เข้าสู่ระบบสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]
มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย “พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ “พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ” “ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง” “สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ” “เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน” “ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ” “แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง “มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม่” “อะไรหรือ” ตันหยางขมวดคิ้ว “เมื่อครู่เดินผ่านตำหนักฮองเฮา หม่อมฉันพบกู้อิงเถาด้วยเพคะ ได้ยินนางกำนัลคุยกันว่า นางเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮาเพราะทรงใกล้จะประสูติเต็มที” มู่หลิงลอบสังเกตสีหน้าผู้เป็นนายด้วยความกังวล ใจนางไม่อยากเอ่ยถึง ทว่าบอกไว้ก็น่าจะดีกว่า เพราะสตรีผู้นี้ไร้ยางอายจริง ๆ ไม่รู้วันหน้านางจะสร้างเรื่องใดอีก “รัชทายาทก็เหลือเกิน ไยถึงปล่อยให้คนเช่นนี้เข้ามาในวังได้ หรือยังเข้าใจว่านางคือคนที่คอยดูแลพระองค์จนหายดี ถึงไม่ยอมขับไล่นางไปไกล ๆ” มู่หลิงเอ่ยอย่างแค้นใจ “พอเถิด เจ้าก็เคยได้ยินมิใช่หรือว่ารัชทายาทตรัสกับข้าว่าเช่นไร พระองค์ทรงทำดีกับข้าก็เพราะหน้าที่พระสวามี ส่วนข้าทำดีกับเขาก็เพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้ก็เท่านั้น หากใจรัชทายาทมีกู้อิงเถาจริง เราจะไปทำอันใดได้เล่า” ตันหยางเอ่ยราวกับเข้าใจเรื่องราว ทว่าแววตาที่สื่อออกมาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ “พระชายา ไม่รู้สึกอันใดกับรัชทายาทจริง ๆ หรือเพคะ” ตันหยางยกยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย “พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ได้อยากอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทว่าข้าเกิดมาเป็นมู่ตันหยางแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนชะตาตรงนี้ได้ หากต่อต้าน ตระกูลมู่อาจหมดสิ้นซึ่งอำนาจ” แววตาคู่สวยช่างเลื่อนลอยนัก เมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องของใครบางคนที่ทำให้นางว้าวุ่นเสมอ เป็นจังหวะที่จิ่นหรงเปิดประตูเข้ามาพอดี ตันหยางหันขวับไปมองเขา ใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย ห้าวันแล้วสินะที่นางไม่ได้พบหน้าเขาแบบตรง ๆ เช่นนี้ “อี้ฟานบอกว่าเจ้าจะค้างคืนที่นี่กระนั้นหรือ” “เพคะ” ตอบรับสั้น ๆ “มู่หลิง กลับไปเอาอาภรณ์มาให้ข้า ข้าจะพำนักกับพระชายาที่นี่ ประเดี๋ยวเสด็จย่าจะตำหนิข้าอีก” “พะ… เพคะ” มู่หลิงก็ได้แต่ทำตาม เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็เดินมาหยุดที่หน้าชายาของตน เขาจ้องนางเพียงครู่ก็เสหลบ ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะแล้วรินชาดื่ม “กล้ามากนะที่หนีมานอนที่นี่ ฟ้องอะไรเสด็จย่าอีกล่ะ” “เปล่าเพคะ” ตันหยางบอกปัด พร้อมกับเหลือบมองเขาไปด้วย ‘เมื่อครู่เขาจะได้ยินที่เราพูดไหมนะ’ นึกในใจอย่างกังวล เพราะตอนที่นางเอ่ย ตันหยางไม่ทันระวังว่าใครจะแอบฟังหรือไม่ ยามคิดถึงเรื่องคนตรงหน้านางก็มักจะเหม่อตลอด และมันก็ชักจะหนักขึ้นทุกที แม้แต่เสียงฝีเท้าเขานางก็ยังไม่ได้ยิน “รัชทายาททรงเสวยอะไรมาหรือยังเพคะ” “ยัง” คนตัวโตตอบกลับห้วน ๆ “เช่นนั้นหม่อมฉันจะให้คนจัดสำรับมาให้นะเพคะ” สิ้นคำตันหยางก็ปลีกตัวออกมา โดยมีผู้เป็นสามีมองตามทุกฝีก้าว “กรงทองแห่งนี้คงทำให้เจ้าอึดอัดมากสินะ” จิ่นหรงพึมพำถึงสิ่งที่ตนได้ยิน และนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบสาวเท้าก้าวเข้ามา หมายจะออกปากไล่นางไปให้พ้นเสีย ทว่าเมื่อเขาพบหน้านาง คำพูดที่คิดไว้กลับจุกอยู่ที่คอไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ยามนี้จึงได้แต่นั่งทำหน้ามู่ทู่ไม่สบอารมณ์อยู่ลำพัง เมื่อชายาตัวน้อยเดินกลับมา เขาก็เบี่ยงหน้าหนีไม่ต่างจากเด็กที่ถูกขัดใจ แต่แววตาก็ยังคอยเหลือบมองร่างอรชรอยู่ตลอด และเขาก็นั่งอยู่เช่นนั้นจนอาหารมา เมื่อเสวยเสร็จก็ตรงเข้าห้องชำระร่างกาย ปล่อยให้ชายาตนอยู่กับสาวใช้ด้านนอก “รัชทายาทต้องทรงได้ยินแน่เพคะ ถึงได้มีท่าทีเช่นนี้” “ช่างเถิด ได้ยินเขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก พี่เตรียมตัวแล้วกัน เขาหลับเมื่อใดเราจะออกไปทันที” มู่หลิงพยักหน้า ก่อนจะรินชาให้ผู้เป็นนายดื่ม ซึ่งทั้งคู่ยังคงทำตัวปกติ กระทั่งถึงเวลาเข้านอน จิ่นหรงขึ้นเตียงก่อน พร้อมกับหันหลังให้ ตันหยางยกยิ้มก่อนจะเอนตัวลงตาม กระทั่งผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ คนที่เหน็ดเหนื่อยจากงานก็ผล็อยหลับ ร่างอรชรจึงขยับลุกออกมาเปลี่ยนอาภรณ์ใส่ชุดดำทั้งตัวไม่ต่างจากคนสนิท ซึ่งบัดนี้เตรียมพร้อมแล้ว ตันหยางพยักหน้าให้คนของตน ก่อนจะพากันดีดตัวขึ้นไปบนหลังคากำแพงท่ามกลางความมืด ไม่นานนักทั้งสองก็มาหยุดที่เรือนหลังของตำหนักสนมผิง จุดที่ตันหยางสงสัย “เสียงนกพิราบเพคะ” มู่หลิงเอ่ยอย่างมั่นใจ เพราะเสียงร้องของนกชนิดนี้มันเป็นเอกลักษณ์ต่างจากนกชนิดอื่น “อืม เป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องลงไปดู เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด” สิ้นคำ ทั้งคู่ก็ดีดตัวเหาะลงไปด้านล่าง เพราะเวรยามได้เดินพ้นไปแล้ว ตันหยางแง้มบานหน้าต่างออก เสียงที่ได้ยินจึงชัดเจนมากขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ แขนของนางกลับถูกรั้งไว้ด้วยมือใครบางคน ทำให้ตกใจรีบหันมาง้างมีดสั้นในมือใส่ “คิดจะปลิดชีพพระสวามีตนหรือ” “รัชทายาทมาได้เยี่ยงไรเพคะ ทรงหลับไปแล้วมิใช่หรือ” ตันหยางเอ่ยถามเสียงเบา ก่อนจะหันมองไปโดยรอบ ก็เห็นเพียงมู่หลิงยืนยิ้มแหยอยู่ไม่ไกล แสดงว่าเขามาคนเดียว “เรื่องของข้า แล้วนี่คิดจะทำอะไร” “ฟังสิเพคะ เสียงนก” เมื่อเขาอยู่ตรงนี้ ตันหยางจึงจับอีกฝ่ายมายืนที่หน้าต่าง “สนมผิงคือหนอนบ่อนไส้ที่เราตามหา” “นางช่างกล้านัก” “ตรงนั้นเป็นโรงเพาะสมุนไพรเพคะ มีสมุนไพรที่สามารถทำเป็นตัวยาเพื่อให้อ่อนแรงและหมดสติรวมอยู่ด้วย วันนี้นางมอบให้หม่อมฉันมาหนึ่งกระถาง คงตั้งใจจวางยาหม่อมฉันกระมังเพคะ” ตันหยางรายงาน สมุนไพรที่สนมผิงบอกว่าบำรุงผิวพรรณ มันยังมีสรรพคุณอย่างอื่นแอบแฝงอีก มันใช้บดแล้วทา มิใช่เอาไปต้มในน้ำร้อย เพราะมันจะส่งผลเป็นตรงกันข้ามทันที “พบหลักฐานมากเพียงนี้ ไยเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก จะเสี่ยงเข้ามาอีกทำไมกัน” จิ่นหรงตำหนิอย่างหงุดหงิด “ก็ยังไม่มั่นใจเรื่องนกนี่เพคะ เพราะเมื่อกลางวันไม่ได้มาตรงนี้ เสียงมันเบามาก จึงต้องมาดูให้แน่ชัดอีกรอบ” “เช่นนั้นรู้แล้วก็ออกไปเถิด ที่เหลือข้าจะจัดการเอง” สิ้นคำเขาก็รั้งเอาร่างเล็กดีดตัวเหาะข้ามกำแพงออกไปจากที่นี่ เมื่อมาถึงจิ่นหรงก็สั่งให้นางรออยู่ในห้องห้ามออกไปไหน ส่วนตัวเขาออกไปสั่งการจับคนชั่วที่แฝงตัวในวัง ทว่าเมื่อพระสวามีออกไป ตันหยางก็เปลี่ยนชุดปกติ ก่อนจะออกมาด้านนอกเพื่อรอดูว่าพระสวามีจะจัดการสำเร็จหรือไม่ ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ ทหารองครักษ์ประมาณห้าสิบนายก็ตรงไปที่ตำหนักสนมผิง มีอี้เทียนเป็นผู้สั่งการ และรัชทายาทก็ตามเสด็จเข้าไปด้วย เพื่อชี้จุดตามที่ชายาตนบอก “เกิดอันใดขึ้น” สนมผิงรีบออกมายืนที่หน้าเรือนตนอย่างตื่นตระหนก ยิ่งเห็นทหารองครักษ์มากมายนางยิ่งหวั่นใจ “คุมตัวไปให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว” เสียงสั่งการของจิ่นหรงดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย “นะ… นี่มันอะไรกันเพคะรัชทายาท” จางเสี่ยวเหม่ยร้องถามด้วยความหวาดหวั่น แม้ยามนี้นางพอจะเดาสาเหตุได้แล้วก็ตาม ทว่านางยังคงเสแสร้งทำเป็นไม่รู้อันใดอยู่ดี “เจ้าร่วมมือกับคนนอกคิดสังหารราชวงศ์ ยังจะถามอีกหรือว่าข้ามาด้วยการใด เอาตัวนางไปข้าจะสอบสวนเอง” “ไม่นะ! หม่อมฉันจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รังแกกันชัด ๆ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย” จางเสี่ยวเหม่ยยังคงโต้เถียงเสียงดังลั่นตำหนักสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







