“คุณหนูสามเจ้าคะ จวิ้นหวังเฟย...ท่านป้าสะใภ้ของคุณหนูสาม มารอพบท่านอยู่ที่โถงรับแขกเรือนประธานเจ้าค่ะ” สาวใช้จากเรือนหลักส่งเสียงรายงานอย่างนอบน้อม
แม้จะไร้มารดาปกป้อง บิดาหมางเมินเฉยชา ซ้ำยังไร้อำนาจปกครองจวนในมือ ทว่าจะอย่างไรนางก็ยังเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ซ้ำยังมีพี่ชายน้องชายที่มีความสามารถคอยปกป้องคุ้มครอง เบื้องหลัง ห่างออกไปทางทิศบูรพาของเมืองหลวงก็ยังมีตำหนักของท่านลุงแท้ๆ ที่เป็นถึงจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรคอยหนุนหลัง อีกทั้งตัวนางเองแม้จะมีสายเลือดของราชวงศ์สกุลหลี่เจือจาง ก็ยังนับได้ว่ามี จึงไม่มีผู้ใดในจวนเฉินกั๋วกงไม่กล้าไม่เคารพนาง
จวิ้นหวังเฟยซึ่งมีศักดิ์เป็นท่านป้าสะใภ้ของนางที่ว่านี้ ก็คือภรรยาของท่านลุงแท้ๆ ของนาง...มารดาของพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนาง ในงานเทศกาลคืนนั้น
ตลอดเจ็ดแปดปีมานี้ ท่านลุงของนางและพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อออกรบทัพจับศึก นานๆ ครั้งผู้เป็นสามีของป้าสะใภ้อย่างท่านลุงของนางจึงจะได้กลับมาเมืองหลวงสักครั้ง ส่วนบุตรชายอย่างพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อนั้น เห็นว่ากิจธุระติดพัน จึงไม่เคยได้ก้าวขาเข้าเมืองหลวงเลยสักก้าว ท่านป้าสะใภ้ของนางมีพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว อยู่ในตำหนักจึงค่อนข้างเบื่อหน่าย หงอยเหงา สุดท้ายนึกได้ว่ายังมีนางที่เป็นหลานสาวที่ถือกำเนิดจากครรภ์เพื่อนผู้รู้ใจผู้ล่วงลับของตนเองอย่างท่านแม่ของนาง จึงหมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมมาหา ทั้งยังเป็นธุระจัดหาอาจารย์ชายหญิงมาอบรมสั่งสอนนางถึงในจวน นางจึงไม่ถึงกับขาดการอบรม สามารถเป็นตัวนางอย่างที่เป็นในวันนี้ กล่าวได้ว่าท่านป้าสะใภ้ผู้นี้ทั้งมีเมตตาต่อนาง ทั้งรักและเอ็นดูนาง มีพระคุณต่อนางเป็นอย่างยิ่ง
พี่ซู่ซิน อดีตคนสนิทของท่านแม่ ที่กระทั่งป่านนี้ก็ยังไม่คิดจะทอดทิ้งนางไปไหน เคยกล่าวคล้ายรำพึงรำพันเอาไว้ว่า
“เป็นเพราะได้ท่านป้าสะใภ้ของคุณหนูที่เป็นถึงจวิ้นหวังเฟยช่วยเอาไว้แท้ๆ พวกเราเหล่าคนในเรือนอี้หรงแห่งนี้ จึงสามารถใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย ไม่มีผู้ใดกล้าสอดมือสอดเท้าเข้ามาก้าวก่ายรบกวนความสงบของคุณหนู ทั้งยังไม่กล้าปองร้ายคุณหนูของบ่าวอย่างโจ่งแจ้งจนเกินไป...”
ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใความหมายของซู่ซิน ทว่าสำหรับนางแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นอนุหานก็ดี อนุซูก็ดี อนุจางก็ดี พวกนางล้วนจำเป็นต้องวางตัวเป็นมิตรกับคุณหนูสามอย่างนางทั้งนั้น เพราะถึงแม้ยามนี้แต่ละคนต่างคนต่างแบ่งหน้าที่รับภาระดูแลจวน มีอำนาจสั่งการผู้คน ก็ยังคงเป็นเพียงการรับหน้าที่ดูแลจวนแทนนาง อำนาจตัดสินใจที่แท้จริง แม้ไม่คล้ายอยู่ที่นาง แต่ก็ยังคงเป็นของนาง หากวันใดนางเกิดเบื่อหน่ายความสงบ มีใจอยากดูแลจวนกั๋วกงด้านใดสักด้านขึ้นมา หรือหากเกิดเรื่องใดกับนางซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผู้รับมอบหน้าที่ดูแลจวนกั๋วกงจากบิดา สมดุลย์อำนาจปกครองจวนระหว่างท่านแม่ทั้งสามย่อมได้รับผลกระทบ เพราะเหตุนี้ นับตั้งแต่ได้รับมอบอำนาจในการดูแลจวน ท่านแม่ทั้งสามจึงคล้ายเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเพราะการดูแลจวนกั๋วกงเรา จนไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนนางสักเท่าใด มีเพียงพี่หญิงน้องหญิงของนางเท่านั้นที่ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมมาหานานๆ ครั้ง
“ไปกันเถอะ พี่ซู่ซิน...ให้ท่านป้าสะใภ้รอนานเกินไปจะไม่ดี” อันที่จริงนางก็อยากจะรับรองท่านป้าสะใภ้ที่เรือนอี้หรงแห่งนี้ ทว่าหลายปีมานี้อนุหาน อนุซู และอนุจาง กล่าวว่าจวนเฉินกั๋วกงของพวกเรานั้นสุดแสนจะขัดสน ไม่มีเงินทองมากพอจะซ่อมบำรุงเรือนอี้หรงของนาง ทำให้เรือนอี้หรงค่อนข้างจะ...ไม่น่ามองไปสักหน่อย
นางไม่อาจปล่อยให้ท่านป้าสะใภ้มาเห็นว่าหลานสาวเช่นนางอาศัยอยู่ในเรือนเก่าๆ ใกล้ผุพังเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นท่านป้าสะใภ้คงต้องเป็นห่วงกังวล และมิวายต้องไปคาดคั้นเอาความกับอนุหาน อนุซู และอนุจาง จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอีกคำรบหนึ่ง...เรื่องทำนองนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นเสียเมื่อไหร่
บรรยากาศในลานประชันฝีมือยังคงคึกคักหลังจากการแสดงของยอดหญิงงามทั้งห้าสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ป้ายไม้กลับถูกมอบให้แก่สตรีที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้ใดมาก่อนอย่างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง กองป้ายสูงเกือบสามเท่าตัวคนทำให้นางกลายเป็นผู้ชนะไปอย่างขาดลอย ได้ครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้เซียงหรงยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมเช่นเดิม นางเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ไม่ได้เสียกิริยาเพียงเพราะเสียงปรบมือกึกก้องแต่อย่างใดทว่าเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนในกลุ่มฝูงชนที่มาชมการแข่งขัน“โฉมงามยอดเมธีในปีนี้ เป็นเพียงสตรีที่แปดเปื้อนราคีคาว! น่าอับอายยิ่งนัก!”เสียงคำกล่าวหยามเหยียดนั้นไม่ดังมาก แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งลานแข่งขันเงียบลงสีหน้าของเฉินกั๋วกงทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกสลด เช่นเดียวกับอนุหาน หานชิงเยว่ ที่ลุกขึ้นมาในทันใด“ผู้ใดกล่าวหาบุตรีข้า! คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง!” นางตะเบงเสียง ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งดัง “องครักษ์จวนสกุลเฉินอยู่ที่ใด รีบตามหาตัวคนพูดเดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้
เฉินเซียงหรงยืนอยู่กลางลานแข่งขันด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกเหมยละเอียดอ่อน ดวงหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่งามเปล่งประกายแห่งสมาธิและความมั่นใจเบื้องหน้านางยามนี้มีม้วนกระดาษเซวียนจื่อที่ถูกจับขึงตั้งฉากกับพื้น แขวนไว้ด้วยเส้นเชือกเกลียวทองอันบางเบา ซ้ายมือมีโต๊ะที่ตั้งฉินเอาไว้สายลมพัดดอกเหมยพร่างพรู เซียงหรงยกพู่กันขึ้นด้วยมือขวา พลันปลายนิ้วของมือซ้ายก็เริ่มดีดสายพิณ เพลงที่บรรเลงเป็นทำนองที่รื่นหู ทว่ามีความลึกล้ำคล้ายสะท้อนธรรมชาติ ดั่งสายลมที่พัดผ่านเหล่าดอกเหมยบนภูเขาหิมะปลายพู่กันตวัดไปตามเสียงพิณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนอง นางก้าวขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ปลิวตามลมเบา ๆ มือหนึ่งดีดฉินคลอคล้ายบอกเล่าเรื่องราวของสายลมและสายฝน อีกมือลากปลายพู่กันสร้างเส้นสายของภาพบนกระดาษ ขณะดีดพิณ นางหมุนตัว ตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งที่งดงามราวกวางน้อยกำลังโลดแล่นในหุบเขาภาพบนกระดาษเซวียนจื่อเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพของดอกเหมยยืนต้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนบอกเล่าถึงจิตใจของ
เสียงกระซิบเหล่านั้นลอยไปถึงหูนางกำนัลของหวงโฮ่วที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนนางกำนัลเห็นสายตาที่หวงโฮ่วมองไปยังคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ซึ่งยามนี้ยืนรับคำชื่นชมจากทุกทิศทาง ก็รีบปราดเข้าไปกระซิบกระซาบรายงานทันทีฉับพลัน ตาหงส์ที่สงบไว้สง่าของสวีหวงโฮ่วฉายแววชื่นชมประสมยินดีสตรีเก่งกาจและมีนิสัยสงบเสงี่ยม จิตใจมั่นคง ไม่อวดอ้างตน ไม่หวั่นไหวต่อลมปากผู้คน และที่สำคัญ...แม้จะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ บิดาไม่ได้ทะนุถนอมปกป้อง แต่ยังคงมีความอดทน สามารถเติบโตขึ้นมาได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในจวนเฉินกั๋วกง ซ้ำยังมีความสามารถเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมเป็นยอดหญิงที่หาได้ยาก โบราณว่า ‘ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปื้อนดำ’ หากองค์ชายได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ นอกจากจะทำให้มีเรือนหลังที่มั่นคงแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมจิตใจให้มีความมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น ช่วยให้องค์ชายสามารถรับภาระในอนาคตและความท้าทายในราชวงศ์ได้อย่างมั่นใจความคิดเหล่านี้เริ่มซึมซาบเข้าสู่จิตใจของพระนางถูกแล้ว...บุตรสาวของเฉินกั๋วกงที่เกิด
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ