เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน
"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"
กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม
"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คน
เฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยล
หยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"
เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมอง
มีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ
“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”
“น่าเสียดายที่นาง...”
เซียงหรงฟังเสียงเหล่านั้น แต่คราวนี้มิได้ใส่ใจมากนัก นางจรดพู่กันต่อด้วยใจที่ปลอดโปร่ง
คนคงเริ่มพูดเรื่องข่าวลือเสียหายพวกนั้นแล้วกระมัง... เช่นนี้ก็ดี! ข้ามิได้ปรารถนาสายตาชื่นชมจากผู้ใด เพียงแต่ไม่อาจทำให้ผู้ที่ข้าไม่อาจปล่อยวางพลอยถูกดูหมิ่นไปด้วยเท่านั้น ต่อให้บทกวีของข้าต้องกลายเป็นดั่งกระแสลมที่พัดผ่าน ไม่ว่าผู้ใดจะเห็นคุณค่าหรือไม่ มันก็ยังเป็นตัวของมันเองเช่นนั้น
เมื่อจรดพู่กันวางลงในที่สุด นางทอดสายตามองต้นเหมยที่ผลิดอกอยู่ไม่ไกล กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ผสานกับกลิ่นหมึกในอากาศช่างให้ความรู้สึกที่ดียิ่ง
เซียงหรงยิ้มจางๆ
สำหรับข้า ความงามเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้ว…
หลังจากเขียนกลอนเสร็จไม่นาน ม้วนกระดาษถูกเก็บไปให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เซียงหรงยิ้มเยื้อนเมื่อคิดถึงการแข่งขันคัดอักษรที่กำลังจะเริ่มขึ้น
ก็ไม่รู้ผู้อื่นจะคิดอย่างไร แต่สำหรับข้า...
เฉินเซียงหรงหลุบตาลงซ่อนรอยยิ้มซุกซนสดใส
ท่านอาจารย์เจ้าขา หรงเอ๋อร์ขอเล่นสนุกสักครั้งเถิด!
ที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เข้ารับการศึกษาในสำนักศึกษาเหมือนผู้อื่น แต่ท่านอาจารย์ทั้งสองของนางก็เป็นอาจารย์ที่ทุ่มเทและเอาใจใส่ นางจึงมุมานะฝึกฝนด้วยตนเองไม่ขาด แม้ว่าจะไม่ได้เก่งถึงขั้นคัดอักษรได้สองมือพร้อมกัน แต่ก็นั่นล่ะ...นางไม่ได้เป็นอัจฉริยะเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเร่งรีบจนต้องเขียนตัวหนังสือพร้อมกันเช่นนั้นด้วยนี่
ไม่นานเกินรอ นางกำนัลด้านข้างก็มอบกระดาษที่เขียนสิ่งที่นางต้องคัด เซียงหรงอ่านสิ่งที่เขียนในกระดาษแล้วก็ถึงกับแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหว คาดไม่ถึงว่าการละเล่นระหว่างนางกับท่านอาจารย์ผู้ชรา จะมาปรากฏในการประชันขันแข่งเช่นนี้
การแข่งขันแต่งบทกวีคัดอักษรในครั้งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากปีก่อนๆ มากจริงๆ กรรมการไม่ใช่เพียงกำหนดให้เขียนตัวอักษรอย่างงดงามเท่านั้น แต่ยังเพิ่มเงื่อนไขที่ท้าทายยิ่งขึ้น ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนบทกลอนสั้น ๆ ที่แต่งขึ้นเอง โดยใช้ตัวอักษรสามแบบในแผ่นเดียวกัน ได้แก่ อักษรแบบข่ายซู[1] อักษรเฉ่าซู[2] และอักษรสิงซู[3]
ในระหว่างเขียน ผู้แข่งขันต้องจัดองค์ประกอบให้ตัวอักษรแต่ละแบบสมดุลในพื้นที่เดียวกัน และต้องส่งมอบความหมายที่เชื่อมโยงกับหัวข้อ ‘ความอิสระในจิตวิญญาณ’
เมื่อการคัดอักษรเริ่มต้น บรรดาผู้แข่งขันต่างตั้งสมาธิ จรดพู่กันลงบนกระดาษอย่างเคร่งเครียด แม้จะมีผู้ที่ยังสามารถรักษาสีหน้าท่าทีเอาไว้ได้ แต่ก็มีสตรีอีกหลายคนเผยแววร้อนรนออกมาแล้ว
เฉินชิวเยว่ก็เป็นผู้หนึ่งที่แทบจะรักษารอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าเอาไว้ไม่ไหว น่าตายนัก การแข่งคัดอักษรเช่นใดจึงมีกติกาโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!
เซียงหรงเหลือบมองผู้คนรอบตัวที่ต่างดูจริงจังจนเกินเหตุ ดวงตาคู่งามของนางพราวระยับ
เหตุใดพวกเขาถึงจริงจังกันปานนั้น? เพียงแค่สนุกกับพู่กันในมือไม่ได้หรือ?
เซียงหรงหยิบพู่กันขึ้นมา พลิกข้อมือเบาๆ เพื่อไล่ความเมื่อยล้าจากการเขียนบทกวีเมื่อครู่ นางมิได้รีบร้อน มืออันบอบบางขาวผ่องจรดพู่กันลงบนกระดาษเขียนอักษรอย่างละเมียดละไม เริ่มต้นด้วยตัวอักษรข่ายซู
"เมฆขาวลอยเลื่อนในฟ้า หมู่แมกไหวเอนตามสายลม"
ลายเส้นตัวอักษรขนาดเล็กบนกระดาษนั้นเต็มไปด้วยสมดุลและความงาม ตัวอักษรทุกตัวล้วนกลมและหนักแน่น ทุกจังหวะการลากพู่กันของนางมั่นคงราวกับกำลังสลักอักษรไว้บนหินผาหาใช่กระดาษเพียงแผ่นเดียว
เมื่อเขียนอักษรข่ายซูเสร็จ นางสะบัดข้อมือเปลี่ยนการเขียนเป็นอักษรเฉ่าซู ลากปราดๆ ราวกับกำลังใช้พู่กันร่ายระบำบนแผ่นกระดาษเซวียนจื่อขาวสะอาดแผ่นนั้น
"แม้ฟ้ากว้างใหญ่ดั่งทะเล ปีกนกยังโผบินสู่เสรี"
สุดท้าย เซียงหรงประดับบทกวีของตนด้วยอักษรสิงเฉ่าที่เป็นรูปแบบหนึ่งของตัวอักษรสิงซู ซึ่งมีลักษณะเอนเอียงไปในแนวหวัดมากกว่าบรรจงอีกรูปแบบหนึ่งคือสิงข่ายที่มีความบรรจงมากกว่า แต่งแต้มจังหวะการเคลื่อนไหวให้พลิ้วไหวเหมือนปลาที่แหวกว่ายในลำน้ำ แต่ก็มีจังหวะหยุดยั้งหนักแน่นอยู่ในที บรรจงเขียนประโยค
"อิสระในใจ มิอาจพันธนา"
ตลอดเวลาที่เขียน ใบหน้าของเซียงหรงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ผ่อนคลายของนางดูผิดแผกจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด นางไม่ได้เขียนด้วยความพยายามพิสูจน์ตนเอง ทว่าทุกเส้นสายที่บรรจงสรรสร้างลงไป เป็นเพราะความรักและสนุกสนานกับการเขียนเท่านั้น
อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการฝึกซ้ำๆ ไม่ได้เสียหายอะไร อีกทั้งหากโชคดีชนะการแข่งขันย่อมได้รางวัล...ไม่ใช่ว่าเรือนอี้หรงยังรอการซ่อมแซมอยู่หรือ? อื้ม! ดียิ่ง! เซียงหรงพลันเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา จากที่ไม่เคยมุ่งหมายชัยชนะ ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากสามารถคว้าเอาเงินรางวัลมาซ่อมแซมเรือนอี้หรงที่ท่านย่ารักหวงแหน และสามารถตัดชุดที่งดงามอุ่นสบายให้คนในจวนทุกคนแล้วเสร็จก่อนที่ฤดูหนาวจะวนมาถึง การออกนอกจวนครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว
[1] ตัวบรรจง
[2] ตัวหวัด
[3] ตัวอักษรบรรจงกึ่งหวัด
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู