง จึงรีบวิ่งไปอย่างว่องไว รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนกำลังจ้องมองสตรีที่ซ่อนเรือนร่างของนางไว้ในถังไม้อย่างสุดความสามารถ แต่ถังไม้เล็กเพียงเท่านั้นย่อมมิอาจปิดบังความงดงามได้ครบทั้งสิบส่วน
หัวไหล่เนียนขาวตรึงสายตาหลี่จินหมิงไว้อย่างง่ายดาย เขาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ กะพริบตาแทบไม่ได้ แต่สิ่งที่อันตรายกว่าผิวขาวดุจไข่มุกราตรีคือดวงหน้าหวานที่มีหยดน้ำคลอเคลียอยู่ ยังมีพวงแก้มแดงปลั่งชวนหยิกที่ทำให้คันยุบยิบไปทั้งหัวใจ
หลี่จินหมิงเผลอไผลเนิ่นนาน จนกระทั่งสบประสานสายตาที่มองมาอย่างหวาดหวั่น เขาจึงหันหลังให้นางทันที
“อาบน้ำอยู่หรือ” หลี่จินหมิงอยากตบปากตนเอง เห็นชัดอยู่เต็มสองตาไยยังกล้าถามออกไปอีกเล่า
“ท่านอาควรออกไปข้างนอกมิใช่หรือเจ้าคะ”
คำถามกึ่งประชดของสาวงามในวัยสิบหกปีทำให้หลี่จินหมิงก้าวขาได้รวดเร็วดียิ่งนัก!
นับตั้งแต่มีชีวิตผ่านมาได้สิบหกหนาว สถานการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมานับว่าอึดอัดที่สุดในชีวิตของเสวียนหนิงอันแล้ว นางมิแน่ใจว่าควรกรีดร้องโวยวาย ไล่บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนไปให้พ้น หรือขอร้องอย่างมีมารยาทว่าต้องการอาบน้ำตามลำพังดี แต่พอเห็นเขาหันหน้าหนีนางก็พลันรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ไม่เคยมีบุรุษใดเบือนหน้าหนีเสวียนหนิงอัน!
ทีแรกนางอยากแกล้งให้รอสักครึ่งชั่วยาม อ้างว่าต้องบำรุงผิวพรรณให้งดงามน่าสัมผัส สุดท้ายกลับมิอาจทำได้ดั่งใจหวัง เพราะความผิดที่ก่อไว้มิอนุญาตให้ทำตามอำเภอใจได้อย่างที่เคย
แต่กระนั้นนางก็ยังอยากเอาคืนสักหน่อย
“ปล่อยให้ท่านอารอนาน หนิงเอ๋อร์เสียมารยาทแล้ว”
นางเดินเข้ามาในห้องรับรองแขกที่เขานั่งรออยู่ ร่างบอบบางยามนี้สวมเพียงเสื้อตัวใน ทว่ามีผ้าปักลายสวยงามคลุมไหล่บางเอาไว้เพื่อป้องกันคำดุด่าไม่น่าฟัง ผมดำขลับที่มักปล่อยสยายมีผ้าผืนเล็กมัดไว้อย่างหลวม ๆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกเย้ายวนไม่ต่างจากนางจิ้งจอกในนิทาน
หากคนภายนอกได้เห็นอาจคิดว่าเสวียนหนิงอันตั้งใจยั่วยุอารมณ์ของสามี แต่สำหรับนางแล้วการแต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นเพียงการกลั่นแกล้งให้เขาโมโหมากขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจ ทั้งยังถามไถ่นางอย่างมีน้ำใจยิ่ง!
“หากไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ สวมใส่ ข้าให้ซุนหยามาวัดตัวเจ้า ดีหรือไม่”
“อย่าสิ้นเปลืองเงินทองเลยเจ้าค่ะ ความจริงข้าพอมีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่บ้าง แต่เพราะกลัวว่าท่านอาจะรอนานจึงผลุนผลันออกมาโดยมิทันคิด… ท่านอาอย่าโกรธที่ข้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยนะเจ้าคะ”
“ช่างเถิด เป็นข้าไม่ดีเอง มาหาเจ้าโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า… ได้ยินว่าเจ้าดื่มน้ำเต้าหู้ไป ไม่รู้สึกหายใจลำบากหรือมีผื่นแดงตามร่างกายใช่หรือไม่”
หลี่จินหมิงตกตะลึงกับความงามของนางแทบละสายตาไม่ได้ แต่คำถามแฝงความไม่พอใจทำให้เขาได้สติและลนลานออกจากห้องอาบน้ำ หากผู้ใดเห็นคงกล่าวว่าอากัปกิริยามองแล้วไม่สมกับเป็นพ่อค้าสกุลหลี่ที่น่านับถือ ยามนี้เขาจึงพยายามนึกถึงเพียงเรื่องที่ทำให้ต้องมาพบหน้าภรรยาลับตั้งแต่แรกเป็นสำคัญ
เสวียนหนิงอันร่างกายไม่แข็งแรง ถูกลมเย็นนิดเดียวก็ล้มป่วยแล้ว
เขาจำได้ดีว่ามารดาของนางมีภาวะเสี่ยงในยามตั้งครรภ์ ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานหลายสัปดาห์ และหลังจากประคบประหงมดูแลจนกระทั่งอายุครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว ทารกน้อยเสวียนหนิงอันก็ลืมตาออกมาดูโลก เติบโตเป็นสาวงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล เผลอไผลยามใดก็รู้สึกราวกับถูกสะกดให้ลุ่มหลงอยู่ในภวังค์อันงดงาม
“ท่านอาเจ้าคะ ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”
“เจ้า… เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่จินหมิงตกอยู่ในภวังค์ที่ว่านั่นแทบทุกครั้งที่เจอนาง
“ข้าพูดว่าดีใจที่ท่านอาจำได้ แต่หลังจากอายุสิบขวบข้าก็ไม่ได้แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างที่ตวนอ๋องพูดไว้จริง ๆ” อาการแพ้ถั่วเหลืองของเสวียนหนิงอันเบากว่าบิดาของนางหลายส่วน ทั้งยังสามารถหายดีได้เองไม่ต่างกัน “หลังสิบขวบจึงกินดื่มได้ไม่ต้องกังวล”
“เจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว” เสวียนหนิงอันกลอกตา มิสนใจรักษามารยาทอีก
เขาเห็นว่านางเป็นเด็กอายุสิบขวบอยู่หรอกหรือนี่!
“ว่าแต่เจ้ามีเหตุผลอันใดจึงต้องการส่งจดหมายให้กับท่านหมอหวงเล่า” หลี่จินหมิงเดิมทีต้องทำตัวแข็งกร้าวไร้อารมณ์ แต่เพราะความเป็นห่วงว่านางจะเป็นอันตรายจากเรื่องอาหาร จึงเผลอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนคล้ายกับตัวเขาคนเดิมในอดีต เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนฟังจึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงยิ่งนัก
“ข้ามีนิสัยนอนหลับยาก ไม่ชินกับการนอนคนเดียว เมื่อวานกำยานผ่อนคลายอารมณ์หมดแล้ว จึงตั้งใจว่าจะส่งจดหมายไปขอท่านหมอเพิ่มเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันมิอยากร้องขออันใดมาก แต่เมื่อคืนที่ผ่านมานางนอนไม่หลับจริง ๆ
“หากใช้กำยานจนเป็นนิสัย ในอนาคตจะหลับได้ยากเสียยิ่งกว่าเก่า เจ้าได้คิดหาวิธีอื่นไว้บ้างหรือไม่”
หลี่จินหมิงคลายความวิตกเรื่องสุขภาพของนางแล้ว จึงเริ่มตรองเรื่องที่นางพูดอย่างละเอียด คิดไปคิดมาก็กลัวว่าตนจะตกหลุมพราง พ่ายแพ้ต่อความมากเล่ห์แสนกล หลงเชื่อในเรื่องที่ไม่ควรเชื่อ เผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อนที่เขาถูกปั่นหัวโดยบิดาของนาง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางร้ายกาจ บุตรสาวจะแตกต่างกันอยู่หรือ
“ถ้ามิต้องนอนตามลำพังคงดีขึ้น เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านอา…”
“หึ! สุดท้ายก็เปิดเผยสิ่งที่ต้องการออกมาจนได้ แสร้งเรียกหาท่านหมอเรียกร้องความสนใจ นี่คงให้เจียอีจงใจพูดเรื่องน้ำเต้าหู้เพื่อให้ข้าเป็นห่วงกระมัง” หลี่จินหมิงลุกจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน
“เสวียนหนิงอัน เหตุใดเจ้าจึงมารยาเก่งยิ่งนัก เรื่องดี ๆ ที่ควรได้รับมาจากมารดาของเจ้าไม่มีเลยหรืออย่างไร เหตุใดจึงทำตัวร้ายลึกเช่นบิดา วางแผนหว่านเสน่ห์ ล่อลวงข้าไม่รู้จักจบสิ้น!”
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันตกใจแทบสิ้นสติ ถอยหลังออกห่างจากร่างสูงโปร่งราวสามก้าว ดวงตากลมโตกะพริบถี่อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง
“อยากนอนกับข้ามากถึงขั้นต้องสร้างเรื่องนอนไม่หลับ! มิแน่ใจว่าตวนอ๋องได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวบ้างหรือไม่!”
ชั่วชีวิตเสวียนหนิงอันมิเคยนึกว่าจะมีผู้ใดพูดจาว่าร้ายให้หัวใจรู้สึกปวดร้าวได้มากถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นนางก็ยังรีบตั้งสติ เชิดหน้าตอบโต้กลับอย่างทันทีทันใด
“ข้าแค่จะขออนุญาตให้เจียอีมานอนด้วย หากเรื่องนี้ทำให้ท่านคิดว่าข้าเจ้าแผนการเหมือนท่านพ่อ ข้ายอมนอนเพียงลำพังไม่รบกวนสาวใช้ของท่านอีก กำยานนั่นก็เช่นกัน ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว!”
“นี่เจ้า!” หลี่จินหมิงถึงกับตะลึง มิรู้ว่าควรพูดอย่างไรเลยทีเดียว
“ในสายตาท่าน ข้าคงเป็นสตรีที่ร้ายกาจมาก ทุกครั้งที่พบกันท่านมักเบือนหน้าหนี แสดงทีท่าว่ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ขอถามสักหน่อยเถิดว่าเสวียนหนิงอันผู้นี้ไม่งดงามพอที่จะเป็นภรรยาของท่านหรือเจ้าคะ!”
“ไม่… ไม่ใช่เช่นนั้น” เขาจะตอบได้อย่างไรว่ามิกล้ามองเพราะกลัวว่าจะใจอ่อน ยอมทำทุกอย่างที่นางต้องการ
“แล้วเหตุใดจึงไม่มองล่ะเจ้าคะ!”
เสวียนหนิงอันเสียใจที่เขาอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ ขอบตานางยามนี้ร้อนผะผ่าว คาดเดาได้ว่าอีกไม่นานคงมีหยาดน้ำตาบนดวงหน้าสวยหวานเย้ายวน แต่นางจะไม่ยอมให้คนใจร้ายเห็นมันโดยเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงปราดเข้าไปหาเขาและใช้สองมือผลักอกกว้างอย่างไม่เบานัก “หากตอบไม่ได้ท่านก็ออกไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย ท่านออกไป!”
“เสวียนหนิงอัน!”
“หากยังไม่ไป ข้าจะร้องไห้ใส่ท่าน หรือว่าชอบมองน้ำตาของสตรี อยากเห็นข้าร้องไห้ซ้ำ ๆ เพราะบุรุษที่ไม่รู้จักรักษาสัญญาเช่นท่านอีก!”
“ข้าไปสัญญาอะไรกับเจ้า!”
“บอกว่าจะมาเยี่ยมทุกปี แล้วท่านได้มาหรือไม่!”
หลี่จินหมิงแทบกระอักเลือด ภาพเสวียนหนิงอันในวัยเด็กปรากฏชัดขึ้นในความทรงจำอันเลือนราง นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางขอให้เขากลับต่างเมืองไปด้วยกัน แต่หลังจากอธิบายแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ นางก็พลันนิ่งเงียบ ไม่ยิ้มแย้มหรือออดอ้อนเขาดังเดิม
‘อาสัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อย ๆ’
เขาจำได้ว่าตนพูดคำหวานปลอบใจนาง สัญญาว่าจะไปเยี่ยมให้บ่อย ช่วงแรกก็ไปหาปีละครั้ง แต่หลังจากแต่งงานกลับไม่ได้พบหน้ากันนานกว่าห้าปี
เขาผิดสัญญา ทำนางเสียใจจนถึงขั้นร้องไห้จริงหรือ?
“ไป! สามีใจร้ายออกไปได้แล้ว!” เสวียนหนิงอันผลักเขาแรง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อร่างสูงใหญ่พ้นประตู นางก็รีบลงกลอนและขังตนเองไว้ตามลำพังทันที
“หนิงเอ๋อร์…”
“ไปให้พ้น!”
หลี่จินหมิงยืนตัวแข็งราวกับถูกสาปอยู่หน้าเรือนเล็กชั่วขณะและทันทีที่เขาตัดสินใจหันหลังหมายใจจะกลับเรือนใหญ่ หัวใจที่ด้านชามานานก็พลันถูกเสียงสะอื้นเบา ๆ บีบรัดจนปวดร้าว ควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้ดีอย่างที่เคย
หรือว่าเขามองนางในแง่ร้ายมากเกินไป?
[1] ยามโหย่ว = ๑๗.๐๐ – ๑๘.๕๙ น.
ลูกค้าประจำของร้านซิงเยียนทยอยออกจากร้านในช่วงปลายยามอู่[1]เนื่องจากทราบดีว่าในทุก ๆ สิบห้าวันร้านจะเปิดเพียงครึ่งวันและปิดในช่วงบ่ายเพื่อตรวจรับสินค้าจากต่างเมือง ส่วนลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ทราบก็ยังคงเลือกดูสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เสวียนหนิงอันที่เข้ามาสืบความเองก็เช่นกันนางมั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้ มิใช่เพราะสวมเสื้อผ้าธรรมดาหรือทำผมต่างไปจากเดิม แต่เป็นเพราะหมวกที่สวมอยู่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า ช่วยพรางตัวให้พ้นจากสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดีเสวียนหนิงอันคิดผิด…เจ้าของร่างสูงเอ่ยลาลูกค้าสตรีอย่างมีมารยาท ก่อนเบือนหน้าหนีเหล่าแม่สื่อที่ขยันแวะเวียนมาบ่อยจนน่ารำคาญ แต่กระนั้นพวกนางกลับมิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบกุมขมับ แต่เป็นสาวงามในวัยสิบหกปีที่แสร้งทำเป็นเลือกสินค้าอยู่ต่างหากเล่าหลี่จินหมิงอยากตรงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนนาง แล้วพากลับบ้านเพื่อลงโทษให้หลาบจำ แต่สายตาสอดรู้สอดเห็นในร้านนั้น
“แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…”“พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง”“ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ” เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือน”“เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ”“เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ”“หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…”“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข
บาดแผลเล็ก ๆ ของเสวียนหนิงอันจางลงจนแทบมองไม่เห็น แม้ก่อนหน้าจะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจหากต้นแขนของตนต้องมีตำหนิ แต่ความจริงแล้วนางใส่ใจอย่างมาก ช่วงแรกถึงขั้นตรวจเกือบทุกสองเค่อเพื่อดูว่าแผลแห้งแล้วหรือยัง จนกระทั่งถูกขู่ว่ามองมากไปแผลอาจหายช้า เสวียนหนิงอันจึงได้ยอมปล่อยวางคนขู่ให้กลัวก็มิใช่ใครอื่น เป็นหลี่จินหมิงหรือท่านอาใจร้ายของนางนั่นเอง นอกจากจะไม่ให้มองแผลบ่อย ๆ แล้ว เขายังยืนยันว่าต้องทาขี้ผึ้งให้ตรงเวลาและขอเป็นคนดูแลด้วยตนเองเสวียนหนิงอันปฏิเสธ ทว่าคนหน้าไม่อายกลับไม่ยอมรับฟัง นางจึงต้องยกเอาเรื่องที่ถูกหยิกแก้มจนช้ำมาต่อรอง ขอร้องว่าหากยอมให้เจียอีช่วยดูแลแทนแล้วนางจะไม่โกรธเขาอีก หลังจากเจรจาอยู่นานเขาก็ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ลืมเตือนว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ หากครบเจ็ดวันแล้วก็ต้องมาให้ตรวจดูอีกครั้งเมื่อครบกำหนดเสวียนหนิงอันจึงสวมเสื้อคลุมตัวสวยเพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินไปยังห้องหนังสือเพื่อให้เขาตรวจสอบดูว่าผิวของนางไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ“ท่านอาเจ้าคะ…”เสวียนหนิงอันเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดประตูห้องหนังสือและสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งตรวจบัญชี นางเห็นเขายกม
ยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆแรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วยยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธเสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทั
ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเองตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอนเสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน
บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครองตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อยหลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งใ







