Share

บทที่ 17

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-21 14:14:33

“เช่นนั้น…ตอนนี้ข้าก็ไม่ต้องแต่งให้ท่านแล้ว?”

“ถูกต้อง” สำหรับตอนนี้น่ะนะ...

เสี่ยวเซียงหรงไม่รู้ถึงความคิดนั้น เพียงได้ยินว่าไม่ต้องแต่งให้พี่ชายตรงหน้าแล้วก็ถึงกับเผลอแย้มรอยยิ้มเจิดจ้า

“โล่งอกไปที...อ๊ะ!” นางรีบยกมือน้อยๆ ขึ้นปิดปาก

กล่าวออกมาเช่นนี้...นับว่าเสียมารยาทต่อพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อผู้นี้เกินไปหน่อยกระมัง...

เซียงหรงรีบอธิบายให้พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อเข้าใจทันที

“พี่ชาย...ไม่ใช่ว่าท่านไม่ดีหรอกนะ ท่านคือวีรบุรุษที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้าในยามยาก ทั้งยังรูปงาม สูงสง่า ทั้งยัง ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง เป็นถึงจวิ้นหวังจ๋างจื่อ ท่าน...ท่านดีไปหมดทุกอย่าง ท่านดีมากๆ ข้าเพียงไม่อยากแต่งให้ท่าน ไม่อยากเป็นภรรยาของท่าน ไม่อยากคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ท่าน ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านั้นจริงๆ”

ยิ่งฟังนางพูด หลี่จือหลินก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด คันยิบๆ ในอก

ต่อให้เขาไม่มีความคิดอยากบังคับจับนางแต่งงานตั้งแต่ตอนนี้ แต่จู่ๆ มีเด็กน้อยอย่างนาง มาตอกย้ำว่าไม่อยากแต่งให้บุรุษที่สตรีมากมายล้วนยินดีทอดกายให้เช่นเขา ปากชื่นชมว่าเขาวิเศษเลิศล้ำ แต่กลับไม่อยากเป็นภรรยาของเขาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ช่างน่าหงุดหงิดมากจริงๆ

เอาเถอะ...เอาไว้นางโตกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน

“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน ทว่าก่อนหน้านั้น...ข้ามีบางอย่างอยากให้เจ้าได้ดู” ว่าจบหลี่จือหลินก็อุ้มร่างน้องสาวตัวน้อยขึ้นพาดบ่า พานางดีดปลายเท้าขึ้นไต่หลังคา ใช้วิชาตัวเบาพานางพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เซียงหรงไม่เคยถูกท่านจอมยุทธ์อุ้มเหาะเหินเดินอากาศเช่นนี้มาก่อน แม้แรกเริ่มจะหวาดหวั่น ทว่าเพียงได้ลืมตาขึ้นมองภาพที่บุรุษผู้นี้ทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ประกายระยิบระยับจากแสงโคมไฟนับหมื่นนับพันก็ทำให้นางถึงกับตาพร่า

ค่ำคืนนั้น เซียงหรงจ้องมองแสงโคมไฟและผู้คนด้านล่างที่คล้ายหดร่างเหลือเพียงเล็กจ้อย จ้องมองพลุไฟที่ถูกจุกขึ้นในวังหลวง ทั้งตื่นตาตื่นใจ ทั้งประทับใจกับภาพงดงามตระการที่ไม่คาดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเป็นอย่างยิ่ง

-----

สิ่งที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดยั้งก็คือวันเวลา และวันเวลาก็เปลี่ยนให้เสี่ยวเซียงหรงในอดีตเติบโตขึ้นมาเป็นสาวงามผู้หนึ่ง...หากท่านย่าของนางยังคงมีชีวิตอยู่ ท่านย่าของนางก็คงจะกล่าวเช่นนี้ น่าเสียดายที่ท่านย่าผู้แสนดีได้ตายจากไปหลังจากที่ในจวนจัดงานฉลองวันเกิดอายุครบห้ารอบให้ท่านย่าได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น

เซียงหรงแตะไล้ภาพใบหน้าตนเองในกระจกโลหะ...หนึ่งในสมบัติตกทอดที่ท่านแม่เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แล้วทอดถอนใจ

หลายปีมานี้เกิดเรื่องราวไม่น้อย...ไม่น้อยเลย...

นับตั้งแต่มารดาของนางด่วนตายจากไป ไม่กี่ปีถัดมา ท่านย่าก็มาตายจากไปอีกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว

นางยังจำงานฉลองวันเกิดครบห้ารอบของท่านย่าในปีนั้นได้

ปีนั้นพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงห้านำผ้าเช็ดหน้าที่นางปักให้ มามอบให้ท่านย่าเป็นของขวัญ คาดไม่ถึงว่าเพียงท่านย่ามองผ้าปักทั้งสองผืนปราดเดียวก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากจิบน้ำชาที่สาวใช้นำมาให้จิบแก้โมโหลงไป เพียงลุกขึ้นเดินได้สองก้าวก็หมดสติ ล้มลง จากนั้นก็นอนป่วยอยู่ราวเจ็ดวัน จึงจากนางไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายคำสั่งเสียฉบับหนึ่งที่ป้าเหลียงสาวใช้คนสนิทของท่านย่าเป็นผู้เก็บรักษาเอาไว้

เพียงท่านพ่อได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ก็กลายเป็นหมดอาลัยตายอยาก ยามว่างเว้นจากงานราชการก็เอาแต่ร่ำสุราแล้วก็ร่ำไห้ แม้ท่านพ่อจะกล่าวว่ามีเรื่องใดในจวนก็ให้ถามบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างนาง ทว่านางในยามนั้นยังเยาว์นัก สุดท้ายด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ จึงจำต้องส่งต่อจวนเฉินกั๋วกงทั้งจวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างอนุหาน อนุซู และอนุจาง ช่วยกันดูแลไปโดยปริยาย 

สำหรับนางในยามนั้นแล้ว การจะให้เด็กอย่างนางดูแลปกครองจวนทั้งจวนก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวจนเกินไป อีกทั้งยังอาจเป็นการหาเรื่องใส่ตัว สร้างศัตรูตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งที่ยังไร้เรี่ยวแรงกำลังปกป้องตนเอง ดังนั้น ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางหาได้ติดใจใดใดในเรื่องนี้ทั้งนั้น...

กลับเป็นอนุหาน อนุซู และอนุจาง ที่คอยประชดประชันทะเลาะเบาะแว้งกันเองไม่เว้นวัน ทว่าอนุหาน อนุซู และอนุจางนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากตระกูลบัณฑิต แม้มีเรื่องบาดหมางกัน ต่อหน้าท่านพ่อก็ยังยอมสงบศึก เรียกขานกันและกันเป็นพี่หญิงน้องหญิงดังเดิม เดาว่าคงไม่ต้องการให้ท่านพ่อต้องวุ่นวายใจกระมัง...

ส่วนนางและพี่ชายน้องชายในยามนั้น...ด้วยหนังสือคำสั่งเสียของท่านย่า หลานสาวที่ยังเยาว์อย่างนางจึงได้อาศัยอยู่ในเรือนของท่านย่าต่อไป มีสาวใช้ บ่าวชาย ที่พี่ชายใหญ่กล่าวว่าล้วนไว้ใจได้ คอยดูแล มีป้าเหลียงคอยชี้แนะวิธีการปกครองเรือนให้ กลายเป็นว่าเด็กน้อยอย่างนางได้มีเรือนเป็นของตนเองตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งยังได้ศึกษาวิธีการครองเรือนจากป้าเหลียง รวมไปถึงจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในเรือนและในจวน ต่างจากพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสเช่นนี้

ฝ่ายพี่จิ้งอี้ของนางที่เริ่มจะเติบโตขึ้นมากแล้ว ก็ถูกท่านพ่อแยกให้ไปอยู่ที่เรือนอื่นตามความเหมาะสม

แน่นอนว่าพี่จิ้งอี้ที่รักและห่วงใยนางย่อมต้องคัดค้านหัวชนฝา

ทว่าด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ท่านพ่อกล่าวมา สุดท้ายแล้วพี่จิ้งอี้ก็จำต้องยอมโอนอ่อนผ่อนผัน โดยยื่นข้อแม้ว่า หากจำเป็นต้องแยกเรือนกับน้องสาวร่วมครรภ์มารดา ก็ขอย้ายเข้าเรือนเหลียนฮวา...เรือนหลังเก่าของท่านแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนประธาน จากนั้นพี่จิ้งอี้ก็อาศัยคำสั่งเสียจากปากของท่านย่า กล่าวว่าจะรับน้องเล็กอย่างน้องจิ้งเสียนไปอยู่ด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องให้อนุหาน อนุซู หรืออนุจาง ที่ต่างขันอาสาว่าจะช่วยรับน้องเล็กไปดูแลต้องเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายใจ แล้วหลังจากนั้นทั้งพี่จิ้งอี้และน้องจิ้งเสียน ของนางก็คร่ำเคร่งอยู่กับการศึกษาเล่าเรียน

พี่ชายใหญ่ของนางอายุไม่เท่าไหร่ก็สามารถสอบเป็นซิ่วไฉ่ได้สำเร็จสมความตั้งใจ ดังนั้นแม้พี่ชายใหญ่มีใจคิดอยากอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาให้นางทุกวัน ก็ต้องไปศึกษาเล่าเรียนยังสำนักศึกษา ทั้งยังต้องเตรียมตัวสอบเคอจวี่[1]ลำดับต่อๆ ไป โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งจ้วงเหยวียน[2] น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพี่ชายใหญ่ของนางก็พลาดหวัง แต่ก็ยังได้เป็นถึงทั่นฮวา...บัณฑิตที่สอบจิ้นซื่อได้เป็นลำดับที่สามในแผ่นดินเทียนจิน นับว่ามีหน้ามีตาไม่น้อย น้องเล็กจิ้งเสียนของนางเองก็เดินตามรอยพี่ชายใหญ่ สอบได้เป็นซิ่วไฉ่ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของจวนเฉินกั๋วกงเราโดยแท้

น่าเสียดายที่นางซึ่งเป็นสตรีไม่อาจสอบเข้ารับราชการเช่นพวกเขาเหล่าบุรุษ หนำซ้ำ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในงานเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ท่านพ่อก็สั่งห้ามนางก้าวขาออกจากจวนแม้เพียงครึ่งก้าว นางจึงได้แต่เฝ้ามองพี่หญิงน้องหญิงออกไปเที่ยวเล่น ออกไปร่วมงานพบปะพูดคุยต่างๆ ร่วมกับอนุหาน อนุซู และอนุจาง ทั้งยังได้ออกไปศึกษาเล่าเรียนในสำนักศึกษากลาง ซึ่งสำนักราชบัณฑิตเทียนจินก่อตั้งขึ้นโดยได้รับความอุปถัมภ์จากราชวงศ์สกุลหลี่ เพื่อให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศได้เข้ารับการศึกษาโดยไม่แบ่งแยกหญิงชายและชาติกำเนิด

พี่หญิงน้องหญิงได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาอันยิ่งใหญ่ ทว่านางที่มีความผิดติดตัว กลับได้แต่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเรือน ผู้ที่มาสอนสั่งก็ล้วนเป็นท่านอาจารย์ชายและอาจารย์หญิงสูงวัยซึ่งท่านป้าสะใภ้ของนางจัดหามาให้ทั้งสิ้น

ถูกแล้ว...ท่านพ่อของนางทั้งไม่เคยมาพบหน้าและไม่เคยเรียกนางไปพบ อีกทั้งยังปล่อยให้ท่านป้าสะใภ้ซึ่งนับว่าเป็นคนนอกจัดการเรื่องของนางเอาตามใจ ราวกับว่าท่านพ่อในยามนี้จะลืมเลือนบุตรสาวที่ไม่อาจพาไปออกหน้าออกตาอย่างนางไปแล้ว...

ก็น่าอยู่หรอก...

ที่จริงแล้ว เรื่องในงานเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น สร้างความวุ่นวายให้จวนเฉินกั๋วกงของพวกเราไม่น้อย ทั้งยังก่อให้เกิดข่าวเล่าลือว่าคุณหนูสามของจวนเฉินกั๋วกงถูกบุรุษลักพาตัวไปกระทำย่ำยี พรากชิงความบริสุทธิ์ทั้งที่ยังเยาว์

นางไม่รู้ว่าเกิดข่าวเล่าลือไร้เหตุผลเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร เดาว่าอาจเป็นเพราะคืนนั้น หลังจากที่รู้ว่านางหายตัวไป บิดาก็เกณฑ์คนทั้งจวนออกตามหาตัวนางในงานเทศกาลกันให้วุ่น ทว่าหลังตามหาตัวนางอยู่นานกลับมีบ่าวไปแจ้งข่าวกลางงานเทศกาลด้วยเสียงอันดังว่า

“คุณหนูสาม เฉินเซียงหรง กลับมาถึงเรือนแล้ว มีบุรุษผู้หนึ่งอุ้มร่างที่ไร้สติของนางกลับมาส่ง ก่อนจะหลบหนีไป!”

[1] คือการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ การสอบทั้งหมดแบ่งเป็นสามรอบ ขั้นแรกคือการสอบคัดเลือกซิ่วไฉ่ ขั้นที่สองคือการสอบคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติให้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นจวี่เหริน และรอบสุดท้ายคือการสอบเพื่อเป็นจิ้นซื่อ ซึ่งจะเป็นผู้ที่จะได้รับคัดเลือกเข้ารับราชการ

[2] ผู้สอบได้อันดับหนึ่งของแผ่นดิน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 64

    เสียงฮือฮายังคงอื้ออึงในลานประลอง ทว่าในใจของเซียงหรงกลับเหมือนคลื่นน้ำที่ถาโถมเข้าหาฝั่งไม่หยุดนางรู้สึกหน้ามืดวูบ ตั้งแต่หลี่จือหลินก้าวออกมาประกาศอย่างเต็มเสียง ว่านางเป็นคู่หมั้นของเขาเซียงหรงพลันหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นรัวอย่างตื่นตระหนก ภาพตรงหน้าของนางเหลือเพียงม่านหมอกสีดำร่างอ้อนแอ้นบอบบางทรุดฮวบไปในทันทีซู่ซินรีบเข้าไปประคองพลางร้องลั่น"คุณหนู! คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!"หลี่จือหลินที่ยืนอยู่ไม่ไกลใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาก้าวพรวดพราดเข้าไปหา ‘หญิงคู่หมั้น’ ย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองร่างน้อยด้วยความรวดเร็ว กวาดมือออกเป็นเชิงบอกให้ซู่ซินหลบไป"หรงเอ๋อร์!" เสียงทุ้มต่ำเรียกนางอย่างอ่อนโยน กดจุดบนฝ่ามือนางด้วยแรงที่พอเหมาะเซียงหรงค่อยๆ ได้สติคืนมา เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวใจก็พลันเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว แต่เพราะความตื่นตระหนกที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งถังหูลู่ห้าอีแปะ! สัญญาน่าหัวร่อในวัยเด็กนั่น... เซียงหรงคิดอย่างสิ้นหวัง ต

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 63

    เวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากตรวจดูจนแน่ใจ หมอหญิงที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุดก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าจริงจัง“ทูลหวงโฮ่ว เรียนราชบัณฑิตและสักขีพยานทุกท่าน ข้าในนามหมอหลวงหญิงผู้ตรวจสอบ ขอประกาศว่าผลการตรวจสอบพรหมจรรย์ คุณหนูสามแห่งจวนเฉินกั๋วกงยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง หาได้แปดเปื้อนราคีคาวดังที่ถูกกล่าวหาไม่!”ทันทีที่คำกล่าวนั้นถูกประกาศ เสียงซุบซิบในลานพลันเงียบสงบลง เหล่าผู้คนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนเริ่มกล่าวขอโทษอย่างกระอักกระอ่วนไท่โฮ่วตรัสด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย ทว่าทรงอำนาจ “เรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนแก่ทุกคน อย่าให้ข่าวลือที่ไร้หลักฐานกลายเป็นอาวุธทำลายเกียรติของสตรีอีกต่อไป”สวีหวงโฮ่วค้อมศีรษะคารวะแม่สามีอย่างนบนอบ “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ” พระนางผินหน้ากลับมาถอดปิ่นหงส์ทองคำอันหนึ่งออกส่งให้นางกำนัลคนสนิท ประกาศด้วยเสียงอันดัง “คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงเปรียบดังทองแท้ไม่กลัวไฟ งดงามกล้าหาญ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรีเยาว์วัย มอบปิ่นหงส์ทองคำประดับมุกหยกเป็นรา

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 62

    บรรยากาศในลานประชันฝีมือยังคงคึกคักหลังจากการแสดงของยอดหญิงงามทั้งห้าสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ป้ายไม้กลับถูกมอบให้แก่สตรีที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้ใดมาก่อนอย่างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง กองป้ายสูงเกือบสามเท่าตัวคนทำให้นางกลายเป็นผู้ชนะไปอย่างขาดลอย ได้ครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้เซียงหรงยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมเช่นเดิม นางเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ไม่ได้เสียกิริยาเพียงเพราะเสียงปรบมือกึกก้องแต่อย่างใดทว่าเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนในกลุ่มฝูงชนที่มาชมการแข่งขัน“โฉมงามยอดเมธีในปีนี้ เป็นเพียงสตรีที่แปดเปื้อนราคีคาว! น่าอับอายยิ่งนัก!”เสียงคำกล่าวหยามเหยียดนั้นไม่ดังมาก แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งลานแข่งขันเงียบลงสีหน้าของเฉินกั๋วกงทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกสลด เช่นเดียวกับอนุหาน หานชิงเยว่ ที่ลุกขึ้นมาในทันใด“ผู้ใดกล่าวหาบุตรีข้า! คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง!” นางตะเบงเสียง ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งดัง “องครักษ์จวนสกุลเฉินอยู่ที่ใด รีบตามหาตัวคนพูดเดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 61

    เฉินเซียงหรงยืนอยู่กลางลานแข่งขันด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกเหมยละเอียดอ่อน ดวงหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่งามเปล่งประกายแห่งสมาธิและความมั่นใจเบื้องหน้านางยามนี้มีม้วนกระดาษเซวียนจื่อที่ถูกจับขึงตั้งฉากกับพื้น แขวนไว้ด้วยเส้นเชือกเกลียวทองอันบางเบา ซ้ายมือมีโต๊ะที่ตั้งฉินเอาไว้สายลมพัดดอกเหมยพร่างพรู เซียงหรงยกพู่กันขึ้นด้วยมือขวา พลันปลายนิ้วของมือซ้ายก็เริ่มดีดสายพิณ เพลงที่บรรเลงเป็นทำนองที่รื่นหู ทว่ามีความลึกล้ำคล้ายสะท้อนธรรมชาติ ดั่งสายลมที่พัดผ่านเหล่าดอกเหมยบนภูเขาหิมะปลายพู่กันตวัดไปตามเสียงพิณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนอง นางก้าวขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ปลิวตามลมเบา ๆ มือหนึ่งดีดฉินคลอคล้ายบอกเล่าเรื่องราวของสายลมและสายฝน อีกมือลากปลายพู่กันสร้างเส้นสายของภาพบนกระดาษ ขณะดีดพิณ นางหมุนตัว ตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งที่งดงามราวกวางน้อยกำลังโลดแล่นในหุบเขาภาพบนกระดาษเซวียนจื่อเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพของดอกเหมยยืนต้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนบอกเล่าถึงจิตใจของ

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 60

    เสียงกระซิบเหล่านั้นลอยไปถึงหูนางกำนัลของหวงโฮ่วที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนนางกำนัลเห็นสายตาที่หวงโฮ่วมองไปยังคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ซึ่งยามนี้ยืนรับคำชื่นชมจากทุกทิศทาง ก็รีบปราดเข้าไปกระซิบกระซาบรายงานทันทีฉับพลัน ตาหงส์ที่สงบไว้สง่าของสวีหวงโฮ่วฉายแววชื่นชมประสมยินดีสตรีเก่งกาจและมีนิสัยสงบเสงี่ยม จิตใจมั่นคง ไม่อวดอ้างตน ไม่หวั่นไหวต่อลมปากผู้คน และที่สำคัญ...แม้จะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ บิดาไม่ได้ทะนุถนอมปกป้อง แต่ยังคงมีความอดทน สามารถเติบโตขึ้นมาได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในจวนเฉินกั๋วกง ซ้ำยังมีความสามารถเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมเป็นยอดหญิงที่หาได้ยาก โบราณว่า ‘ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปื้อนดำ’ หากองค์ชายได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ นอกจากจะทำให้มีเรือนหลังที่มั่นคงแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมจิตใจให้มีความมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น ช่วยให้องค์ชายสามารถรับภาระในอนาคตและความท้าทายในราชวงศ์ได้อย่างมั่นใจความคิดเหล่านี้เริ่มซึมซาบเข้าสู่จิตใจของพระนางถูกแล้ว...บุตรสาวของเฉินกั๋วกงที่เกิด

  • ภรรยาห้าอีแปะ   บทที่ 59

    ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status