LOGINยมทูตสองตนยืนจับวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นไว้ เธอยังอยู่ในอาการมึนเมา แต่เมื่อเห็นหน้ายมทูติและร่างของตัวเองนอนนิ่งอยู่ที่พื้น ที่มีผู้คนยืนห้อมล้อมอยู่ก็ต้องตกใจและสร่างเมาภายในพริบตา เธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปล่อยฉัน ฉันจะกลับไปหาลูกหาผัว พวกเขารอฉันอยู่” เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ลาลูกกับสามีเลย เธอจะจากไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าไม่ต้องห่วง ลูกทั้งสองกับสามีของเจ้าจะมีคนดูแลแทนเจ้าแล้ว” พูดจบยมทุติก็หันหน้ามาหามะปรางที่ยืนสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบ ๆ เธอส่ายหน้าพรืดเมื่อเห็นสายตาคมกล้ามองมาทางนี้ ทั้งที่ตอนนี้เธอก็เป็นแค่อากาศแต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล
“ไม่นะ ข้าไม่เอาร่างนี้เด็ดขาด” ร่างนี้ทั้งขี้เมาทั้งหัวแตก ถึงจะสวยมากก็เถอะ แต่ดูแล้วเธอคงร้ายไม่เบาถึงได้กล้าดื่มเหล้าจนเมามายแล้วมาเต้นมั่วด้านหน้าเวทีหมอลำกับผู้ชายเช่นนี้
เจ้าของร่างก็พูดขึ้นอีก “ไม่ ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อยฉันนะ” เมื่อรู้ว่าตัวเองตายเธอถึงได้คิดถึงลูกกับสามีที่นอนรออยู่ที่บ้าน รู้สึกผิดที่ออกมาเที่ยวกับชายอื่นอีกครั้งจนตัวต้องมาตายจากเช่นนี้
“อายุขัยของเจ้าหมดแล้ว เจ้าต้องไปกับข้า” ยมทูติเอ่ยขึ้นเสียงดุ
ได้ฟังดังนั้นวิญญาณของเจ้าของร่างก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ แล้วมองหน้ามะปรางอย่างมีความหวัง “ฉันฝากเธอดูแลลูกกับสามีด้วยนะ ฮือ ๆ”
“ไม่ ไม่นะ” มะปรางกล่าวปฏิเสธพลางก้าวขาถอยหลัง หาร่างให้เธออยู่ทั้งทีก็แถมทั้งลูกทั้งผัวมาให้เลยหรืออย่างไร เธอยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว แต่แล้วมือของท่านยมทูติก็ผลักวิญญาณของมะปรางเข้าไปที่ร่างที่นอนอยู่ตรงนั้นแทน
“อ๊ายยยย!” มะปรางกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะร่างนั้นได้ดูดวิญญาณเธอเข้าไปแล้ว
จากนั้นยมทูติก็นำวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมไปวินิจฉัยกรรมดีกรรมชั่วที่นรกต่อไป
“ฮือ ๆ แม่ แม่อย่าเพิ่งตายนะ ฮือ ฮึก พ่อคะแม่ยังไม่ตายใช่ไหมคะ” อุ่นเด็กหญิงวัยหกขวบร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจหันไปมองหน้าพ่อที่นั่งอยู่ข้างแม่
“แม่ยังไม่ตายหรอกลูก แม่แค่นอนหลับเท่านั้น” เคนบอกลูกน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งที่ในใจกำลังกรุ่นโกรธขีดสุด เมื่อรู้ว่าภรรยาแอบไปดูหมอลำอีกครั้ง หลังจากที่กลับมาพร้อมกันแล้วตอนสี่ทุ่ม สำคัญกว่านั้นคือเธอออกไปกับญาติผู้น้องของเขาที่เคยเป็นแฟนเก่าของเธอจนเกิดเรื่องราวหัวร้างข้างแตก และต้องแบกกันมาส่งถึงบ้านจนสว่างคาตาเช่นนี้
“แล้วทำไมแม่ถึงนอนนานจังเลยครับ” เอื้อลูกชายคนโตวัยเจ็ดขวบเอ่ยถาม เมื่อเห็นแม่นอนหลับสนิทมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน คงอีกสักพักล่ะมั้งแม่ถึงจะตื่น”
“ไหน มันอยู่ไหน ออกไปร่านกับผู้ชายแล้วยังมีหน้าให้ผู้ชายอุ้มมาส่งถึงบ้านอีกหรือ ทำงามหน้านัก” ตัวยังเดินมาไม่ถึงแต่แม่สามีก็ส่งเสียงมาก่อน เธอก้าวเท้ายาวขึ้นไปบนเรือนของลูกชายอย่างรีบร้อน เมื่อรู้ว่าลูกสะใภ้ใหญ่ของบ้านแอบไปดูหมอลำกับลูกชายน้องสาวสามี แถมยังไปเต้นมั่วหน้าเวทีจนโดนลูกหลงหัวแตกจนสลบกลับมาแบบนี้
สามพ่อลูกหันไปดูที่ต้นเสียง
“ย่า” หลานทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยแววตาหวาดกลัว
“แม่พวกแกยังไม่ตื่นอีกเหรอ จะนอนไปถึงไหน ยังไม่มีใครเอาข้าวออกไปส่งไอ้เริงกับไอ้สามันเลยนะ” เคนเป็นลูกคนโต สำเริงกับอรสาเป็นลูกคนที่สองและคนสุดท้องของฟั่นกับกำพล
“แล้วอาคูณไม่อยู่เหรอครับ” ดอกคูณคือเมียของสำเริงที่อยู่บนเรือนหลังใหญ่กับพ่อปู่แม่ย่า ส่วนเขากับมาลีแยกเรือนออกมาอยู่ข้างยุ้งข้าวแล้ว เพราะมาลีทำอาหารเลี้ยงพวกน้อง ๆ ไม่ได้ ปู่จึงไล่มาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อถึงฤดูทำนาก็ต้องไปช่วยกันทำ
“พาลูกออกไปนาแล้ว”
แล้วทำไมไม่เอาข้าวออกไปด้วย รู้ทั้งรู้ว่ามาลีบาดเจ็บ แต่เคนก็ได้แค่คิด “วันนี้ม่วยคงออกไปนาไม่ได้หรอกแม่ เดี๋ยวผมไปแทนก็ได้ครับ” พอเข้าสู่หน้าแล้งผู้คนไม่มีอะไรทำส่วนมากก็เลี้ยงควายรอทำนาอย่างเดียว
“ป่วยจะตายอยู่แล้วยังจะห่วงเมียอีก เมื่อไรแกจะตาสว่างสักทีฮะเคน ไม่รู้ล่ะยังไงครั้งนี้แกกับนังม่วยก็ต้องหย่ากัน ถ้าแกไม่ยอมหย่าก็ขนข้าวของออกไปจากบ้านฉันให้เร็วที่สุด” อยู่ไปมาลีก็มีแต่ทำให้ตระกูลของเธอเสื่อมเสียชื่อเสียง งานการก็ช่วยครอบครัวไม่ได้มาก เอาแต่กินเหล้าเมากับเพื่อนไปวัน ๆ
“แม่!” เคนมีสีหน้าลำบากใจ ลูกทั้งสองคนก็พลอยนั่งหน้าเศร้าไปด้วยเมื่อได้ยินคำที่ย่าบอก
“ทำไม? แกรักมันมากจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลยหรือไง ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าม่วยมันเป็นผู้หญิงอัปมงคล แกถึงได้เจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่แบบนี้ไม่หายสักที ถ้ามันยังอยู่กับแกต่อ มีแต่แกนั่นแหละจะตายก่อนมัน” นับวันอาการลูกชายก็ยิ่งแย่ลงทุกวัน ผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ได้เกินหน้าแล้งปีนี้หรือไม่ ฟั่นเดินเข้าไปใกล้ร่างมาลีแล้วพูดขึ้นอีก “นี่มันกินหรือมันอาบกันแน่ฮึ กลิ่นเหล้าถึงได้เหม็นหึ่งขนาดนี้เนี่ย” เธอย่นจมูกเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าขาว รู้สึกเอือมระอากับลูกสะใภ้คนนี้เหลือเกิน ผัวป่วยจะเป็นจะตายกลับมีหน้าออกไปเที่ยวกับผู้ชายได้อย่างหน้าไม่อาย แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นญาติสามีอีก
“ผมขอคุยกับม่วยอีกทีนะครับ ถ้าเขายอมเลิกผมก็จะเลิก” ทุกครั้งที่เขาท้าเลิกสุดท้ายแล้วมาลีก็ไม่ยอมเลิกกับเขาอยู่ดี พอเธอพูดดีด้วยหน่อยเขาก็ใจอ่อนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันหนักหนาเขาคิดว่าต้องคุยกับเธออย่างเด็ดขาดเสียแล้ว
“ไม่นะคะพ่อ พ่ออย่าเลิกกับแม่นะคะ ฮือ ๆ ๆ” อุ่นร้องไห้เสียงดังขึ้นอีกครั้งมือเล็กเอื้อมไปจับแขนพ่อแน่น เอื้อก็ปล่อยให้น้ำตาไหลเอื่อย ๆ ลงมาอาบแก้มเช่นกัน แม่กินเหล้าเมาทีไรต้องทะเลาะกับพ่อและขอเลิกกันทุกที
“พี่เคนคิดว่าดีไหมคะ พี่กับฉันจะได้เป็นอิสระเสียที และถ้าพี่อยากมีคนใหม่ก็สามารถมีได้เลย” มาลีคิดว่าวิธีนี้คงดีที่สุดแล้ว นานครั้งเธอค่อยกลับมาเยี่ยมเด็ก ๆ ก็ได้ ความห่างจะทำให้เด็กทั้งสองเข้มแข็งและยอมรับมันได้โดยปริยาย “ก็ดี” เคนตอบแบบขอไปที จะให้เขาพูดอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อเธอต้องการอย่างนั้น อีกอย่างเขาเองที่เป็นฝ่ายอยากเลิกกับเธอ “ค่ะ ถ้าฉันไม่อยู่แล้วให้อาสามาช่วยดูเด็ก ๆ ก็ได้นะคะ” “อือ…นอนเถอะพี่ง่วงแล้ว” เขาไม่อยากฟังเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เหมือนทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดี แต่มันกลับไม่ใช่ เคนนอนหันหน้าเข้าฝาผนัง อยู่ดี ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดวันที่เขากับเธอต้องจากกันจริง ๆ ก็กำลังจะมาถึง มาลีอาจจะวางแผนไปกรุงเทพฯ พร้อมกับสกล ถ้าทั้งสองไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ถึงชาวบ้านนินทาพวกเขาก็คงไม่ได้ยิน และคงไม่รู้สึกอะไร มีแต่เขาที่ต้องทนฟังคำดูหมิ่นดูแคลนจากชาวบ้านที่ปล่อยให้เมียหนีตามผู้ชายไป “วันนี้ไม่ไปช่วยเคนมันทำบ้านเหรอเริง” ฟั่นถามลูกเมื่อสายแล้วสำเริงยังไม่ได้ไปไหน ปกติสำเริงจะออกไปบ้านพี่ชายแต่เช้า
เช้าวันต่อมาเคนจึงได้ทำความเข้าใจเรื่องสร้างบ้านกับน้องชายใหม่ โดยต้องจ้างช่างมาทำบ้านให้ เพราะจากบ้านขนาดแปดสิบตารางเมตร มาลีจะสร้างบ้านปูนชั้นเดียวขนาดห้าสิบตารางวา ที่มีสองห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ และมีระเบียงหน้าบ้านด้วย งบประมาณไม่เกินสองแสนบาท แต่กระนั้นก็ถือว่าได้บ้านหลังใหญ่และหรูมากแล้ว สำเริงต่างแปลกใจที่อยู่ดี ๆ พี่ชายก็มีเงินเก็บมากมายจนสามารถสร้างบ้านหลังใหญ่ได้ อดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “พี่เคนเอาเงินมาจากไหนครับ” “เงินที่ฉันไปทำงานต่างประเทศไง” “ยังเหลืออีกเหรอครับ” เขาถามเสียงสูง กลับมาจากเมืองนอกสองปีแล้วเพิ่งจะพูดถึงเงินเก็บ ความรู้สึกช้าไปไหม “อื้อ ม่วยอำฉันเล่นว่าเงินหมดแล้ว ที่จริงพี่สะใภ้แกเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นมากกว่า” ภรรยาบอกเขาเช่นนั้น และเขาก็พร้อมจะเชื่อหมดใจ หากไม่เห็นกับตาเขาก็อาจจะไขว้เขวบ้าง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาหากเธอประหยัดเงินจนทำให้เขาผอม เขาก็พร้อมจะให้อภัย “พี่เคนพูดเรื่องจริงเหรอครับ” สำเริงยังไม่อยากเชื่อนัก “จริงสิ แกเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหร
“ทั้งผัวหลวงผัวน้อยช่วยกันทำมาหากินดีเนอะ”“นังม่วยมันทำบุญด้วยอะไรวะช่างโชคดีจริง ๆ” คนกลุ่มนั้นยังนินทาไม่หยุด ก่อนที่เคนจะเคลื่อนรถเข็นเข้าไปหาพวกเขา“ม่วยขยันจังเลยนะ รู้จักทำมาหากินช่วยผัว” เสียงหนึ่งแสร้งเอ่ยชม ทั้งที่ก่อนหน้ายังนินทาเธออยู่เลย แต่มาลีก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดประชด“ค่ะ ไม่อยากอยู่เฉย ๆ แล้วนินทาชาวบ้านไปวัน ๆ เหมือนใครบางคนน่ะค่ะ” เป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ทำไมคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนั้นถึงได้รู้สึกเจ็บจิ๊ดเข้าไปถึงในทรวง ป้า ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นสามสี่คนได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก“แต่ก็ไม่ได้ไปกับผัวตัวเอง” ป้านีพูดขึ้นเหมือนรู้ดีเคนและลูกทั้งสองต่างมองหน้ามาลีเมื่อได้ยินป้านีพูดแบบนั้น “แม่ไปกับใครเหรอครับ”“ก็ไปกับ…”“ถ้าไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จป้าก็อย่าพูดส่งเดชเลยค่ะ ฉันไม่อยากให้ลูกได้ยินเรื่องที่ไม่เป็นความจริง” ป้าคนนั้นชะงักปากเมื่อมาลีพูดสวนขึ้นก่อน“ก็มีคนเขาเห็น…”“เห็นอะไรคะ ถ้าสิ่งที่ป้าพูดมาไม่เป็นความจริงฉันจะไหมปากป้านะคะ” ป้านียืนอ้าปากหวอ “พูดต่อสิคะว่าคนเขาเห็นอะไร” มาลียืนจ้องหน้าป้านีไม่วางตาแล้วร่ายต่อ “ที่จริงการนินทาชาวบ้านก็มีส่วนดีนะคะ เพรา
ตลอดทางที่เดินกลับบ้านด้วยกันสกลพยายามหว่านล้อมให้มาลีใจอ่อนอีกทั้งยังเข้ามาเดินใกล้ ๆ และมาช่วยเข็นรถจนมาลีรู้สึกอึดอัด“อากลอย่าทำอย่างนี้เลย มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่สะใภ้ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือว่าพี่สะใภ้ความจำเสื่อม” สกลยังไม่ละความพยายาม ทำไมพอเธอตื่นขึ้นมาแล้วคำพูดคำจาถึงได้เปลี่ยนไป “ถ้าฉันความจำเสื่อมฉันจะจำใครต่อใครได้เหรอคะ” มันก็จริง… “แต่ทำไมพี่สะใภ้ถึงตัดความสัมพันธ์กับฉันได้ง่ายดายนัก ทั้งที่เราก็คบกันมาตั้งหลายปี” “ฉันไม่อยากให้ใครมองว่าสามีฉันโง่อีกต่อไปแล้วค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากให้ลูกโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนด้วยค่ะ ฉันสงสารพวกเขา” ความทรงจำเดิมบอกกับเธอว่าเอื้อที่เพิ่งเรียนจบชั้นปอหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เธอจะมาอยู่ในร่างนี้เขาโดนเพื่อนล้อว่าเขามีพ่อใหม่ จนต้องร้องไห้กลับบ้าน แต่ตอนนั้นมาลีไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเสียงร้องไห้ของลูกเลย เธอยังทำตัวให้คนนินทาตามปกติ แต่มาลีคนนี้ไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับลูกอีกอย่างแน่นอน “แต่ฉันจะรอ รอจนกว่าพี่สะใภ้จะเลิก
เช้าวันรุ่งขึ้นมาลีเตรียมตัวออกเดินทางแต่เช้า เพราะเธอกะว่าจะกลับไม่เกินเที่ยง สามีนำรถเข็นมาให้แล้ว เธอก็ขนตะกร้าไม้ไผ่สี่ใบขึ้นรถ และน้ำเย็นอีกหนึ่งกระติก มีขวดน้ำประมาณหนึ่งลิตรติดไปด้วย เพราะเธอจะเอาเข้าไปในป่าไผ่ด้วย “แม่คะหนูไปด้วยได้ไหมคะ” อุ่นทำท่างอแงแล้วปีนขึ้นไปบนรถเข็นของแม่โดยมีพี่ชายเป็นคนยกก้นช่วย จนเธอเข้าไปนั่งรออยู่ในรถเข็นแล้วมองแม่ตาละห้อย “ผมก็อยากไปด้วย” “ไปไม่ได้หรอกลูก” เธอไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังจึงบอกลูกเช่นนั้น ถึงจะรู้สึกสงสารลูกแต่เธอก็ต้องใจแข็ง “อุ่นกับเอื้อไม่ไปหรอกลูก เกะกะแม่เปล่า ๆ ถ้าพ่อทำบ้านเสร็จเดี๋ยวพ่อจะพาไป พ่อจะพาไปหารังผึ้งด้วยดีไหม รออีกสักสองสามวันพ่อก็ทำบ้านเสร็จแล้ว” เคนย่นระยะเวลาการทำบ้านเข้ามาอีกเพื่อให้ลูกรู้สึกสบายใจขึ้นและยอมที่จะไม่ไปกับแม่ “ผมอยากไปหารังผึ้งกับพ่อครับ” “หนูก็อยากค่ะ” “งั้นรอไปพร้อมกับพ่อนะ” “ค่ะ” อุ่นยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้พ่ออุ้มลงจากรถเข็น เคนจึงหันไปพยักหน้าให้ภรรยาเข็นรถออกไป มาลียิ้มให้เขาแล้วเดินออกไปท
มาลีเดินออกจากบ้านแม่ก็เดินไปดูพื้นที่แปลงที่จะปลูกบ้าน เคนเดินดูป่ากล้วยน้ำว้าที่มีพื้นที่มากกว่าสองร้อยตารางวา มาลีรู้สึกผิดหวังกับผู้เป็นแม่เล็กน้อย เธอไม่คิดว่าแม่กับพี่สาวจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเธอทำตัวไม่ดีเอง ทุกคนจึงไม่อยากให้ความช่วยเหลือ “เราต้องตัดต้นกล้วยออกก่อน” เคนบอกภรรยา “ค่ะ” “เดี๋ยววันนี้พี่จะเริ่มทำเลย พรุ่งนี้จะวานไอ้เริงมาช่วย สองอาทิตย์ก็น่าจะเสร็จ” บ้านที่นำมาปลูกก็คงต้องรื้อจากหลังเดิมเล็ก ๆ มาปลูกก่อน เขาก็หวังว่าสักวันจะนำพาครอบครัวให้ดีขึ้นได้ “ฉันจะช่วยพี่อีกแรงค่ะ” “ให้หนูช่วยด้วยนะคะ” “ผมช่วยด้วยครับ” พ่อกับแม่ยิ้มให้ลูกทั้งสองที่ทำท่ากระตือรือร้นจะช่วยพ่อกับแม่ พวกเขาเป็นกำลังใจที่ดีของพ่อกับแม่ให้ก้าวต่อไปเสมอตอนเย็นวันเดียวกันเคนจึงพาครอบครัวไปคุยกับพ่อแม่เรื่องย้ายบ้าน “ผมขอแบ่งควายไปด้วยสักตัวได้ไหมครับพ่อ” เคนถามพ่อ อย่างน้อยถ้ามีควายเขายังพอไปรับจ้างได้ “เอาไอ้จ่อยไปก็แล้วกัน” กำพลพูดน้ำเสียงอ่







