องครักษ์เกราะดำเหลืออดเต็มที เพราะสหายตนถูกหยามซึ่งหน้า ต่อจากนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้น หมายจะไปจัดการกลุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกันเสีย ทว่ามือเรียวของสหายกลับรั้งไว้
“นั่งลง ใครอยากกล่าวอันใดก็ปล่อยมัน” อินหลางเอ่ยเสียงเรียบ แววตาเขายังคงนิ่งจนคนรอบข้างอ่านไม่ออก “เจ้าจะปล่อยให้มันเหยียดหยามเช่นนี้หรือ ดูท่าทางพวกมันเถิด ไม่มีสะทกสะท้านอันใดเลย” ตงไห่รีบเตือน ทว่าสหายกลับกล่าวในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของพวกเขา “ข้าอยากรู้ความจริง ในเมื่อบุรุษในที่นี้ต่างก็บอกว่าเคยหลับนอนกับภรรยาข้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็ทำให้ข้ากระจ่างใจทีเถิด นางชั่วช้าเลวทรามอย่างนั้นจริงหรือ” อินหลางเปล่งเสียงดังพอให้คนในห้องได้ยินทั่วกัน และไม่เพียงแต่แขกในห้องนี้เท่านั้นที่สนใจ ยังมีแขกผู้ใหญ่หลายคนเดินเข้ามาสมทบอีก “ฮ่าฮ่า นี่ท่านโหวเป็นคนร้องขอเองนะ หากพูดไปแล้วอย่ามาว่าพวกข้าทีหลังก็แล้วกัน” เหวินอี้เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ “ใช่ ข้าร้องขอเจ้าเอง” อินหลางยังคงยืนยันคำเดิม “ดี! เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มแล้วนะ” เหวินอี้ยังคงเรียบเคียงทำทีหยั่งเชิง ทว่าบุรุษผู้น่าเกรงขามก็ยังนั่งนิ่งเช่นเคย ‘หึหึ ข้าจะทำให้เจ้าขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเชียวฟู่อินหลาง’ นึกอย่างสาใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการเมื่อสามวันก่อนให้เจ้าบ่าวฟัง “อะ… อะไรกัน นี่ซื่อจื่อกั๋วกงกับคุณหนูมู่ตันหยงแอบได้เสียกันก่อนจะมาเข้าพิธีมงคลเพียงแค่สามวันหรือเจ้าคะ น่าอาย น่าอายเหลือเกิน ข้าน้อยสงสารท่านโหวยิ่งนัก ซื่อจื่อกั๋วกงทำเช่นนี้กับท่านโหวได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ไม่สงสารบุรุษด้วยกันเลยหรือ ท่านช่างใจร้ายนัก” นางรำคนงามต่อว่าพร้อมกับเดินถอยออกมา “แม่นางข้าเปล่านะ ข้าถูกมู่ตันหยงหลอกล่อ คราแรกนางไม่ยอมบอกว่าเป็นผู้ใด กระทั่งเราได้เสียกันแล้วข้าถึงได้รู้ว่านางคือบุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ ต่อมานางก็ขู่ว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกบิดาข้า ข้าเลยต้องคล้อยตามนาง ทั้งที่ใจก็ไม่อยากทำ เหล่าบุรุษเหล่านี้ก็ถูกนางหลอกเช่นกัน มู่ตันหยงนางเป็นสตรีมักมาก เอากับบุรุษไปทั่ว” เหวินอี้รีบเอ่ยแก้ต่างให้ตนเอง โดยมีชายหนุ่มมากกว่าห้าคนช่วยกล่าวสำทับอีก “ใช่ ๆ ข้าก็โดนด้วย ข้ามีภรรยาอยู่แล้ว ทว่ามู่ตันหยงกลับใช้มารยาหลอกล่อข้าจนหน้ามืดตามัวเผลอไปกับนาง” “ส่วนข้าคิดว่านางยังไม่มีคู่หมาย ข้าจึงหาทางเข้าใกล้นาง จากนั้นเราก็มีสัมพันธ์กันเมื่อสองเดือนก่อน ข้าคิดจะแต่งนางเข้าบ้าน แต่นางไม่ยอม บอกว่าฐานะข้าไม่คู่ควร วันนี้ข้าเลยมาเพื่อเปิดโปงนางเสีย” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น “ไร้ยางอาย! ไร้ยางอายที่สุด” เสียงก่นด่าจากญาติผู้ใหญ่ในงานดังขึ้น และมีอีกหลายเสียงที่ตามมา “อัปมงคลที่สุด เช่นนี้แล้วพวกท่านก็มาเพื่อชี้ตัวนางหรือเจ้าคะ ดีจริง… หากมีพยานหลักฐานมากเพียงนี้ นางคงหนีไม่รอดแน่ ว่าแต่หากพวกท่านเห็นหน้านาง มั่นใจหรือว่าจะจดจำนางได้ หากวันนี้ต้องเผชิญหน้ากัน…” นางรำคนงามเอ่ยถาม “จำได้ ข้าจำได้ไม่มีวันลืม ถึงนางจะงามสู้เจ้าไม่ได้ ทว่าข้าจำหน้านางได้อย่างแม่นยำ” เหวินอี้เอ่ยขึ้น อีกหลายคนก็ยืนยันเสียงหนักแน่น ก่อนที่ทุกคนจะสะดุ้งโหยงเพราะเสียงหนึ่ง ปึ้ง!! ฝ่ามือใหญ่ของฟู่อินโหวฟาดกระทบลงบนพื้นโต๊ะเบื้องหน้า คาดว่ายามนี้มันคงแดงเถือกไปแล้ว “หึหึ รับไม่ได้หรือท่านโหว” เหวินอี้ส่งเสียงเย้ยหยัน เมื่อเห็นท่าทางเดือดดาลของอีกฝ่ายดูท่าคงทนไม่ไหวแล้วกระมัง ค่ำคืนนี้ช่างทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก สาแก่ใจดีเหลือเกิน “ดูเหมือนทุกคนจะมั่นใจว่าจำคุณหนูมู่ตันหยงได้นะเจ้าคะ ข้าชักอยากเห็นนางเสียแล้วสิ สตรีที่หลอกล่อบุรุษมากมายให้หลงเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังทำเรื่องชั่วช้าก่อนวันแต่งอีก ช่างไร้ยางอายหาที่ติไม่ได้จริง ๆ” นางรำคนงามเอ่ยพร้อมกับหันมาหาเจ้าของงาน ที่ยังคงนั่งนิ่งมองนางด้วยแววตาเรียบเฉย “เหตุใดท่านโหวไม่เชิญเจ้าสาวออกมาเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ดูล่ะเจ้าคะ อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้นางได้แก้ต่างมิใช่หรือ หากคุณชายเหล่านี้กล่าวหานางฝ่ายเดียว มันก็ไม่ยุติธรรมกับนางน่ะสิ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นท่านโหวก็ใช้โอกาสนี้หย่าขาดจากนางเสียก็สิ้นเรื่อง ข้าน้อยว่ามันต้องสำเร็จโดยง่ายแน่เจ้าค่ะ ท่านโหวคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางรำตัวน้อยยังคงเอ่ยแนะ ทุกสายตาจึงหันมาที่ฟู่อินโหวเป็นตาเดียว ทว่าส่วนมากล้วนแต่มองเขาอย่างเย้ยหยัน ขณะนั้นเอง เว่ยซาก็เดินเข้ามากระซิบรายงานบางอย่าง คนในห้องก็พากันเงี่ยหูฟังราวกับตนจะได้ยินด้วย อินหลางจึงมองไปยังร่างอรชรที่ยืนยิ้มอยู่กลางห้อง เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เอาเป็นว่า ข้าจะทำตัวให้เป็นกลาง ยอมให้นางออกมาเผชิญหน้ากับทุกคนก็แล้วกัน ค่ำคืนนี้ขอให้พวกเจ้าช่วยยืนยันด้วยว่าสตรีที่เห็นใช่นางหรือไม่” “ได้ ข้ายินดียิ่งนักท่านโหว” เหวินอี้รีบเอ่ยก่อนใคร เขาเผยยิ้มหยันออกมาอย่างกับเป็นผู้ชนะในการศึก “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปนั่งพักสักครู่นะเจ้าคะ” นางรำคนงามเอ่ยก่อนจะเดินเลี่ยงมาที่เก้าอี้ตรงมุม ซึ่งมันอยู่ข้างกันกับเจ้าของงาน ทว่าห่างแค่ช่วงแขนเท่านั้น และคนที่จัดที่นั่งให้ก็คือสาวใช้ที่ยกสุราเข้ามาในคราแรกนั่นเอง “แม่นาง ไยเจ้าไม่มานั่งข้างข้า” เหวินอี้รีบท้วง “ซื่อจื่อกั๋วกงทายชื่อข้าน้อยไม่ถูกเองนะเจ้าคะ ข้าน้อยก็ต้องหันมาปรนนิบัติเจ้าของงานสิเจ้าคะ ใครบอกให้คุณชายไม่รู้จักข้าล่ะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยตัดพ้อราวกับตนน้อยใจนักหนา เหวินอี้จึงได้แต่มองอย่างเสียดาย อินหลางเห็นเช่นนั้นก็เผยยิ้มชอบใจ เขาจึงเอ่ยสั่งนาง “เช่นนั้นเจ้ารินสุราให้ข้าที” ทว่าเมื่อนางยื่นจอกให้ เขากลับจับข้อมือเล็กออกแรงดึงจนร่างอรชรนั้นเซถลานั่งลงบนตัก “อ๊ะ!... ทำบ้าอะไรของท่าน” “จะเล่นก็เล่นให้สมบทบาทสิ” เสียงเย็นดังอยู่ข้างหู ทำเอาคนที่ตั้งท่าจะดิ้นหนีต้องสงบลง ทว่าแก้มเนียนใสกลับขึ้นสีเรื่อ มิหนำซ้ำร่างกายนี้ยังสั่นระริกจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ “ไม่เห็นจะเก่งเหมือนยามพูดเลยนะ” ฟู่อินโหวเอ่ยเย้าเสียงเบา ทว่าคนในอ้อมแขนกลับไม่ตอบ มากไปกว่านั้นคือนางเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่ยอมเงยขึ้นสบตาผู้คน แต่มือก็พยายามบีบเนื้อที่ต้นแขนของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง “ทำข้าเจ็บมาก ๆ คืนนี้ข้าจะเอาคืนเจ้า” คำขู่เปล่งมาให้ได้ยิน มือเล็กจึงหยุดชะงักในทันที พร้อมกับเงยหน้าสบตาเขา แต่ไม่ทันไรนางก็เสหลบเมื่อเห็นริมฝีปากอีกฝ่ายยกมุมขึ้น ทว่ามันก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อได้ยินเสียงขัดจังหวะของศัตรูคู่อาฆาต ที่แค้นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สะสาง “ฟู่อินโหว! ไหนเจ้าบอกว่าไม่แยแสนาง คิดจะเปลี่ยนใจกระนั้นหรือ” เหวินอี้คำรามเสียงดังลั่น “นางถูกส่งมาเพื่องานมงคลของข้าโดยเฉพาะ หากข้าไม่เชยชมก็เสียเชิงชายแย่น่ะสิ อีกอย่างพวกเจ้าก็บอกเองมิใช่หรือว่า ภรรยาที่ข้าแต่งเข้ามาวันนี้นางมากตัณหาเพียงใด ขอบคุณที่พวกเจ้าช่วยเตือน ทำให้ข้าหูตาสว่างขึ้นมาทันที ข้าเลยคิดว่าคืนนี้จะนอนกอดหญิงงามให้ชื่นใจ ดีกว่าไปนอนทับร่างสตรีที่ผ่านบุรุษมากหน้าหลายตามิใช่หรือ เจ้าว่าความคิดข้าดีหรือไม่” สิ้นคำ ฟู่อินโหวก็รั้งใบหน้างามให้เงยขึ้น ก่อนจะแนบริมฝีปากตนลงประกบบดเบียดความนุ่มหยุ่นอย่างเอาแต่ใจ ทว่าไม่นานเขาก็ปล่อยให้นางเป็นอิสระ และยังไม่ลืมที่จะกดหัวนางซบไหล่ “นะ… นี่เจ้า” เหวินอี้ได้แต่ชี้หน้าอย่างแค้นใจ เขาหรืออุตส่าห์สั่งคนสนิทให้เตรียมตัว รอให้งานมงคลเลิกลา เขาจะหาทางพานางออกไปด้วย ค่ำคืนนี้เขาจะต้องได้เชยชมนาง ทว่ายามนี้ฟู่อินโหวกลับฉกชิงสตรีงามไปครองซึ่งหน้าเสียได้ น่าเจ็บใจนัก… แต่ช่างเถิด แม้คืนนี้เขาจะเสียนางรำผู้นี้ไป ทว่ามันยังมีเรื่องให้เขาได้เปรียบฟู่อินหลางอยู่ ‘รอให้มู่ตันหยงมาก่อนเถิด ข้าจะทำให้เจ้าขายหน้า ไม่อาจอาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้เลย’ #ท่านโหจะมาทำตัวเจ้าชู้ไม่ได้อินหลางไม่ปล่อยโอกาสให้ภรรยารักตนได้เอ่ยปาก เพราะกำหนัดก่อนหน้ามันยังค้างคาอยู่ พอมาเห็นผิวขาวของนาง ความต้องการมันก็ยิ่งเพิ่มพูนร่างอรชรจึงถูกเขาโถมเข้าใส่อย่างไม่รีรอ“อ่า… น้องหญิง ร่องเจ้ารัดแน่นยิ่งนัก” ท่านโหวเอ่ยชมทุกรั้งยามเมื่อเขาสอดใส่แท่งหยกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นท่วงท่าที่ทั้งคู่ทำ มันก็กระตุ้นกำหนัดดีนัก ยามเมื่อเขาออกแรงน้ำในถังก็กระเพื่อมตาม ดีที่มันกว้างใหญ่จึงรับการกระแทกของเขาได้ตันหยงได้แต่ครางเสียว ไม่อาจตอบโต้เป็นภาษาปกติเพราะร่างแกร่งถาโถมเข้าใส่จนนางต้องหาที่ยึด นั่นคือขอบถังที่อยู่บนศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็โอบรอบคอสามีไว้ ส่วนด้านล่างก็ถูกสะโพกหนาขยับเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน ทำเอากำหนัดที่กักเก็บไว้เป็นได้ทะลักออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ามันจะจบ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ในถังอีกแล้ว ตรงนี้มันคับแคบเกินไป“ต่อนะน้องหญิง” สิ้นคำท่านโหวก็สอดลิ้นอุ่นเข้าปากนางทันที ตามด้วยเสียงจูบแลกลิ้นที่ไม่มีใครยอมใครเตียงกว้างที่ถูกปูไว้อย่างเรียบร้อย บัดนี้มันเริ่มย่นเข้าหากันเพราะสงครามของเนื้อกายเริ่มปะทุขึ้นมาอีกหนความสุข
อินหลางพาภรรยาตัวน้อยของตนกลับมาถึงเรือนก็ไม่ยอมเสียเวลาจัดการกับนาง เพราะวันนี้ฮูหยินเขาแต่งกายได้งดงามเย้ายวนนัก หากไม่ติดว่าอยู่ในงานเลี้ยง เขาเป็นได้แบกนางกลับห้องในยามนั้นแล้ว และเมื่อมาถึงเขาก็ไม่รอช้าที่จะยกนางขึ้นบนโต๊ะกลางห้อง หมายจะรีดน้ำรักตนเสียตรงนี้ ทว่าในขณะที่เขาซุกหน้าบนซอกคอขาว ประตูที่ปิดอยู่กลับถูกเปิดออก ตามมาด้วยชายฉกรรจ์ปิดหน้าตากรูกันเข้ามา “ฆ่าฟู่อินโหว แล้วเอาฮูหยินมันไป” เสียงคำสั่งดังขึ้นทันที จากนั้นพวกมันก็ง้างดาบใส่ หมายเอาชีวิตเจ้าของจวน อินหลางป้องภรรยาตนไว้ข้างหลัง ทั้งเตะทั้งถีบผู้ที่ก้าวเข้าใกล้ เขาพาฮูหยินถอยร่นไปจนถึงมุมเก็บดาบ เมื่อคว้ามันมาได้ก็กลายเป็นกลุ่มคนร้ายที่ต้องหวาดกลัว เพราะฟู่อินโหวสังหารคนเหล่านี้อย่างไม่มีปรานี ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังพุ่งเข้ามาไม่หยุด บางคนอ้อมมาด้านหลังหมายจะจัดการกับภรรยาเขา ฟิ้ว! คมธนูจากหน้าประตูแหวกผ่านอากาศปะทะร่างคนร้ายทันที พร้อมกันนั้นเหล่าองครักษ์ของฉินอ๋องก็กรูกันเข้ามา “จัดการมันให้หมด” เขาสั่งการเสียงเข้ม กลุ่มคนร้ายจึงพากันตื่นตระหนก บ้างก็วิ่งออกทางหน้าต่างเพื่อเอาตัวรอด “ข้
ผ้าแพรสีแดงถูกลากลงมาอย่างเชื่องช้า เสียงเนื้อผ้าลากผ่านไม้ดังแผ่วเบา ทว่าไม่มีใครใส่ใจตรงนี้เลย เพราะหลังจากผ้าถูกดึงออก พวกเขาก็เอาแต่จ้องฉากไม้กั้นที่สูงเท่าตัวคน แขกเหรื่อในงานรวมถึงเจ้าภาพแทบจะหยุดหายใจ ตรงหน้าพวกเขาคือฉากกั้นบานใหญ่ขนาดหกพับ แต่ละพับมีภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวต่าง ๆ พวกเขามีหลากหลายอิริยาบถ บางภาพยืนสบตากันใต้ร่มไม้ บางภาพยิ้มอ่อนขณะช่วยกันชงชาในศาลา บางภาพยืนกุมมือกันท่ามกลางแสงจันทร์ ซึ่งแต่ละภาพล้วนสะท้อนถึงความรัก ความผูกพัน และช่วงเวลาที่ฝังลึกอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่แพ้กัน กลับมิใช่ความละเอียดของเส้นพู่กัน และเรื่องราวมากมายบนฉากกั้น ทว่า! มันคือ สีสัน ที่สาดซัดลงบนผืนผ้าอย่างวิจิตรตระการตาต่างหาก บางภาพเผยความงามของท้องฟ้าในยามเย็นเสมือนจริงยิ่งนัก และยังมีแสงสะท้อนสาดส่องลงมา นำพาให้อาภรณ์ของหนุ่มสาวในภาพนี้ทอประกาย ดวงตาของทั้งคู่หรือก็ดูแวววาว…ราวกับมีชีวิต ทุกภาพล้วนแต่เสมือนจริงจนทุกคนได้แต่ยืนนิ่งงัน แม้เสียงดนตรีขาดหายไปก็ยังไม่มีใครใส่ใจ ด้านไท่ฮูหยิน นางกำลังก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมกับเอ
เวลาต่อมา ณ ลานไม้หน้าเรือนรับรอง กลุ่มคนงานก็นำโต๊ะยาวมาตั้งขวางทางเดิน ในขณะนั้นแขกผู้ใหญ่อย่างฉินอ๋องก็เดินทางมาถึง ซึ่งเขามักจะมาอวยพรนางทุกปีเพราะไท่ฮูหยินคือน้องสาวของหานสืออวิ้นผู้เป็นตาของเขาเอง หากจะนับให้เข้าใจฉินอ๋องก็คือญาติผู้พี่ของฟู่อินหลางและอายุของทั้งคู่ก็เท่ากัน เพราะเกิดในวันเดียวกัน ต่างก็แค่ คนหนึ่งเกิดกลางวัน อีกคนเกิดยามวิกาล“ท่านพี่ ไยท่านไม่บอกว่าฉินอ๋องจะมาด้วย แค่นี้ข้าก็ต้อนรับไม่ทันแล้วท่านรู้หรือไม่” ตันหยงตำหนิสามีทันที “พี่ก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมา ก่อนหน้าทรงรับสั่งว่าจะเดินทางไปตรวจตราภัยแล้งช่วยรัชทายาท ทว่าเหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เสด็จมาก็ไม่รู้” อินหลางหันมากระซิบบอกภรรยา ก่อนจะมองไปที่ร่างสูงตัวเท่ากัน ซึ่งยามนี้กำลังประคองท่านย่าตนออกมานั่งที่ตั่ง ทำให้แขกเหรื่อที่มาอวยพรต้องรีบเงียบเสียงลง“ตามสบายเถิด ข้าเองก็มาโดยไม่ได้แจ้งก่อน ต้อนรับตามแต่พวกเจ้าสะดวกเถิด” สุรเสียงของฉินอ๋อง เอ่ยออกมาเล็กน้อยก็ทำให้ภายในงานเงียบลงถนัดตา มีเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังคงบรรเลงขับกล่อมให้ได้ยิน“ทรงอำนาจดีจังเลยนะเจ้าคะ น่าเกรงขามมาก
ตันหยงอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนรอสามีที่ระเบียงนอกเรือน เป็นจังหวะที่มีคนมารายงานข่าวกับเว่ยซาพอดี“มีอะไรหรือ” นางรีบถาม“ท่านโหวให้คนมาแจ้งว่าคืนนี้อาจจะกลับดึกขอรับ”“ได้บอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” “คงหารือกันเรื่องงานขอรับ ช่วงนี้ทางตะวันออกเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ยังมีโรคระบาดตามมาอีก ผู้คนทางนั้นอดอยากและล้มตายกันมาก ท่านโหวและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามหาทางแก้กันอยู่ขอรับ” เว่ยซารายงานเท่าที่ตนเคยได้ยินมา“ภัยแล้งเหรอ” ตันหยงนิ่งไป พร้อมกับคิดถึงเนื้อเรื่องที่ตนเคยอ่าน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟู่อินโหวไม่ค่อยได้กลับจวน จึงทำให้ภรรยาตามไปราวีถึงหอ เป็นเหตุให้เขาอับอายมาก ทว่าคนเขียนไม่ได้ระบุไว้ว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะเนื้อเรื่องหลัก ๆ บรรยายถึงปัญหาชีวิตคู่ของฟู่อินโหวและมู่ตันหยง รวมถึงตัวนางเอกของเรื่องมากกว่าองค์ประกอบส่วนอื่นผู้ประพันธ์ไม่ได้ลงรายละเอียดนักเพราะนี่มันคือนิยายรักดราม่า แนวรักสามเส้าทว่าเมื่อนางเข้ามาอยู่ในนี้และเปลี่ยนบท เนื้อเรื่องมันเลยละเอียดขึ้น ตัวละครยังคงดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ตัดไปวันนั้นวันนี้เหมือนในนิยายที่ตนเคยอ่านมา ฉะน
อินหลางเองก็มึนงงไม่แพ้กัน เขาจึงรีบถามให้แน่ใจ“จะ… จริงหรือ เจ้าไม่ได้ปดพี่นะ”“ข้าจะปดท่านพี่ทำไม เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเราก็มาวาดภาพกันต่อดีกว่านะเจ้าคะ ข้าขอใช้ห้องตำราของท่านพี่ได้หรือไม่” ตันหยงยิ้มหวานให้เขา“ได้สิ จวนนี้เจ้าอยากใช้ตรงไหนจัดการได้เลย” ฟู่อินโหวรีบเอ่ย ภรรยาตัวน้อยก็ยิ้มกว้างทันที ด้านไป่ฮวาได้แต่เหลือบตามองอย่างหมั่นไส้ แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนสีหน้า แขนของนางก็ถูกคว้ามาเกาะ แล้วรั้งให้เดินตามกันออกมา ทิ้งให้คนในห้องมองตามอย่างมึนงง…“ฮะ… ฮูหยินไปสนิทกับแม่นางไป่ฮวาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เป็นเกาหยางที่เอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัยก่อนใคร“นั่นสิ ข้าไม่เคยเห็นแม่นางไป่มาหาฮูหยินเลยสักครั้ง และฮูหยินก็ไม่เคยไปหานางเลยสักครา แล้วทั้งคู่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อใด” ครานี้เป็นเว่ยซานที่เอ่ยขึ้นมาอย่างงวยงง“พวกนางไม่เคยไปมาหาสู่กันกระนั้นหรือ”“ไม่ขอรับ ข้าอยู่เฝ้าฮูหยินตามคำสั่งนายท่านตลอดทั้งวัน มีแยกไปบ้างเวลาทำธุระ แต่ก็ไม่นานนะขอรับ เอ๋! หรือสองคนนี้จะนัดพบกันยามค่ำคืน ทว่าแม่นางไป่ก็เพิ่งมาอยู่แค่สามวันมิใช่หรือขอรับ มิหนำซ้ำว