ทั้งๆ ที่อันที่จริง แล้ว ระหว่างถูกอุ้มกลับจวน หลังจากที่ได้นั่งดูพลุไฟและโคมลอยจำนวนนับไม่ถ้วนที่วังหลวงปล่อยออกมาจากบนต้นไม้ใหญ่ที่พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อพานางไต่ขึ้นไป นางก็แค่อ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากการปักผ้าในตลอดหลายวันที่ผ่านมา อีกทั้งแผ่นหลังของพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อก็ยังอบอุ่นเกินไป ซ้ำเวลาก็ยังนับว่าดึกมากแล้ว เด็กน้อยอย่างนางจึงเผลอผล็อยหลับไปเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อจะหลบหนีไปจริงๆ หรือไม่นั้น นางไม่รู้เลยจริงๆ
ครั้งนั้น ทันทีที่รู้ว่าเกิดข่าวเล่าลือเช่นนั้นแพร่กระจายออกไป ท่านย่าของนางโกรธจนเป็นลมล้มพับ แม้ผู้อื่นจะพากันปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องการตายของท่านย่า ทว่านางรู้ดี อนุหานบอกนางเอาไว้นับตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านย่าเริ่มโกรธจนหมดสติในวันนั้น กล่าวว่าเพราะเรื่องของนาง ท่านย่าที่เริ่มจะแก่ชราอาจป่วยหนักจนถึงขั้นรักษาไม่หายก็เป็นได้ แล้วหลังจากนั้นท่านย่าก็ล้มป่วยจริงๆ อาการทรงๆ ทรุดๆ สุดท้ายก็มาด่วนจากไปภายหลังจากงานฉลองวันเกิดครบห้ารอบของตนเองเช่นนั้น
นางไม่น่าพลัดหลงกับพี่หญิงรองและน้องสี่เลย...
พี่หญิงรองของนางกล่าวว่า คืนนั้นตั้งใจพาน้องสี่แยกออกไปซื้อขนมแป้งทอดให้นางได้ลองชิม คาดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาถึง น้องสามอย่างนางกลับหายตัวไปเสียแล้ว เรื่องนี้ท่านลุงที่ขายถังหูลู่สามารถเป็นพยานให้พี่หญิงรองและน้องสี่ได้ และอนุจางก็สามารถหาตัวคนผู้นั้นมาเป็นพยานต่อหน้าท่านพ่อได้จริงๆ
เป็นนางที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด
ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของนาง...
หากนางยืนกรานว่าจะรีบกลับจวนแทนการยอมตามจวิ้นหวังจ๋างจื่อไปเช่นนั้น หากนางไม่ถูกความงามของพลุไฟและโคมลอยพวกนั้นทำให้หลงใหลจนอยากนั่งจ้องมองพวกมันไปเรื่อยๆ ท่านพ่อก็คงไม่ต้องเกณฑ์คนออกตามหาตัวนางจนเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นก็จะไม่มีข่าวเล่าลือเสียๆ หายๆ ที่ทำให้ท่านย่าเริ่มล้มป่วย จนนำไปสู่การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เรื่องทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นก็เพราะนางในยามนั้นยังคิดและกระทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่ระมัดระวังรอบคอบ ซ้ำยัง...เป็นเด็กดีไม่พอ...
เซียงหรงทอดถอนใจก่อนเริ่มร่างภาพสระบัวที่มีฝูงปลาแปดตัวแหวกว่าย
พี่หญิงใหญ่กล่าวว่าอีกไม่นานจะมีการคัดเลือกสตรีที่มีคุณสมบัติพร้อมสรรพเข้าประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธี พี่หญิงใหญ่ซึ่งงามพร้อมของนางไม่มั่นใจในฝีมือปักผ้าของตนเอง เกรงว่าจะไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปสร้างชื่อให้จวนเฉินกั๋วกงเราได้ จึงได้วานให้นางช่วยปักผ้าผืนใหญ่ด้วยลวดลายงดงามที่มีความหมายมงคลให้สักผืน...
ในเมื่อนางเคยทำให้จวนเฉินกั๋วกงเสียชื่อ ทั้งยังกลายเป็นบุตรสาวที่ไม่อาจออกหน้าออกตา ไม่สู้คนไร้ประโยชน์อย่างนางช่วยเหลือพี่หญิงน้องหญิงของตนอยู่เบื้องหลัง ให้พวกนางได้สร้างชื่อให้จวนเฉินกั๋วกงยังดีกว่า...
เซียงหรงร่างภาพลงบนผืนผ้าด้วยจิตใจที่สงบและปลดปลง
กล่าวถึงการคัดเลือกสาวงามที่มีคุณสมบัติพร้อมสรรพเข้าประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีแล้ว ก็คล้ายกับจะกลายเป็นประเพณีไปแล้ว ว่าเมื่อการสอบจิ้นซื่อสิ้นสุดลง สามเดือนให้หลัง จะต้องมีการคัดเลือกสาวงามเข้าประชันขันแข่ง ชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีของเทียนจินเรา
ป้าเหลียงกล่าวว่า ที่จริงแล้ว งานคัดเลือกหญิงงามอะไรนี่ ก็คือการเปิดโอกาสให้สตรีที่ผ่านการคัดเลือกได้ออกมาแสดงรูปโฉมและความสามารถดีๆ นี่เอง หากสตรีคนใดต้องตาเหล่าตระกูลของผู้สูงศักดิ์ โดยเฉพาะตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินอย่างราชวงศ์สกุลหลี่ อนาคตของสตรีผู้นั้นก็นับว่าโรยด้วยกลีบบุปผาแล้ว และหากโชคดีสามารถครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธี ก็เท่ากับว่าชั่วชีวิตนี้ของสตรีผู้นั้น มีหลักประกันแล้วว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและเป็นสุข...
สำหรับเซียงหรงแล้ว นางคิดว่าคำกล่าวของป้าเหลียงอาจจะถูกแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น... ที่จริงแล้วมารดาของนางก็เคยครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีเช่นกัน ทว่าสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร? แม้มารดาของนางจะได้รับการเลื่อนชั้นให้เป็นถึงจวิ้นจู ทั้งยังได้แต่งให้บุรุษที่รูปงามที่สุดในยามนั้นอย่างท่านพ่อของนาง พรั่งพร้อมด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ มารดาของนางกลับต้องมาด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ได้อยู่เสพสุขอะไรอย่างที่ป้าเหลียงว่าสักนิด แม้แต่บุตรชายหญิงของตนเองก็ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู...
มีหลักประกันว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติน่ะ ใช่ แต่จะมีชีวิตที่เป็นสุขหรือไม่ ล้วนอยู่ที่เจ้าตัวเลือกทางเดินให้ชีวิตต่างหาก
หากนางเป็นท่านแม่ ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็จะไม่ขอแต่งงานออกเรือนอย่างเด็ดขาด จะขอใช้ชีวิตที่มีเกียรติและเป็นสุขเพียงลำพัง อาศัยเกียรติยศชื่อเสียงนั้นเป็นอาจารย์หญิง คอยอบรมสอนสั่งเด็กๆ คลายเหงา ช่วยเลี้ยงดูลูกหลานให้พี่ชายน้องชายและพี่สะใภ้น้องสะใภ้ ท่านแม่ของนางนับว่าเลือกทางผิดโดยแท้...แม้การเลือก ‘ความรัก’ ไม่อาจกล่าวว่าเป็นเรื่องผิด ทว่ามานึกๆ ดูเช่นนี้แล้ว ก็น่าเสียดายแทนท่านแม่ของนางยิ่งนัก
ช่วงแรกจะบรรยายเยอะหน่อยนะคะ แต่เรื่องนี้เดินเรื่องเร็วค่ะ
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากตรวจดูจนแน่ใจ หมอหญิงที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุดก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าจริงจัง“ทูลหวงโฮ่ว เรียนราชบัณฑิตและสักขีพยานทุกท่าน ข้าในนามหมอหลวงหญิงผู้ตรวจสอบ ขอประกาศว่าผลการตรวจสอบพรหมจรรย์ คุณหนูสามแห่งจวนเฉินกั๋วกงยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง หาได้แปดเปื้อนราคีคาวดังที่ถูกกล่าวหาไม่!”ทันทีที่คำกล่าวนั้นถูกประกาศ เสียงซุบซิบในลานพลันเงียบสงบลง เหล่าผู้คนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนเริ่มกล่าวขอโทษอย่างกระอักกระอ่วนไท่โฮ่วตรัสด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย ทว่าทรงอำนาจ “เรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนแก่ทุกคน อย่าให้ข่าวลือที่ไร้หลักฐานกลายเป็นอาวุธทำลายเกียรติของสตรีอีกต่อไป”สวีหวงโฮ่วค้อมศีรษะคารวะแม่สามีอย่างนบนอบ “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ” พระนางผินหน้ากลับมาถอดปิ่นหงส์ทองคำอันหนึ่งออกส่งให้นางกำนัลคนสนิท ประกาศด้วยเสียงอันดัง “คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงเปรียบดังทองแท้ไม่กลัวไฟ งดงามกล้าหาญ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรีเยาว์วัย มอบปิ่นหงส์ทองคำประดับมุกหยกเป็นรา
บรรยากาศในลานประชันฝีมือยังคงคึกคักหลังจากการแสดงของยอดหญิงงามทั้งห้าสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ป้ายไม้กลับถูกมอบให้แก่สตรีที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้ใดมาก่อนอย่างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง กองป้ายสูงเกือบสามเท่าตัวคนทำให้นางกลายเป็นผู้ชนะไปอย่างขาดลอย ได้ครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้เซียงหรงยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมเช่นเดิม นางเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ไม่ได้เสียกิริยาเพียงเพราะเสียงปรบมือกึกก้องแต่อย่างใดทว่าเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนในกลุ่มฝูงชนที่มาชมการแข่งขัน“โฉมงามยอดเมธีในปีนี้ เป็นเพียงสตรีที่แปดเปื้อนราคีคาว! น่าอับอายยิ่งนัก!”เสียงคำกล่าวหยามเหยียดนั้นไม่ดังมาก แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งลานแข่งขันเงียบลงสีหน้าของเฉินกั๋วกงทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกสลด เช่นเดียวกับอนุหาน หานชิงเยว่ ที่ลุกขึ้นมาในทันใด“ผู้ใดกล่าวหาบุตรีข้า! คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง!” นางตะเบงเสียง ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งดัง “องครักษ์จวนสกุลเฉินอยู่ที่ใด รีบตามหาตัวคนพูดเดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้
เฉินเซียงหรงยืนอยู่กลางลานแข่งขันด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกเหมยละเอียดอ่อน ดวงหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่งามเปล่งประกายแห่งสมาธิและความมั่นใจเบื้องหน้านางยามนี้มีม้วนกระดาษเซวียนจื่อที่ถูกจับขึงตั้งฉากกับพื้น แขวนไว้ด้วยเส้นเชือกเกลียวทองอันบางเบา ซ้ายมือมีโต๊ะที่ตั้งฉินเอาไว้สายลมพัดดอกเหมยพร่างพรู เซียงหรงยกพู่กันขึ้นด้วยมือขวา พลันปลายนิ้วของมือซ้ายก็เริ่มดีดสายพิณ เพลงที่บรรเลงเป็นทำนองที่รื่นหู ทว่ามีความลึกล้ำคล้ายสะท้อนธรรมชาติ ดั่งสายลมที่พัดผ่านเหล่าดอกเหมยบนภูเขาหิมะปลายพู่กันตวัดไปตามเสียงพิณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนอง นางก้าวขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ปลิวตามลมเบา ๆ มือหนึ่งดีดฉินคลอคล้ายบอกเล่าเรื่องราวของสายลมและสายฝน อีกมือลากปลายพู่กันสร้างเส้นสายของภาพบนกระดาษ ขณะดีดพิณ นางหมุนตัว ตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งที่งดงามราวกวางน้อยกำลังโลดแล่นในหุบเขาภาพบนกระดาษเซวียนจื่อเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพของดอกเหมยยืนต้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนบอกเล่าถึงจิตใจของ
เสียงกระซิบเหล่านั้นลอยไปถึงหูนางกำนัลของหวงโฮ่วที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนนางกำนัลเห็นสายตาที่หวงโฮ่วมองไปยังคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ซึ่งยามนี้ยืนรับคำชื่นชมจากทุกทิศทาง ก็รีบปราดเข้าไปกระซิบกระซาบรายงานทันทีฉับพลัน ตาหงส์ที่สงบไว้สง่าของสวีหวงโฮ่วฉายแววชื่นชมประสมยินดีสตรีเก่งกาจและมีนิสัยสงบเสงี่ยม จิตใจมั่นคง ไม่อวดอ้างตน ไม่หวั่นไหวต่อลมปากผู้คน และที่สำคัญ...แม้จะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ บิดาไม่ได้ทะนุถนอมปกป้อง แต่ยังคงมีความอดทน สามารถเติบโตขึ้นมาได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในจวนเฉินกั๋วกง ซ้ำยังมีความสามารถเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมเป็นยอดหญิงที่หาได้ยาก โบราณว่า ‘ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปื้อนดำ’ หากองค์ชายได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ นอกจากจะทำให้มีเรือนหลังที่มั่นคงแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมจิตใจให้มีความมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น ช่วยให้องค์ชายสามารถรับภาระในอนาคตและความท้าทายในราชวงศ์ได้อย่างมั่นใจความคิดเหล่านี้เริ่มซึมซาบเข้าสู่จิตใจของพระนางถูกแล้ว...บุตรสาวของเฉินกั๋วกงที่เกิด
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส