แชร์

18. สืบเองง่ายกว่า

ผู้เขียน: ซูมู่หราน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-04 14:11:06

นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น  จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ  วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน  นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้าง

อย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน  มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน  นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้  แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม

“หยางเอ๋อร์  ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ  เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ”  คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงัก

ตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก  หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”

คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน  ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ  สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา  รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”

“เพคะ  เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ  รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่

“ดี!  ต้องอย่างนี้สิ”  ไทเฮายิ้มชอบใจ  ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ  ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวาทีตามคำชี้นำของคนรอบตัว  เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่ไทเฮาแล้ว  ยังมีเหล่าสนมของฮ่องเต้อีกสามนางเดินมาสบทบด้วย  แต่ละคนล้วนแต่พูดจาเอาใจไทเฮารวมถึงนาง  ผู้มีความดีความชอบที่สุด ณ ยามนี้

เพราะตันหยางไม่ได้ช่วยราชวงศ์ไว้หนึ่งหรือสองคน  แต่เป็นห้าพระองค์เลยต่างหาก  และแน่นอนว่ายามนี้คำพูดจากปากตันหยางนั้น  ประกาศิตพอ ๆ กับพระสุรเสียงของฮ่องเต้ก็ว่าได้

ทว่าการที่มีคนมารวมตัวอยู่ที่นี่มาก ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี  เพราะนางจะได้สังเกตดูท่าทางของแต่ละคนไปด้วย

ตันหยางก็เพิ่งรู้ว่าการสืบหาตัวคนร้ายของหน่วยองครักษ์จินอูยังมีข้อจำกัด  พวกเขาไม่อาจค้นสตรีที่อยู่ในตำหนักในได้ และไม่อาจกระทำการกระโตกกระตากให้คนร้ายได้รู้ตัว ยามตรวจค้นจึงจำต้องคิดหาวิธีใหม่ ๆ แทบทุกวัน

เป็นเหตุให้การหาตัวหนอนบ่อนไส้นั้นล่าช้า  เพราะเหตุนี้ตันหยางจึงคิดว่าตนน่าจะมาช่วยอีกแรง  เพราะนางสามารถเข้านอกออกในได้สะดวกกว่าเหล่าองครักษ์มากนัก

หลังจากเดินเล่นกันพักใหญ่  เหล่าสนมก็ขอตัวกลับ  แต่ยังเหลือคนที่ตันหยางคอยลอบสังเกตอยู่ตลอดเวลา  

“แล้วเจ้าไม่ไปหรือสนมผิง”

“กลับตำหนักก็ไม่มีสิ่งใดทำเพคะ  สู้อยู่ดูแลไทเฮามิได้”

“เจ้านี่ช่างปากหวานนัก  หยางเอ๋อร์เจ้าต้องหัดเอาอย่างสนมผิงนะ  จิ่นเอ๋อร์จะได้รีบทำเหลนให้ย่า”  ไทเฮาหันมาเอ่ยกับคนที่จูงแขนตน  ตันหยางก็ได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะเอ่ยว่า

“เสด็จย่าวันนี้หม่อมฉันขอนอนที่นี่นะเพคะ”  

“ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ  นอนที่นี่จะทำเหลนให้ย่าได้เยี่ยงไร ไม่ได้!  เจ้าต้องกลับตำหนักตน” คนแก่ทำหน้าบึ้งใส่

“โถ่  เสด็จย่า  รัชทายาททรงไม่ว่างยามนี้นี่เพคะ  หลานสะใภ้กลับไปก็นอนเหงาอยู่คนเดียว สู้อยู่ดูแลเสด็จย่าที่นี่ดีกว่า  ไม่แน่พอเสด็จพี่ไม่เห็นหม่อมฉัน  อาจจะคิดถึงแล้วรีบมาหาก็ได้นะเพคะ  ถึงตอนนั้นก็”  ตันหยางเอ่ยพร้อมกับขยิบตาให้

“เจ้าเด็กสัปดนนี่” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตีลงที่แขนหลานสะใภ้

“อ๊ะ!... โอ๊ย!”  ตันหยางแสร้งร้องเสียงดัง

“อย่ามาทำสำออย  ย่ารู้หรอกว่ามันไม่ได้เจ็บ” คนแก่เอ่ยอย่างรู้ทัน  ตันหยางก็ได้แต่ยิ้มร่าใส่อย่างน่าตี

“ทะเล้นจริง ๆ” ไทเฮายังมิวายตำหนิ แต่ก็เอ่ยเพราะเอ็นดู

จากนั้นทั้งสามก็พูดคุยกันไปเรื่อย  กระทั่งบ่ายคล้อยสนมผิงก็ขอตัวกลับ  ตันหยางจึงอาสามาส่งเพราะได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าที่ตำหนักปลูกสมุนไพรเอาไว้มากมาย  

“นึกไม่ถึงว่าพระชายาจะเป็นหมอด้วย นึกว่าดูแลแค่สำนักคุ้มภัยเพียงอย่างเดียวเสียอีก” สนมผิงเอ่ยถามเสียงอ่อน  สมกับที่ไทเฮาทรงรับสั่งว่านางปากหวานจริง ๆ

“เราเดินทางเป็นขบวนใหญ่  อย่างน้อยต้องมีห้าสิบคนขึ้นไป และบางคราเจอพายุฝนทำให้มีคนเจ็บป่วย  บางคราก็ต้องต่อสู้กับโจร  หม่อมฉันเลยต้องเรียนรู้วิชาแพทย์เอาไว้รักษาคนงานในสำนัก  อันที่จริงก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกเพคะ แค่รักษาคนไปงู ๆ ปลา ๆ ก็เท่านั้น” ตันหยางยิ้มแหย

“คนเราล้วนแต่ต้องเริ่มจากศูนย์มิใช่หรือ” สนมผิงเอ่ย  ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตำหนักตน ซึ่งมันร่มรื่นมาก

“ว๊าว!  ดอกไม้หายากทั้งนั้นเลย  พระสนมปลูกเองหรือเพคะ นั่นใช่ดอกฉงจื่อหรือไม่  หม่อมฉันเคยได้ยินว่ามันชอบขึ้นตามแนวผามิใช่หรือ เหตุใดนำมาปลุกในสวนก็ได้ด้วย”

“เราก็แค่ใส่มันไว้ในดินตามบ้านเกิดของมัน  ดอกไม้ก็เติบโตได้แล้ว  ปลุกไม่ยากหรอก”  อีกฝ่ายยิ้มอ่อนอย่างเอ็นดู  ก่อนจะเดินนำไปยังเรือนสมุนไพรทางด้านหลัง

ซึ่งถัดไปอีกจนเกือบติดกำแพงนั้น จะเป็นเรือนไม้ที่ดูเก่าต่างจากเรือนอื่นอยู่พอสมควร และบนหลังคาเหมือนจะชำรุดด้วย

“ที่นี่แหละ” สนมผิงเอ่ยพร้อมกับหันมาหา

ตันหยางเผยยิ้มพร้อมกับทำตาโต  ทั้งที่เมื่อครู่สายตานางยังจับจ้องที่เรือนหลังนั้นอยู่เลย  ทว่าเมื่อเสียงฝีเท้าอีกฝ่ายหยุดลง  นางก็รีบหันกลับมาแสดงท่าทีเช่นเมื่อครู่

“มากมายเลยเพคะ  สมุนไพรตัวนี้หม่อมฉันรู้จัก  ตัวนี้ด้วย  แต่ตัวนี้ไม่รู้จักเพคะ  มันคือสิ่งใดหรือเพคะ” ตันหยางแสร้งถาม  แต่อันที่จริงนางรู้จักหมดนั่นแหละ  เพียงแต่การแสดงนี้จะต้องทำให้แนบเนียน  จึงจะตบตาผู้อื่นได้

สนมผิงเผยยิ้มเอ็นดู  ก่อนจะแนะนำชื่อสมุนไพรที่อีกฝ่ายไม่รู้จักให้ทราบ พร้อมกับพาเดินจนทั่วโรงเพาะแห่งนี้

กระทั่งถึงเวลากลับ ตันหยางก็หอบเอากระถางกลับด้วยสองใบ  สนมผิงจึงให้คนสนิทตนมาส่งจนถึงตำหนักไทเฮา

“ไปได้อะไรมาอีกฮึ” ไทเฮาขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลานสะใภ้ตนยิ้มร่าเหมือนเด็กที่ได้ของถูกใจ  

“สมุนไพรเจ้าค่ะ สนมผิงบอกว่าเอาใบมันต้มใส่กับชา  จะทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง” ตันหยางตอบเสียงใส  ก่อนจะหันมาหาคนสนิทของสนมผิง “ขอบใจนะ เอานี่รางวัล” ยื่นถุงเงินให้

“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” นางกำนัลรับเงินแล้วก็ขอตัว

ตันหยางจึงยกกระถางขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อ  กระทั่งนางกำนัลสองคนนี้ออกไปพ้นบริเวณกระถางก็ถูกวางลง

“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”  ตันหยางสั่งนางกำนัลในที่นี้เสียงเรียบต่างจากเมื่อครู่นัก จากนั้นนางก็หันมาหาไทเฮา

“เสด็จย่า  หลานจะพักที่นี่คืนนี้เพคะ”

“ย่าก็บอกแล้วว่า…”

“หลานจะสืบหาตัวคนร้ายเพคะ”

“มะ…หมายความว่าอย่างไร”

“เรื่องต้องเก็บเป็นความลับเพคะ  อาจมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในวัง องครักษ์ลงมือกับคนในตำหนักในไม่ได้  เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง  และจะทำการกระโตกกระตากก็ไม่ได้ด้วย  ทว่าวันนี้หลานพบข้อสงสัยบางอย่าง  จึงอยากอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบดู”

“แต่เจ้าเป็นสตรีจะตรวจสอบเช่นไร”

“เสด็จย่าลืมหรือเพคะ  มู่ตันหยางคือประมุขสำนักคุ้มภัยมู่ตานนะเพคะ  เรื่องสืบข่าวหรือปีนป่ายกำแพงคืองานถนัดเจ้าค่ะ”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าทำได้”

“เพคะ  หม่อมฉันต้องการดูให้แน่ใจมากกว่านี้ก็เท่านั้น  ความจริงก็มั่นใจกว่าครึ่งแล้วเพคะว่าต้องเป็นคนผู้นี้”

“เจ้ารู้แล้วหรือว่าเป็นใคร”

“เพคะ  แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อน  จะได้ไม่ผิดพลาด”

“เช่นนั้นก็เอาตามเจ้าว่า  ดื้อรั้นจริงเชียว  ย่าให้เจ้าค้างแค่คืนเดียวนะ  วันพรุ่งจะต้องรีบกลับไปทำเหลนให้ย่า”  ไทเฮาแสร้งเอ่ยเสียงดัง “พวกเจ้ารีบไปจัดห้องบรรทมให้พระชายาทางปีกซ้าย  แล้วก็ตระเตรียมตั้งสำรับเสีย  ข้าหิวเต็มที”

ตันหยางมองไทเฮาทำการแสดงก็ยิ้มกริ่ม  เพราะนางบอกว่าในตำหนักอาจมีเส้นสายคนร้ายแฝงอยู่ด้วย  ไทเฮาจึงแสร้งเอ่ยตำหนินาง  แล้วค่อยยอมจำนนในเวลาต่อมา  

ตันหยางจึงให้นางกำนัลไปแจ้งที่ตำหนักบูรพา  พร้อมกับตามคนสนิทตนมาช่วยดูแล  แต่ความเป็นจริง  นางตั้งใจให้มู่หลิงมาช่วยอีกแรงต่างหาก  ไม่ว่าทำเรื่องใดนางก็ต้องรอบคอบไว้ก่อน  ฉะนั้นสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   19. ตามทุกที่

    สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   18. สืบเองง่ายกว่า

    นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   17. คนขี้งอน

    หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   16.ใครเป็นใหญ่

    หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   15. สะกดจิต

    ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   14. ภรรยาแสนดี

    จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status