“เอ่อคือ มีสิ!” ไป๋หยางพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายหนานกงพยายามตามจีบเฉินเฟยเฟยอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธตลอด มันเลยทำให้เขาโกรธมาก ตอนนี้เขาอาจจะกำลังไปที่โรงแรมที่เธอพักอยู่”“แกว่าไงนะ!”สีหน้าของเย่เทียนหยู่มืดมนลงทันทีไป๋หยางตกใจมาก และกลัวว่าเย่เทียนหยู่จะลงมือกับเขาอีก จึงรีบพูดออกไปว่า “ฉัน ฉันจะบอกทุกอย่าง แต่แกห้ามลงมือกับฉันนะ แล้วก็ ทุกสิ่งที่ฉันพูดคือเรื่องจริง ตำแหน่งของโรงแรมก็เป็นฉันที่บอกเขา”“ตอนนี้คุณชายหนานกงก็น่าจะไปถึงโรงแรมแล้ว”ไป๋หยางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดแค่ว่าต้องล่อให้เย่เทียนหยู่ไปหาหนานกงเล่อให้เร็วที่สุด แต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้เย่เทียนหยู่โกรธมากแค่ไหนสีหน้าของเย่เทียนหยู่เย็นชาลงทันที แล้วรีบถามออกไปว่า “โรงแรมไหน ห้องอะไร?”ทันทีที่ไป๋หยางได้ยิน เขาก็รีบบอกทันทีโรงแรมนี้อยู่ใกล้กับบริเวณที่เขาอยู่พอดี ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก“ทางที่ดีแกก็ภาวนาให้เฉินเฟยเฟยยังคงปลอดภัยอยู่เถอะ เพราะไม่อย่างนั้น แกได้ตายอย่างน่าสังเวชแน่นอน”หลังจากที่เย่เทียนหยู่พูดอย่างเย็นชาจบ ก็ใช้เท้าเตะไปที่ตัวไป๋หยางอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าจาก
สีหน้าของหนานกงเล่อเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที พร้อมกับถามออกไปอย่างเย็นชาว่า “ประธานเหอ นี่คุณหมายความว่ายังไง คุณเห็นผมเป็นสัตว์ร้ายงั้นเหรอ?”เหอฉุนเปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะรีบพูดออกไปว่า “จะเป็นแบบไปได้ยังไงกันคะ คุณชายหนานกงล้อกันเล่นแล้วล่ะค่ะ ก็แค่พวกเฟยเฟยกำลังแต่งตัวกันอยู่ ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่ เลยจะดูไม่เหมาะสม หากจะมีผู้ชายอยู่ในห้องน่ะค่ะ”“งั้นเหรอ เช่นนั้นก็ให้ผมดูหน่อยสิ ว่ามันจะไม่สุภาพสักแค่ไหนกันเชียว” หนานกงเล่อไม่สนใจคำพูดของเหอฉุนเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะยืนรอที่ประตู เขาเดินตรงเข้าไปทันทีประธานหวังที่เห็นแบบนั้น ก็รีบพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณชายหนานกง ผมยังมีธุระที่ต้องไปจัดการ คงไม่อยู่รบกวนแล้วนะครับ”“ไปเถอะ!”หนานกงเล่อไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ เดินมุ่งตรงเข้าไปข้างในท่าเดียวสีหน้าของเหอฉุนดูไม่ค่อยดีนัก จึงรีบเดินตามไปในทันทีบอดี้การ์ดที่เดินตามหลังเป็นคนปิดประตู ทั้งยังล็อกกลอนจากด้านในอีกต่างหาก ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากประตู สีหน้าของเฉินเฟยเฟยและจางผิงก็เปลี่ยนไปทันที เพราะพวกเธอรู้แล้วว่า หนานกงเล่อมาแล้วจริง ๆ ทำไมถึ
“คุณชายหนานกงพูดจริงเหรอ?” เหอฉุนรู้ดีว่า ตระกูลชนชั้นสูงแบบพวกเขา ไม่มีทางที่จะแต่งงานกับดาราอย่างแน่นอนแน่นอน ว่าก็อาจจะมีบางกรณีที่พิเศษจริง ๆ“แน่นอนสิ!”หนานกงเล่อพูดอย่างมั่นใจ แม้ในใจจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังคงต้องโกหกไปก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง“หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ฉันคิดว่าเฟยเฟยก็อาจจะพอพิจารณาดูได้ แต่ว่า ตระกูลหนานกงจะยอมรับได้จริง ๆ เหรอคะ?” เหอฉุนถาม“ในเมื่อผมรับปากแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เฟยเฟย คุณคิดว่ายังไง?” หนานกงเล่อเปิดปากถามออกไปเฉินเฟยเฟยชะงักไปชั่วขณะ เธอไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีขณะที่เหอฉุนกำลังจะพูดหนานกงเล่อก็โบกมือ แล้วพูดออกไปตรง ๆ ว่า “คุณไม่ต้องพูด!” เขาไม่ใช่คนโง่ เมื่อกี้ตอนที่คุยกับเหอฉุน เขาก็สังเกตสีหน้าของเฉินเฟยเฟยอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ตรงกันบวกกับข่าวที่ตัวเองเพิ่งได้มาจากประธานหวัง ไหนจะยังมีเรื่องที่เฉินเฟยเฟยร้องเพลงคู่กับชายคนนั้นบนเวทีอีกเฉินเฟยเฟยรู้สึกงงงวย “ฉัน ฉัน......”“หรือที่ประธานเหอพูดกับผมเมื่อกี้แค่พูดพอเป็นพิธีเท่านั้น หลอกผมอยู่งั้นเหรอ?” หนานกงเล่อถา
ต้องบอกเลยว่า เหอฉุนค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียวแต่น่าเสียดาย ที่มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยหนานกงเล่อดูไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาสงบ และดูไม่รีบร้อนแต่อย่างใด เขาพูดพลางหัวเราะเยาะว่า “ร้องไปเถอะ ดูสิ ว่าถ้าร้องจนคอแห้งแล้ว จะมีใครสนใจพวกเธออยู่ไหม!”“ลืมบอกไปเลย ว่าบริเวณรอบ ๆ พวกเธอตอนนี้ไม่มีผู้เช่าคนอื่นอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีไม่กี่ครอบครัวที่อาศัยอยู่ แต่ก็ถูกไล่ออกไปตั้งแต่ตอนที่คอนเสิร์ตเธอเริ่มแล้ว”ส่วนวิธีการไล่นั้น พวกเขาก็แค่ยัดเงินเล็กน้อยให้กับโรงแรม โรงแรมก็หาข้ออ้างจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายแล้วเมื่อคำนี้ถูกพูดออกมา สาว ๆ ต่างก็รู้สึกหมดหวังกันอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ จะให้เรียกฟ้า ฟ้าก็คงไม่ตอบ เรียกดิน ดินก็คงไม่สนใจอีกแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดที่มีพลังแข็งแกร่ง สองสาวแทบไม่มีแรงต้านเลยแม้แต่น้อย ในไม่ช้าพวกเธอก็ถูกมัดมือไว้ด้านหลัง พร้อมกับถูกปิดปากด้วยเทปกาวหนานกงเล่อแทบไม่ได้สนใจเสียงตะโกนของพวกเธอเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้เขาคงรีบจัดการผู้หญิงสองคนนั้นให้หมดสติไปนานแล้วแต่เขากลับไม่ต้องการที่จะทำแบบนั้น เขาแค่ต้องการให้ผ
พระเจ้าช่วย หากช้าไปนิดเดียว เกรงว่าเฉินเฟยเฟยอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้วเมื่อเห็นฉากนี้ หนานกงเล่อก็โกรธจัดขึ้นทันที เฉินเฟยเฟยถึงกับเลือกที่จะไม่ยอมแพ้แม้ตนจะต้องตาย จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไรนี่เขาดูแย่มากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอผู้ชายคนนั้นนอกจากหล่อนิดหน่อยแล้ว ยังจะมีอะไรดีอีก?หรือความหล่อมันกินแทนข้าวได้รึไง?หนานกงเล่อโกรธจัด ความบ้าคลั่งเริ่มปรากฏ เขาก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ดูบิดเบี้ยว จับเฉินเฟยเฟยเอาไว้ แล้วพูดด้วยความโกรธออกไปว่า “เฉินเฟยเฟย เธอเกลียดฉันขนาดนี้เลยเหรอ ก็ดี ยิ่งเธอเกลียดฉันมากเท่าไหร่ วันนี้ฉันก็ยิ่งต้องเล่นสนุกกับเธอต่อหน้าทุกคนมากขึ้นเท่านั้น”“ไสหัวออกไปนะ!”เฉินเฟยเฟยเริ่มร้อนรน เธอยกมือขวาขึ้น ตบเข้าที่ใบหน้าของหนานกงเล่ออย่างแรงหนานกงเล่อรู้สึกงงงวยเล็กน้อย เขาไม่ทันได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะไม่อย่างนั้น แค่เฉินเฟยเฟยจะแตะต้องเขาได้อย่างไร“เวรเอ้ย แกกล้าตบฉันเหรอ!”หนานกงเล่อโกรธจัดทันที ก่อนที่เขาจะตบกลับไปอย่างแรงด้วยฝ่ามือเพี้ยะ!เสียงใส ๆ ดังก้องขึ้นอีกครั้งหนึ่งเฉินเฟยเฟยถูกตบที่ใบหน้าจนเ
หลังจากที่เย่เทียนหยู่พังประตูเข้าไป หนานกงเล่อก็หันไปมองด้วยความโกรธ และเห็นว่าเป็นเย่เทียนหยู่ที่ถีบประตูเข้ามาโดยตรงสำหรับเย่เทียนหยู่ เขาค่อนข้างให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะวันนี้ที่ได้พบเขาบนเวทีไอ้เวรเอ้ย นี่มันไม่เป็นอะไรเลยงั้นเหรอ!แถมยังวิ่งมาที่นี่เพื่อทำลายเรื่องดี ๆ ของตนอีกไอ้สวะไป๋หยางนั่น ไม่ใช่ว่ามันหาคนไปจัดการกับไอ้เด็กนี่แล้วรึไง?เสียงที่เกิดขึ้นค่อนข้างดัง จึงทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง รวมถึงเหอฉุนและจางผิงเองก็ด้วยจางผิงรู้สึกตกใจนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกดีใจ และตื่นตัวขึ้นทันทีเขาคือคุณเย่!คุณเย่มาแล้ว!ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุณเย่จะรับมือไหวไหม แต่แค่ได้เห็นว่าเขามา ก็รู้สึกว่าตนมีความหวังขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่รึไงเหอฉุนรู้สึกตกใจเล็กน้อย เธอมองไปยังผู้ชายที่ดูน่ากลัวและดุร้ายที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูคนนั้น เธอรู้สึกว่าเขาต่างจากที่เคยเห็นในตอนแรกไปโดยสิ้นเชิงแต่ว่า การที่เขาถึงกับรีบตรงมาที่นี่แบบนี้เขาก็น่าจะได้รับข่าวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่หนานกงเล่อมาที่นี่แน่นอน ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่รีบม
ต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนที่เธอคิดจะฆ่าตัวตาย บอดี้การ์ดคนนั้นอยู่ห่างจากเธอมาก แต่ถึงอย่างนั้น บอดี้การ์ดก็ยังคงเป็นคนแรกที่มาถึงตัวเธอ และหยุดเธอเอาไว้ได้ก่อนเห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดคนนี้มีฝีมือที่แข็งแกร่งมากจริง ๆแต่สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “ไสหัวไป!”เหอฉุนและจางผิงรู้สึกงงงวยอยู่นิดหน่อย พวกเธอคิดแค่ว่าต่อให้เขาจะมีอำนาจ หรือมีความกล้าหาญมากแค่ไหน แต่ว่าเขาจะสามารถเอาชนะบอดี้การ์ดที่น่ากลัวคนนั้นได้จริง ๆ น่ะเหรอสีหน้าบอดี้การ์ดวัยกลางคนคนนั้นดูเย็นชา อันที่จริง เขาสัมผัสได้ก่อนแล้ว ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณชาย เขาจึงไม่สามารถหลีกทางให้ได้“เข้ามาเถอะ ให้ฉันได้เห็นความสามารถของแกหน่อย”บอดี้การ์ดวัยกลางคนคำรามเสียงดัง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น พลังบนร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เขาถึงกับเป็นฝ่ายที่พุ่งเข้าไปโจมตีเย่เทียนหยู่ก่อนโดยตรงทันใดนั้น สิ่งของในห้องก็เคลื่อนไหวได้ ทั้งที่ไม่มีลมพัด สร้างความน่าเกรงขามและทรงพลังอย่างมากเหล่าหญิงสาวต่างก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่น่ากลัว จากนั้นก็เห็
จางผิงและเหอฉุนต่างก็มองกันตาค้าง ในสายตาของพวกเธอ พลังของบอดี้การ์ดวัยกลางคนเมื่อสักครู่นี้ ก็ถือว่าน่าตกใจและน่ากลัวมากพอสำหรับพวกเธออยู่แล้วแต่หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่รู้ผลลัพธ์ เมื่อเทียบกับเย่เทียนหยู่แล้ว แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำสมแล้วที่เป็นถึงคุณเย่!เขาก็เป็นคนที่หล่อเท่แบบนี้แหละ!เป็นคนที่เก่งกาจมากจริง ๆ!จางผิงรู้สึกตื่นเต้นมาก ครั้งนี้คงรอดแล้วจริง ๆเหอฉุนรู้สึกดีใจที่เย่เทียนหยู่มีความสามารถ แต่ก็กลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนจางผิง เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาคนนั้นก็เป็นถึงคุณชายรองแห่งตระกูลหนานกง ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหนานกง เขาคงจบไม่สวยแน่ ๆอย่างไรก็ตาม วิกฤตชั่วคราวตอนนี้ก็น่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับวิกฤตที่น่ากลัวหลังจากนี้อย่างไรดีเฉินเฟยเฟยยืนมองทุกอย่างด้วยความงงงวย จนกระทั่งเย่เทียนหยู่ก้าวเท้าเดินตรงมาหาเธอ เธอก็กลับยังคงไม่มีการตอบสนองใด ๆไม่นานหลังจากนั้น เย่เทียนหยู่ก็เดินมาถึงตัวของเฉินเฟยเฟยส่วนหนานกงเล่อ เขาถูกทำให้ตกใจจนต้องยืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หากเป็นพี่ใหญ่ของเขา บางที
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป