เข้าสู่ระบบหลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”
“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย “เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก” “กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ “ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า เพราะคนของหม่อมฉันส่วนมากจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า เป็นคาราวานที่ไปตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่าส่งคนของทางการออกไปทำงานนะเพคะ” ตันหยางแนะ “จริงด้วย หากเราใช้ชาวบ้านทั่วไปหาข่าวย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เพราะคนส่วนมากต่างก็กลัวไม่กล้าพูดกับคนของทางการ แต่ถ้าชาวบ้านกันเองหรือเหล่าพ่อค้าแม่ค้า เรื่องซุบซิบนินทาน่าจะเป็นเรื่องที่พูดกันสนุกปาก ย่อมไม่มีใครระวังตัว” ซ่งเทียนรีบสำทับคำของพระชายา เพราะเขาเคยอาศัยการหาข่าวเช่นนี้เหมือนกัน นับจากนั้นก็เลี้ยงเหล่าขอทานไว้ใช้งานเรื่อยมา “เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ทว่าเรื่องข่าวลือให้คนของทางการจัดการดีกว่า มิเช่นนั้นชาวบ้านที่พูดไปเรื่อยคงไม่กลัว” “กระหม่อมจะรีบไปจัดการพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ ตันหยางจึงหันมาสั่งคนของตน “พี่หานฟู่ จัดการเรื่องนี้ให้ข้าด้วยนะ ตามหาแหล่งกบดานของซูเหวินอี้ และครอบครัวของพ่อค้าโคม หากพอช่วยออกมาได้ ก็ทำอย่าได้รีรอ” “กระหม่อมจะไปจัดการตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” “ช้าก่อน เจ้าควรออกไปพร้อมกับเรา ทำตัวให้เป็นปกติ กลับวังแล้วค่อยออกมาอีกที หากพวกมันพบการเคลื่อนไหวที่ต่างออกไปของเรา มันอาจไหวตัวทันไม่ยอมทำตามแผนการเดิมที่พวกมันวางไว้ก็ได้” จิ่นหรงกำชับคนของชายา ตันหยางนั่งมองพระสวามีสั่งงานด้วยท่าทางสุขุมก็ยิ้มอ่อนด้วยความเอ็นดู ยามเขาจริงจังเช่นนี้ช่างเหมาะกับการฝากชีวิตเอาไว้จริง ๆ เห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้เลย “มีอะไรหรือ ทำไมจ้องหน้าข้าเช่นนี้” “หา! หม่อมฉันจ้องพระองค์หรือเพคะ” พอรู้ตัวใบหน้างามก็รีบเสหลบทันที จิ่นหรงจึงยื่นมือออกมารั้งให้นางลุกขึ้น “กลับกันเถิด หิวมิใช่หรือ” “เพคะ” ตันหยางรับคำอย่างมึนงง เมื่อเดินออกมานางก็นึกอะไรได้ “รัชทายาท หม่อมฉันขอไปเยี่ยมพี่หญิงได้หรือไม่” “อยากไปหรือ” “เพคะ” ยิ้มแฉ่งให้เขา “ก็ได้” จิ่นหรงตอบรับแล้วก็จูงมือนางเดินต่อ ขึ้นรถม้าแล้วเขาก็สั่งให้ตรงไปยังเรือนฟู่อินโหว ซึ่งยามนี้เจ้าของเรือนก็กำลังบังคับม้าตามหลังมา พวกเขาจึงได้เข้าจวนไปพร้อมกัน ในบ่ายนี้ จวนโหวจึงครึกครื้นเป็นอย่างมาก กระทั่งบ่ายคล้อย จิ่นหรงก็กล่าวลาไท่ฮูหยิน ส่วนชายาเขายังคงพูดคุยอยู่กับพี่สาวนางในสวน “รัชทายาทมานั่นแล้ว เจ้ารีบไปเถิด อย่าดื้อกับเขาให้มากนักนะ” ตันหยงเอ่ยเตือนน้องสาวเหมือนเคย “เขาต่างหากที่ดื้อ ต้องคอยให้สอนตลอด” “เจ้านี่นะ” ตันหยงยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวอย่างหยอกเย้า ก่อนจะย่อตัวให้ผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาหา หนึ่งในนั้นมีท่านโหวด้วย “ตามสบายเถิด อาหญิงกำลังตั้งครรภ์อยู่อย่าได้มากพิธี” จิ่นหรงยิ้มอ่อนให้พี่ภรรยา ก่อนจะหันมาหาชายาตน “กลับกันเถิด จะค่ำแล้ว” ว่าพร้อมกับโอบเอวไว้หลวม ๆ “ข้าไปนะพี่หญิง” “น้อมส่งรัชทายาทและพระชายาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” สองสามีภรรยาคำนับแล้วก็มองตามผู้มาเยือนจนลับตา “น้องหญิง พี่มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” “เกี่ยวกับพระชายาหรือเจ้าคะ” “ใช่” อินหลางยิ้มเอ็นดูความตาโตของภรรยารักที่เหมือนเด็กกำลังจะได้ฟังนิทาน จากนั้นเขาก็ประคองภรรยารักกลับเข้าเรือน พร้อมกับเอ่ยเรื่องราวที่ตนพบเห็นในวันนี้ให้นางฟังอย่างออกรส ตันหยงก็ฟังไปยิ้มไปอย่างมีความสุข ส่วนผู้ที่ถูกเอ่ยถึงกลับมาถึงตำหนักกันแล้ว ทว่าจิ่นหรงไม่ได้กลับมาด้วย เขาแยกตัวไปสั่งงานหน่วยองครักษ์จินอู และอยู่หารือที่นั่นจนกระทั่งดึกดื่น ถึงได้กลับเข้ามา “ไฟดับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงรายงานตามปกติ “คิดว่าข้าตาบอดหรือ” เสียงห้วนตอบกลับก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่เรือนพักของตนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เป็นชายาประสาอะไร ไม่รู้จักรอรับพระสวามีกลับเรือน” จิ่นหรงบ่นพึมพำ คนสนิทก็ได้แต่ยิ้มแหย ไม่กล้าเอ่ยอันใด เพราะเกรงจะทำให้ขัดพระทัยอีก ทว่าในใจจินเฉิงกลับคิด ‘แต่ก่อนก็ทรงตรัสเองว่าไม่ชอบพระชายา นางน่ารังเกียจ นิสัยแข็งกระด้าง เป็นคนหยาบกร้านหาดีมิได้ แล้วเหตุไฉนวันนี้มาบ่นพึมพำหาว่านางไม่อยู่รอรับ รัชทายาทกลายเป็นคนกลับกลอกเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไรนะ’ องครักษ์หนุ่มคิดอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่ผู้เป็นนายอภิเษก เขายังไม่เห็นรัชทายาทจะพูดถึงชายาในทางที่ดีเลย หากจะว่าไปก็เพิ่งจะมีวันนี้กระมังที่ดูสามัคคีกันดี ทว่ายามนี้เขาก็ชักจะไม่แน่ใจแล้ว คงต้องรอดูวันพรุ่งอีกทีกระมังว่าจะเกิดอันใดขึ้นหรือไม่ เพราะแต่ละวันเหตุการณ์ไม่ซ้ำกันเลย เขาที่เป็นองครักษ์ข้างกายเลยต้องพลอยใจหายใจคว่ำไปด้วย เพราะเกรงว่าตนอาจจะถูกลูกหลงเข้าสักวัน วันต่อมา… ตันหยางยังคงตื่นเช้าตามปกติ และออกมานั่งรับลมที่หน้าระเบียงเหมือนทุกวัน แต่วันนี้กลับมีแขกมาหาแต่เช้า “ถวายพระพรพระชายาเพคะ” สนมชิงย่อตัวให้ “ตามสบายเถิด” ตันหยางเอ่ยกับหญิงสาววัยเดียวกัน “มีอันใดหรือ เจ้าถึงได้มาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” “หม่อมฉันอยากโดนปลดเพคะ” “หา!... อยู่ดีดีเหตุใดเจ้าถึงอยากโดนปลดเล่า” “ก็หม่อมฉันไม่อยากอยู่ในวังนี่เพคะ” ชิงอวี้หรูบอกสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งมันเป็นหนึ่งความปรารถนาของตันหยางเช่นกัน ทว่านางไม่อาจทำมันได้เฉกเช่นคนตรงหน้า “เจ้าไม่ยินดีหรือ ภายหน้าหากรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็จะกลายเป็นสนมข้างพระวรกายเขานะ” “หม่อมฉันอยากมีสามีที่รักหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเพคะ ไม่อยากแย่งชิงความโปรดปรานกับผู้ใด มันเหนื่อย” อวี้หรูบอกตามตรง นางไม่เคยอยากเข้าวังจริง ๆ ทว่าการแต่งงานเพื่อสร้างฐานอำนาจให้ราชวงศ์ มันค้ำคอให้นางต้องยอมรับ ทว่าเมื่อนางเห็นรัชทายาททรงปลดสนมเกา นางจึงอยากโดนปลดบ้าง แม้ไม่ได้สิ่งตอบแทนอันใดนางก็ยอม ‘นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่คิดเหมือนเรา แย่ก็ตรงเราถอยไม่ได้นี่แหละ’ ตันหยางยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายที่ส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ตน “ข้าไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่ เอาเป็นว่าหากเจ้าต้องการจริง ๆ ก็มาพูดคุยยามที่รัชทายาทอยู่แล้วกัน ข้าจะช่วยพูดให้อีกแรง เผื่อพระองค์จะยอม” แม้ตันหยางจะรับปาก ถึงกระนั้นนางก็ยังรอบคอบคิดเผื่อไว้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีแผน เพราะเกรงพระสวามีจะเกิดความคิดหาว่านางอิจฉาหมายกลั่นแกล้งสนมชิง ตนคงกลายเป็นนางมารร้ายจอมวางแผนไปเสียเปล่า รัชทายาทผู้นี้ยิ่งฉลาดน้อยเกี่ยวกับเรื่องสตรีเสียด้วย “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” อวี้หรูยิ้มกว้าง จากนั้นนางก็นั่งเล่นพูดคุยกับเจ้าของเรือนต่อ เพราะหวังว่ารัชทายาทจะแวะมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้แต่เงา นางจึงขอตัวกลับ ตันหยางเองก็สงสัย เหตุใดวันนี้นางจึงไม่เห็นสามีออกไปทำงาน ปกติยามเช้านางจะมองเห็นเขาที่หน้าเรือน ต่อให้ไม่เดินมาหา ก็ต้องเดินผ่านตาให้เห็นบ้าง “อี้ฟาน รัชทายาทยังไม่ตื่นจากบรรทมหรือ” “ทรงเสด็จออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ‘เร่งรีบขนาดนั้นเชียว’ ตันหยางได้แต่นึกในใจสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







