อารมณ์คุกรุ่นของบุรุษคู่แค้นยังคงปะทุ รอเวลาจัดการอีกฝ่ายอย่างที่ใจหมายมั่น ทว่าสตรีตัวน้อยที่นั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง กลับทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
‘เห้อ! ตกลงอีตาโหวนี่เป็นพระเอกแน่เหรอ ปากว่ามือถึงขนาดนี้ ทำไมมันไม่ค่อยเหมือนเนื้อเรื่องที่อ่านมาเลย ปกติเขาต้องรักนวลสงวนตัว ไม่แตะต้องสตรีไม่ใช่เหรอ ถึงจะรู้แล้วว่าเราเป็นใคร เขาก็ไม่น่า… จูบเราต่อหน้าผู้คนนี่’ นึกแล้วแก้มเนียนใสก็ขึ้นสีเรื่อ โดยเฉพาะจมูกนางมันแดงอย่างกับลูกตำลึงเชียว ดีที่ก้มหน้าอยู่ ฟู่อินโหวจึงมองไม่เห็น แต่ก่อนที่นางจะได้คิดไปไกลจนวุ่นวายใจ ใครคนหนึ่งก็กล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนต้องหันไปยังที่มาของเสียงทันที “นี่ใช่หรือไม่ มู่ตันหยงที่พวกเจ้าพูดถึง” เสียงทุ้มเย็นกล่าวขึ้น ก่อนจะดันร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งมาที่กลางห้อง “ใช่ ๆ นางนี่แหละ มู่ตันหยงที่ข้าเคยหลับนอนด้วย ว่าแต่ทำไมหน้าตานางดูอิดโรยอย่างกับคนทำงานหนักเลย” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้น พร้อมกับเดินมาส่องหน้าให้ชัด “เอ๋! มิใช่ว่านางรอเจ้าบ่าวนานไปจนทนไม่ไหว แอบไปลักลอบหลับนอนกับบ่าวคนไหนมาหรอกนะ” “ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นทันที “หึหึ ท่านโหวไม่กล่าวทักทายภรรยาของเราหรือขอรับ นางช่ำชองเรื่องบนเตียงมากนะ ไม่แน่ท่านอาจจะลืมสตรีที่นั่งอยู่บนตักก็ได้ ความงามไหนเลยจะสู้ท่วงท่าลีลาเร่าร้อนของฮูหยินท่าน” เหวินอี้กล่าวแนะ ทว่ามันปะปนด้วยคำหยันเสียมากกว่า “สตรีผู้นี้หรือเจ้าคะ ที่คุณชายทั้งหลายเคยเชยชมมาก่อนหน้านี้” เป็นสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านโหวเอ่ยถาม “ใช่นางนี่แหละ มู่ตันหยง สตรีที่ครางอยู่ใต้ร่างข้าเมื่อสองเดือนก่อน” ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบเอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ ๆ ครึ่งเดือนก่อน นางก็มาครางใต้ร่างข้า” ตามมาด้วยเสียงสำทับของใครอีกหลายคน รวมถึงซูเหวินอี้ด้วย “มิใช่แค่ท่านโหวหรอกที่โง่เขลา ใครจะไปรู้ว่านางจะมักมากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ หากรู้ว่านางเป็นสตรีชั่วข้าคงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ก็โชคดีนักที่ข้าไหวตัวทันจึงไม่หลงแต่งนางเข้าจวน มิเช่นนั้นตระกูลซูของข้าต้องกลายเป็นที่ขบขันของคนทั้งเมืองเป็นแน่” เหวินอี้กล่าวออกมาราวกับกำลังตัดพ้อโชคชะตา ทว่าทุกความหมายกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ช่างน่าสงสารตระกูลฟู่จริง ๆ” สหายของเหวินอี้กล่าวเหมือนเห็นใจ ทว่าริมฝีปากเขากลับยิ้มเยาะใส่เจ้าของจวน “เช่นนั้นพวกท่านก็หมายความว่า นางคือมู่ตันหยง บุตรสาวของโหราจารย์มู่ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มที่พาตัวหญิงสาวเข้ามายังคงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ หากสังเกตุดีดีจะเห็นว่าเขากำลังยิ้มเยาะคนเหล่านี้อยู่ ทว่ากลุ่มของเหวินอี้กลับไม่มีใครใส่ใจ “ใช่ นางนี่แหละคุณหนูรองแห่งตระกูลมู่” ฉางเล่อสหายสนิทของเหวินอี้ยืนยันเสียงหนักแน่น “ดี! เช่นนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร” ครานี้ชายหนุ่มกล่าวเสียงดังกว่าเดิม ทำให้ทุกคนถึงกับขมวดคิ้ว “อะไรกัน จู่ ๆ ก็มาถามว่าตนเองเป็นใคร เจ้าออกจากเรือนมาแล้วจำชื่อตนเองไม่ได้หรือ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขบขันของฝั่งซื่อจื่อ “หึ! น่าขัน…ทั้งที่พวกเจ้ารู้จักมู่ตันหยงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่รู้จักพี่ชายคนโตของนาง มิน่า! ถึงได้โง่โดนสาวใช้ต้นห้องน้องสาวข้าหลอกได้ เศษสวะทั้งนั้น” “อะ… อะไรนะ! เมื่อครู่เจ้าด่าใคร” เหวินอี้ยกมือชี้หน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเดินเข้ามาหาหมายจะจัดการกับคนปากดี ทว่ายังไม่ทันถึงตัวก็ถูกฝ่าเท้าถีบเข้าให้ ร่างของเขาเซล้มลงไปหาสตรีที่นั่งก้มหน้าอยู่กลางห้องทันที “คุณชายอย่านะเจ้าคะ คนผู้นี้คือแม่ทัพมู่คนโปรดของฝ่าบาทเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้หาเรื่องเขาเด็ดขาด” “มะ… แม่ทัพมู่ มู่ตานชุยน่ะหรือ” “ใช่เจ้าค่ะ” “แล้วไยก่อนนี้เจ้าไม่บอกข้า อยากให้ข้าตายใต้คมดาบพี่ชายเจ้าหรือ” เหวินอี้ตวาดสตรีที่เคยร่วมเตียงกับตนเสียงดัง “ข้าไม่ใช่พี่ชายนาง อย่าได้เอาตระกูลมู่มาเกี่ยวข้องกับสาวใช้ชั่วช้าผู้นี้ นางเป็นแค่เด็กกำพร้าที่มารดาข้าสงสารเก็บมาเลี้ยง ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องอันใดกับคนตระกูลมู่ทั้งนั้น” “สะ… สาวใช้!” เสียงประสานของเหล่าบุรุษดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะเหวินอี้ เขาถึงกับผงะคลานถอยทันที “นะ… นางเป็นแค่สาวใช้จริงหรือ เจ้าโกหก นางจะเป็นสาวใช้ได้เยี่ยงไร นางคือมู่ตันหยงคุณหนูรองแห่งจวนมู่” ซื่อจื่อกั๋วกงยังคงโต้เถียง เพราะไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจริง ๆ “ใช่ ๆ นางบอกกับข้าเองว่านางคือคุณหนูรองมู่ ยามที่นางมาหาข้านางก็ใส่ชุดงดงาม มีราคายิ่งกว่าคุณหนูบางคนเสียอีก จะบอกว่านางเป็นสาวใช้ได้เยี่ยงไร” ชายคนหนึ่งรีบแย้ง “ก็เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่ในทุกวัน เป็นอาภรณ์ที่ข้าและพี่หญิงมอบให้อย่างไรล่ะ ไม่แปลกหรอกที่คนภายนอกจะคิดว่านางคือคุณหนูของจวนมู่” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น คนในห้องจึงหันไปหาร่างอรชรที่กำลังย่างกลายเข้ามา “คารวะพี่เขย ข้าน้อยมู่ตันหยางบุตรสาวคนเล็กของตระกูลมู่เจ้าค่ะ” มือขาวยกประสานกันก่อนจะย่อตัวลงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มอ่อนให้คนที่นั่งยิ้มแหยบนตักท่านโหว “ตามสบายเถิด” อินหลางรับคำแล้วก็หันมาหาสหายตนที่นั่งอยู่ถัดไป “ซ่งเทียนเจ้าลุก” เอ่ยเพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็รีบทำตาม “อะ… เอ่อ ได้ ๆ” องครักษ์วัยสามสิบสองขยับลุกทันที “เชิญคุณหนูสาม” เขาผายมือให้ก่อนจะถอยออกมายืนข้างสหาย “ดะ… เดี๋ยวนะ นี่มันอะไรกัน นางเป็นน้องสาวของมู่ตันหยง ส่วนท่านคือพี่ชายของมู่ตันหยง ละ… แล้วยามนี้เจ้าสาวตัวจริงอยู่ที่ใดกัน” ฉางเล่อเอ่ยถามตะกุกตะกัก “หึหึ…เจ้าสาวของข้า ก็ต้องอยู่กับข้าสิจะให้ไปอยู่ที่ใด” สิ้นคำ อินหลางก็ก้มลงจุมพิตแก้มเนียนโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว “อ๊ะ! ทำไมท่านถึงเป็นคนฉวยโอกาสเช่นนี้หา” ตำหนิเสียงแผ่ว พร้อมกับหยิกที่ท้องเขาเต็มแรง “ซี๊ด! บอกแล้วมิใช่หรือ หากเจ้าลงมือกับข้าคืนนี้จะ…” “ฝันไปเถิด ข้าจะวางยาพิษทำให้ท่านหลับสามวันไม่ตื่นเชียว” ตันหยงไม่ได้ขู่เขา เพราะนางเตรียมยาเอาไว้แล้ว อินหลางเผยยิ้มก่อนจะก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูให้ได้ยินกันสองคน “ถ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาเจ้าจนลุกไม่ขึ้นก็ลองดูได้เลย” แก้มเนียนขาวขึ้นสีเรื่อทันที เป็นเหตุให้คนตัวโตอดไม่ได้ที่จะกระชับอ้อมแขนขึ้นอีก ร่างอรชรจึงพยายามขัดขืน “อย่าดื้อ จัดการเรื่องตรงหน้าให้จบก่อน” เอ่ยบอกแผ่วเบา ร่างที่ดิ้นอยู่จึงสงบลง ทว่าหน้าตายังคงบูดบึ้ง “พี่เขยให้ข้าพาพี่หญิงกลับไปพักดีกว่านะเจ้าคะ” ตันหยาง คิดว่าอยู่ตรงนี้มีแต่จะทำให้พี่สาวตนขายหน้า นางจึงคิดว่าควรพากลับห้องดีกว่า เพราะพี่เขยมักจะเอาเปรียบพี่สาวตน นั่ง ๆ ไปก็จุมพิตอยู่นั่น ถึงทั้งคู่จะแต่งงานกันแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่ควรทำการประเจิดประเจ้อ แค่นี้สกุลมู่ก็ขายหน้าจะแย่ “พาไปเถิด ทางนี้พี่จะจัดการเอง” ตานชุยเอ่ยกับน้องสาวคนเล็ก ก่อนจะหันมามองน้องเขยที่อายุมากกว่าตนเป็นสิบปี อินหลางนิ่งไปครู่หนึ่ง มิใช่ว่าเขาเกรงกลัวพี่ชายภรรยา เพียงแต่ยามนี้ทุกอย่างมันคลี่คลายแล้ว เขาควรปล่อยมู่ตันหยงกลับไปพักเสีย “เจ้ากลับไปรอข้าที่ห้อง เสร็จธุระทางนี้แล้วข้าจะตามไป เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก” เสียงเขายังราบเรียบ “เจ้าค่ะ” ตันหยงรับคำ ทว่าคำพูดนางฟังแล้วเหมือนจะเชื่อไม่ได้ อินหลางจึงคว้าแขนเล็กไว้ “ห้ามลงกลอนประตู” เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน พร้อมกับจ้อง ด้วยสายตาคมดุ ภรรยาตัวน้อยจึงย่อตัวให้แต่ไม่ตอบกลับอันใด ‘ฝันไปเถอะ ถ้าเชื่อฟังก็ไม่ใช่มู่ตันหยงแล้ว’ ตันหยงนึกในใจก่อนจะหันมาหาน้องสาวตนที่ก้าวเดินมาหานาง ทว่าทั้งคู่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ซูเหวินอี้ก็กล่าวขึ้น “เจ้าคือมู่ตันหยงจริงหรือ” ซื่อจื่อกั๋วกงยังคงไม่เชื่อ เพราะเขาไม่อาจทำใจได้ว่าตนนั้นถูกสาวใช้ต้อยต่ำหลอก ตันหยงจึงเผยยิ้มอ่อนให้ก่อนจะเอ่ย “ใช่ ข้าคือมู่ตันหยง บุตรสาวคนรองของท่านโหราจารย์มู่ซางฉี” สิ้นคำนางก็เดินออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนตะลึงงันอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน #รออีบุ๊คอนุมัติอยู่นะคะ ถ้าผ่านจะมาแปะลิ้งให้นะอินหลางไม่ปล่อยโอกาสให้ภรรยารักตนได้เอ่ยปาก เพราะกำหนัดก่อนหน้ามันยังค้างคาอยู่ พอมาเห็นผิวขาวของนาง ความต้องการมันก็ยิ่งเพิ่มพูนร่างอรชรจึงถูกเขาโถมเข้าใส่อย่างไม่รีรอ“อ่า… น้องหญิง ร่องเจ้ารัดแน่นยิ่งนัก” ท่านโหวเอ่ยชมทุกรั้งยามเมื่อเขาสอดใส่แท่งหยกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นท่วงท่าที่ทั้งคู่ทำ มันก็กระตุ้นกำหนัดดีนัก ยามเมื่อเขาออกแรงน้ำในถังก็กระเพื่อมตาม ดีที่มันกว้างใหญ่จึงรับการกระแทกของเขาได้ตันหยงได้แต่ครางเสียว ไม่อาจตอบโต้เป็นภาษาปกติเพราะร่างแกร่งถาโถมเข้าใส่จนนางต้องหาที่ยึด นั่นคือขอบถังที่อยู่บนศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็โอบรอบคอสามีไว้ ส่วนด้านล่างก็ถูกสะโพกหนาขยับเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน ทำเอากำหนัดที่กักเก็บไว้เป็นได้ทะลักออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ามันจะจบ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ในถังอีกแล้ว ตรงนี้มันคับแคบเกินไป“ต่อนะน้องหญิง” สิ้นคำท่านโหวก็สอดลิ้นอุ่นเข้าปากนางทันที ตามด้วยเสียงจูบแลกลิ้นที่ไม่มีใครยอมใครเตียงกว้างที่ถูกปูไว้อย่างเรียบร้อย บัดนี้มันเริ่มย่นเข้าหากันเพราะสงครามของเนื้อกายเริ่มปะทุขึ้นมาอีกหนความสุข
อินหลางพาภรรยาตัวน้อยของตนกลับมาถึงเรือนก็ไม่ยอมเสียเวลาจัดการกับนาง เพราะวันนี้ฮูหยินเขาแต่งกายได้งดงามเย้ายวนนัก หากไม่ติดว่าอยู่ในงานเลี้ยง เขาเป็นได้แบกนางกลับห้องในยามนั้นแล้ว และเมื่อมาถึงเขาก็ไม่รอช้าที่จะยกนางขึ้นบนโต๊ะกลางห้อง หมายจะรีดน้ำรักตนเสียตรงนี้ ทว่าในขณะที่เขาซุกหน้าบนซอกคอขาว ประตูที่ปิดอยู่กลับถูกเปิดออก ตามมาด้วยชายฉกรรจ์ปิดหน้าตากรูกันเข้ามา “ฆ่าฟู่อินโหว แล้วเอาฮูหยินมันไป” เสียงคำสั่งดังขึ้นทันที จากนั้นพวกมันก็ง้างดาบใส่ หมายเอาชีวิตเจ้าของจวน อินหลางป้องภรรยาตนไว้ข้างหลัง ทั้งเตะทั้งถีบผู้ที่ก้าวเข้าใกล้ เขาพาฮูหยินถอยร่นไปจนถึงมุมเก็บดาบ เมื่อคว้ามันมาได้ก็กลายเป็นกลุ่มคนร้ายที่ต้องหวาดกลัว เพราะฟู่อินโหวสังหารคนเหล่านี้อย่างไม่มีปรานี ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังพุ่งเข้ามาไม่หยุด บางคนอ้อมมาด้านหลังหมายจะจัดการกับภรรยาเขา ฟิ้ว! คมธนูจากหน้าประตูแหวกผ่านอากาศปะทะร่างคนร้ายทันที พร้อมกันนั้นเหล่าองครักษ์ของฉินอ๋องก็กรูกันเข้ามา “จัดการมันให้หมด” เขาสั่งการเสียงเข้ม กลุ่มคนร้ายจึงพากันตื่นตระหนก บ้างก็วิ่งออกทางหน้าต่างเพื่อเอาตัวรอด “ข้
ผ้าแพรสีแดงถูกลากลงมาอย่างเชื่องช้า เสียงเนื้อผ้าลากผ่านไม้ดังแผ่วเบา ทว่าไม่มีใครใส่ใจตรงนี้เลย เพราะหลังจากผ้าถูกดึงออก พวกเขาก็เอาแต่จ้องฉากไม้กั้นที่สูงเท่าตัวคน แขกเหรื่อในงานรวมถึงเจ้าภาพแทบจะหยุดหายใจ ตรงหน้าพวกเขาคือฉากกั้นบานใหญ่ขนาดหกพับ แต่ละพับมีภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวต่าง ๆ พวกเขามีหลากหลายอิริยาบถ บางภาพยืนสบตากันใต้ร่มไม้ บางภาพยิ้มอ่อนขณะช่วยกันชงชาในศาลา บางภาพยืนกุมมือกันท่ามกลางแสงจันทร์ ซึ่งแต่ละภาพล้วนสะท้อนถึงความรัก ความผูกพัน และช่วงเวลาที่ฝังลึกอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่แพ้กัน กลับมิใช่ความละเอียดของเส้นพู่กัน และเรื่องราวมากมายบนฉากกั้น ทว่า! มันคือ สีสัน ที่สาดซัดลงบนผืนผ้าอย่างวิจิตรตระการตาต่างหาก บางภาพเผยความงามของท้องฟ้าในยามเย็นเสมือนจริงยิ่งนัก และยังมีแสงสะท้อนสาดส่องลงมา นำพาให้อาภรณ์ของหนุ่มสาวในภาพนี้ทอประกาย ดวงตาของทั้งคู่หรือก็ดูแวววาว…ราวกับมีชีวิต ทุกภาพล้วนแต่เสมือนจริงจนทุกคนได้แต่ยืนนิ่งงัน แม้เสียงดนตรีขาดหายไปก็ยังไม่มีใครใส่ใจ ด้านไท่ฮูหยิน นางกำลังก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมกับเอ
เวลาต่อมา ณ ลานไม้หน้าเรือนรับรอง กลุ่มคนงานก็นำโต๊ะยาวมาตั้งขวางทางเดิน ในขณะนั้นแขกผู้ใหญ่อย่างฉินอ๋องก็เดินทางมาถึง ซึ่งเขามักจะมาอวยพรนางทุกปีเพราะไท่ฮูหยินคือน้องสาวของหานสืออวิ้นผู้เป็นตาของเขาเอง หากจะนับให้เข้าใจฉินอ๋องก็คือญาติผู้พี่ของฟู่อินหลางและอายุของทั้งคู่ก็เท่ากัน เพราะเกิดในวันเดียวกัน ต่างก็แค่ คนหนึ่งเกิดกลางวัน อีกคนเกิดยามวิกาล“ท่านพี่ ไยท่านไม่บอกว่าฉินอ๋องจะมาด้วย แค่นี้ข้าก็ต้อนรับไม่ทันแล้วท่านรู้หรือไม่” ตันหยงตำหนิสามีทันที “พี่ก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมา ก่อนหน้าทรงรับสั่งว่าจะเดินทางไปตรวจตราภัยแล้งช่วยรัชทายาท ทว่าเหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เสด็จมาก็ไม่รู้” อินหลางหันมากระซิบบอกภรรยา ก่อนจะมองไปที่ร่างสูงตัวเท่ากัน ซึ่งยามนี้กำลังประคองท่านย่าตนออกมานั่งที่ตั่ง ทำให้แขกเหรื่อที่มาอวยพรต้องรีบเงียบเสียงลง“ตามสบายเถิด ข้าเองก็มาโดยไม่ได้แจ้งก่อน ต้อนรับตามแต่พวกเจ้าสะดวกเถิด” สุรเสียงของฉินอ๋อง เอ่ยออกมาเล็กน้อยก็ทำให้ภายในงานเงียบลงถนัดตา มีเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังคงบรรเลงขับกล่อมให้ได้ยิน“ทรงอำนาจดีจังเลยนะเจ้าคะ น่าเกรงขามมาก
ตันหยงอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนรอสามีที่ระเบียงนอกเรือน เป็นจังหวะที่มีคนมารายงานข่าวกับเว่ยซาพอดี“มีอะไรหรือ” นางรีบถาม“ท่านโหวให้คนมาแจ้งว่าคืนนี้อาจจะกลับดึกขอรับ”“ได้บอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” “คงหารือกันเรื่องงานขอรับ ช่วงนี้ทางตะวันออกเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ยังมีโรคระบาดตามมาอีก ผู้คนทางนั้นอดอยากและล้มตายกันมาก ท่านโหวและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามหาทางแก้กันอยู่ขอรับ” เว่ยซารายงานเท่าที่ตนเคยได้ยินมา“ภัยแล้งเหรอ” ตันหยงนิ่งไป พร้อมกับคิดถึงเนื้อเรื่องที่ตนเคยอ่าน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟู่อินโหวไม่ค่อยได้กลับจวน จึงทำให้ภรรยาตามไปราวีถึงหอ เป็นเหตุให้เขาอับอายมาก ทว่าคนเขียนไม่ได้ระบุไว้ว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะเนื้อเรื่องหลัก ๆ บรรยายถึงปัญหาชีวิตคู่ของฟู่อินโหวและมู่ตันหยง รวมถึงตัวนางเอกของเรื่องมากกว่าองค์ประกอบส่วนอื่นผู้ประพันธ์ไม่ได้ลงรายละเอียดนักเพราะนี่มันคือนิยายรักดราม่า แนวรักสามเส้าทว่าเมื่อนางเข้ามาอยู่ในนี้และเปลี่ยนบท เนื้อเรื่องมันเลยละเอียดขึ้น ตัวละครยังคงดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ตัดไปวันนั้นวันนี้เหมือนในนิยายที่ตนเคยอ่านมา ฉะน
อินหลางเองก็มึนงงไม่แพ้กัน เขาจึงรีบถามให้แน่ใจ“จะ… จริงหรือ เจ้าไม่ได้ปดพี่นะ”“ข้าจะปดท่านพี่ทำไม เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเราก็มาวาดภาพกันต่อดีกว่านะเจ้าคะ ข้าขอใช้ห้องตำราของท่านพี่ได้หรือไม่” ตันหยงยิ้มหวานให้เขา“ได้สิ จวนนี้เจ้าอยากใช้ตรงไหนจัดการได้เลย” ฟู่อินโหวรีบเอ่ย ภรรยาตัวน้อยก็ยิ้มกว้างทันที ด้านไป่ฮวาได้แต่เหลือบตามองอย่างหมั่นไส้ แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนสีหน้า แขนของนางก็ถูกคว้ามาเกาะ แล้วรั้งให้เดินตามกันออกมา ทิ้งให้คนในห้องมองตามอย่างมึนงง…“ฮะ… ฮูหยินไปสนิทกับแม่นางไป่ฮวาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เป็นเกาหยางที่เอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัยก่อนใคร“นั่นสิ ข้าไม่เคยเห็นแม่นางไป่มาหาฮูหยินเลยสักครั้ง และฮูหยินก็ไม่เคยไปหานางเลยสักครา แล้วทั้งคู่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อใด” ครานี้เป็นเว่ยซานที่เอ่ยขึ้นมาอย่างงวยงง“พวกนางไม่เคยไปมาหาสู่กันกระนั้นหรือ”“ไม่ขอรับ ข้าอยู่เฝ้าฮูหยินตามคำสั่งนายท่านตลอดทั้งวัน มีแยกไปบ้างเวลาทำธุระ แต่ก็ไม่นานนะขอรับ เอ๋! หรือสองคนนี้จะนัดพบกันยามค่ำคืน ทว่าแม่นางไป่ก็เพิ่งมาอยู่แค่สามวันมิใช่หรือขอรับ มิหนำซ้ำว